บุคคลทั้งหลาย ล้วนตกอยู่ในกระแสที่มองไม่เห็น
สัตว์ทั้งหลาย..ผู้มีชีวิตอยู่
ผู้ประกอบกิจกรรม ตามภาระและโอกาส
ย่อมเป็นผู้ตกอยู่ในกระแสที่มองไม่เห็น
อันได้แก่
กระแสแห่งสัญชาติญาณ
กระแสสังคม
และกระแสแห่งวิบากกรรม
ซึ่งจะพัดพาจิตไปสู่วังวนแห่งสังสารวัฏฏ์ คือ
ความสุข /ทุกข์ ,สมหวัง/ ผิดหวัง ,ได้ /เสีย ,มี /ไม่มี ฯลฯ
อยู่ตลอดเวลาไม่มีวันสุดสิ้น
หลักศีลธรรมทั้งหลาย
อันประกอบด้วยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นต้น
เปรียบดั่งหนึ่งเสมือนเสาเรือน ที่ถูกฝังรากฐานไว้ลึก แข็งแรง และมั่นคง
สามารถตั้งตรงอยู่ได้
ในยามที่เกิดกระแสน้ำป่าไหลหลาก
ในยามที่เกิดอุทกภัย
บุคคลผู้แม้ยังมิได้บรรลุธรรมวิเศษใดๆ
ผู้กำลังถูกกระแสน้ำพัดพาไปอยู่
เป็นผู้ได้อาศัยซึ่งเสาเรือน
เพื่อพยุงร่างกายของตน
รักษาชีวิตของตนไว้
ในยามที่เกิดกระแสน้ำป่าและอุทกภัย
ย่อมได้รับความปลอดภัยฉันใด
บุคคล
ผู้กำลังถูกกระแสแห่งสัญชาติญาณ
กำลังถูกกระแสสังคม
กำลังถูกกระแสแห่งวิบากกรรม
พัดพาไปสู่ความทุกข์ ความยากลำบาก และความเดือดร้อนอยู่
หากเป็นผู้ได้รับการอบรมศีลธรรมอันดีงาม
เป็นผู้ได้ยึดมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของพรพุทธเจ้า
ในการดำเนินชีวิตและประกอบกิจกรรมทั้งหลาย
ย่อมสามารถดำรง ทรงตนอยู่รอดปลอดภัยได้
โดยไม่หลุดไหล เลื่อนลอยไปตามกระแส
ไม่ถูกพัดพาไปสู่ความทุกข์ ความยากลำบาก และความเดือดร้อน
ย่อมเป็นผู้ซึ่งประสบกับความปลอดภัย มีสวัสดิภาพ
และเจริญก้าวหน้า
ขณะที่บุคคลอื่นๆ
ผู้ไม่มีหลักศีลธรรมใดๆในการยึดเหนี่ยวจิตใจ
ย่อมถูกกระแสแห่งสัญชาติญาณ
กระแสสังคม
และกระแสแห่งวิบากกรรม
พัดพาไปสู่ความทุกข์ เป็นต้น
อย่างยากที่จะได้หวนคืน ฯ
๒๖ กันยายน ๒๕๕๓
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น