ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ส่งท้ายปีเก่า : กาพย์ยานี ๑๑



ส่งท้ายปีเก่า : กาพย์ยานี ๑๑

    แบบนี้ สิ(ถึงเรียกว่า)หน้าหนาว.............มีหมอกขาว ตอนเช้าตรู่
นุ่มนวล ชวนชื่นชู...................................ดูบริสุทธิ์ สุดสายตา

    ความหนาว เข้าแนบเนื้อ......................ซาบซ่านเหลือ เฟื้อผัสสา
น้ำเย็น เป็นน้ำยา....................................ล้างหน้าตา พาตื่นตน

    หนาวเนื่อง เรื่องคุยเล่า........................หนาวนานเข้า ปีเก่าพ้น
ชวนเที่ยว ธรรมชาติทน............................ยลหมอกขาว เยือนหนาวภู

    ดอกหลาย ไม้เมืองหนาว......................เบ่งบานเร้า พราวเพริศหรู
แข่งขัน ประชันชู.....................................หลากรูปทรง สีสดใส

    ส่งท้าย ให้ปีเก่า..................................เฝ้าสุขสันติ์ วันปีใหม่
หวังว่า จะมีอะไร.....................................ที่เปลี่ยนไป ในทางดี

    อยู่เย็น อย่างเป็นสุข.............................ไร้เรื่องทุกข์ เศร้าโศกศรี
พิพัฒน์ สวัสดิ์มี.......................................ตลอดปี ตลอดไป

    โชคร้าย อย่าได้ช่อง.............................โชคดีข้อง ปกป้องไข
สุขกาย และสุขใจ....................................อย่าเจ็บไข้ ภัยเภทพลัด

    ขอพร สิ่งศักดิ์สิทธิ์...............................ขอตั้งจิต จะปฏิบัติ
ทำดี มีศีลวัตร..........................................อย่างเคร่งครัด อัชฌาเอย ฯ


๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กำลังใจจากใครสักคน : กลอนคติสอนใจ



กำลังใจจากใครสักคน : กลอนคติสอนใจ

    เด็กย่อมหวัง กำลังใจ จากพ่อแม่...........จึงจะไม่ งอแง ท้อแท้จิต
เดียงสาไร้ ไหวอ่อน สะท้อนชีวิต...............พ่อแม่ยิ่ง มิ่งมิตร นิตยา

    เริ่มเข้าสู่ วัยรุ่น วุ่นวายคละ...................อิสระ เสรีไซร้ ใคร่ปรารถนา
คบเพื่อนเล่น เป็นใหญ่ ให้เฮฮา.................พ่อแม่เตือน (กลับ)โต้ว่า น่ารำคาญ

    ล่วงวัยหนุ่ม วัยสาว คิดก้าวไกล.............เริ่มรู้จัก รักใคร่ ใจเหิมหาญ
กำลังใจ จากแฟน แสนสำราญ..................รสรักซ่าน ซาบทรวง ซึ้งดวงใจ

    วัยทำงาน ต้องการ การยอมรับ..............เพื่อร่วมงาน ขานขับ กับผู้ใหญ่
ครอบครัวคอย สนับสนุน อุ่นหทัย...............กำลังใจ ไซร้จริง สิ่งจำเป็น

    หากแต่ล้วน กำลังใจ จากภายนอก..........เด็กเล็กดอก ไร้เดียงสา ปัญญาเข็ญ
ต้องพึ่งพา ผู้ใหญ่ ไขลำเค็ญ......................จึงประสบ สุขเห็น เป็นสุขไป

    แต่เมื่อเติบ โตต้อง ตรองไตร่คิด.............กำลังจิต มิตรมวล ล้วนอ่อนไหว
ขึ้นอยู่กับ มิตรภาพ ฉาบฉวยไป...................คนส่วนใหญ่ ใฝ่แต่ เห็นแก่ตัว

    ผลประโยชน์ (คือ)กฎเกณฑ์ เป็นที่ตั้ง......แม้กระทั่ง สัมพันธ์ ฉันเมีย-ผัว
พ่อ-แม่-ลูก-พี่-น้อง ฯลฯ ยังหมองมัว............พบเห็นทั่ว ประวัติศาสตร์ ทุกชาติชน

    กำลังใจ จากตน กลประสิทธิ์....................ด้วยรู้คิด รู้ใคร่ ในกุศล
สติปัญญา ประสาธน์ ปราชญ์เวทมนตร์..........บันดาลดล ล้นหลั่ง กำลังใจ

    ทำในสิ่ง ที่ดี ที่ถูกต้อง...........................ผิดพลาดพร่อง ข้องขัด บำราศไส(บำราศ=ปราศจาก)
เทียบเท่าเท พาพร บวรชัย..........................ไม่พึ่งหวัง กำลังใจ จากใครเอย ฯ


๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หนาวครื้นในคืนเดือนดับ : กลอนแปด



หนาวครื้นในคืนเดือนดับ : กลอนแปด

    หนาวเนื่องคล่ำ น้ำค้าง ในกลางคืน............พรมชุ่มชื้น ผืนหญ้า พนาสัณฑ์
ความสงบ กลบเกลื่อน เถื่อนอธรรม์................ตามชีวัน ครรลอง ต้องนิทรา

    คืนเดือนดับ ขับขาน วารมืดมิด..................หนาวยิ่งเกริม เหิมอุกฤษฏ์ ฤทธิ์แรงกล้า
แสงริบหรี่ จากปวง ดวงดารา.........................ไม่ครณา ความหนาว กร้าวกำลัง

    คืนมืดดำ+ความหนาว+คราวสงบ...............คือคำรบ ความงาม ธรรมชาติหลั่ง-
ไหลทั่วพื้น พิภพ ทบอนันต์...........................คู่คืนครัน บรรเจิด เลิศราตรี

    เสพสุขคลอ บริสุทธิ์ ดุจน้ำค้าง...................พรมพราวพร่าง กลางป่า พนาศรี
ดุจน้ำทิพย์ คคนานต์ สรรค์ฤดี........................สุขเขษม เปรมปรีดิ์ เสรีปาน

    ได้สัมผัส ทัศนา ความประณีต....................ไร้ขอบขีด จำกัด สวัสดิศานติ์
ละเอียดอ่อน ผ่อนคลาย ในดวงมาน................ช่างชื่นบาน อบอุ่น สุนทรไท

    อากาศหนาว เอาฝัน มาปันฝาก..................ของขวัญจาก สวรรค์ วิมานไฉน
ซุกผ้าห่ม รมย์อุ่น ละมุนไอ............................นอนหลับใหล ได้สนิท เนื่องนิทรา

    มิกังวล ดลให้ ได้นอนหลับ........................ทุกสิ่งสรรพ ขับดัน ควบปัญหา
ไม่พอดี พอเหมาะ เพราะเจตนา......................ปรารถนา มากมาย ไกลเกินกล

    ทำเท่าที่ ทำได้ ด้วยใจจริง........................ไม่ลดละ/ประวิง/ทิ้งเหตุผล
หยุดความอยาก กรากไกร ในกมล...................คือกุศล หนทาง ล้างทุกข์เอย ฯ


๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ก่อไฟผิงไออุ่น : กลอนคติสอนใจ



ก่อไฟผิงไออุ่น : กลอนคติสอนใจ

    ลมหนาว เป่าพัด รัตติกาล์..............หนุนเนื่อง นานช้า หาหยุดยั้ง
แปลกไฉน นภา ท้องฟ้ายัง..................เมฆบัง รังสี ชุติมล

    กองฟืน ก่อไฟ ให้อุ่นอบ..................แม้ไม่ อาจกลบ ลบหนาวพ้น
ยังพอ ผ่อนภัย กายผจญ.....................ลมผล ล้นหนาว เบาอุรา

    ไฟกลืน ฟืนกลาย คายสะเก็ด...........ลอดเล็ด ลอยล่อง ฟ่องฟากฟ้า
หมายร่วม กระบวน มวลดารา................ประดับ ประดา งามราตรี

    ไฟจาก ฟืนแท้ แค่บรรเทา................แบ่งเบา หนาวคลาย หน่ายฉวี
ยังคง ประโยชน์ ปราโมทย์มี..................ควรที่ สุมก่อ ผิงต่อไป

    เฉกเช่น ทำดี ที่อุตส่าห์....................แม้ไม่ ลบ รา ปัญหาให้
วิบาก ตากตรำ ระกำไตร.......................มิควร ท้อใจ เยื่อใยมี

    กรรมหน ผลเห็น เป็นลำดับ...............เก่ารับ ใหม่รอ ต่อวิถี
พากเพียร พยายาม ทำความดี...............ผลได้ ไม่หนี ชีวีดัน

    ทำดี ทีไร ใจกระจ่าง........................ปัญญา สว่าง สุกสร้างสรรค์
ผลดี ที่เห็น เป็นปัจจุบัน........................สัมพันธ์ ทันที สิริถกล

    แม้ผล อื่นใด (ยัง)ไม่ปรากฏ...............อย่าหมด ศรัทธา มานะกุศล
เหมือนก่อ ไฟผิง อิงอ้างยล....................ประจญ ปัญหา ชีวาเอย ฯ


๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แค่รอ มรณา : กลอนหก



แค่รอ มรณา : กลอนหก

    แปลกตา อากาศ หนาว+ชื้น................เมฆครื้น คลุมฟ้า ไฉน
ทุกปี ฟ้าโปร่ง โล่งไป.............................(แต่ปีนี้)สิ้นสี ฟ้าใส สบายตา

    ถามใคร ก็ว่า ไม่หนาว........................ทว่า " เย็น " น้าว หนักหนา
ผู้คน ซื้อเผื่อ เสื้อผ้า..............................เทน้ำ เทท่า ขายดี

    ลมคล้าย ไม่ค่อย พัดมา.....................ผิวไม่ แห้งพา สุขี
(หาก)หนาวชื้น เช่นว่า ทวี......................คงมี หิมะ (ตก)สักวัน

    ใช่ว่า (แค่)อากาศ ปราดแปลก.............ใจคน ก็แผก แปลกผัน
นับพลอย น้อยมี ศีลธรรม์........................พฤติกรรม์ หยาบกร้าน จัญไร

    ไม่อาย ในการ ทำชั่ว..........................ไม่กลัว ถูกด่า สาไถย
ไม่น่า ไว้เนื้อ เชื่อใจ...............................เป็นไป แทบทุก สังคม

    พบเป็น เห็นปาน ปลิ้นปล้อน................กะล่อน กลับกลอก หลอกสม
แคลนเจตน์ เมตตา ปรารมภ์.....................ใจขม ปากหวาน จรรจา(จรรจา=พูด)

    เจนจิต ติดเป็น นิสัย............................ถึงใน ครอบครัว ชั่วช้า
สัมพันธ์ สั่นคลอน ทอนคลา......................จึงมัก เลิกรา หย่าร้าง

    ชวนให้ ไม่อยาก แต่งงาน.....................ครอบครัว กลัวการ สรรสร้าง
ปราศจาก จุดหมาย ปลายทาง...................เคว้งคว้าง วางแผน ชีวา

    หัวใจ ไม่มี ที่รัก..................................ไร้หลัก พักราต ศาสนา(ราต=ที่ให้แล้ว)
ประคับ ประคอง อุรา................................แค่รอ มรณา มาเยือน ฯ


๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ทางออก : กลอนคติสอนใจ



ทางออก : กลอนคติสอนใจ

    จังหวะ จิ้งหรีด กรีดเสียงร้อง.............ลำนำ ทำนอง ยังก้องใส
แต่เสียง ปักษี สิเงียบไป......................แม้ครา อโณทัย ใกล้กาลที

    เชื่องช้า สุรยาตร เยือนสาดส่อง.........แสงทอง รองเมือง เรืองรัศมี(สุรยาตร=สุระ+ยาตร)
คคนานต์ คลานไต่ ไคลราตรี.................เหมือนไม่ ยินดี มิเต็มใจ

    หมอกหนาว เย็นเยียบ ลูบเลียบโฉม....ผิวโลม แช่มชื่น รมย์รื่นไล้
ลมเย็น เป็นเหมือน เพื่อน(ผู้)มาใหม่........ทักทาย ให้สุข ปลุกชีวัน

    เรื่องทุกข์ เรื่องเศร้า มิเอาใส่(ใจ)........มิคิด มิใคร่ ไม่โศกศัลย์
หากแม้ แก้ไม่ ได้ " ช่างมัน ".................ป่วยการ ขันคิด ปลิดอารมณ์

    สิ่งที่ มิได้ ดั่งใจอยาก.......................ลำบาก ลากไส ไร้ทางสม
หยุดดัน ทุรัง ยั้งนิยม............................เลิกชวน ชื่นชม ข่มอุรา

    โลกกว้าง ยังมี ปรีดิ์เปรมให้................หัวใจ ไขว่ส้อง ข้องหรรษา
ขอแค่ คนขยัน มั่นสัตยา........................ไม่รอ แต่ชะตา โชคมาเกย

    ไม่ยั่น ปัญหา ล่า " ทางออก "............ไม่หลอก หยอกเล่น เช่นเฉื่อยเฉย
คุณธรรม สัมมา ไม่ละเลย......................อ้างเอ่ย ได้ว่า (ย่อม)อภิรมย์

    ชีวี มิต้อง การ(อะไร)มากมาย............." เรียบง่าย " คลายขลุก ทุกข์ขื่นขม
" คิดดี ทำดี " ควรนิยม..........................อุดม วิถี นิรันดร ฯ

๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

นิทานม่านหมอก : กาพย์ฉบัง๑๖




นิทานม่านหมอก : กาพย์ฉบัง๑๖

    มวลขาวเบาบางสะอางบอก(เล่า).............นิทานม่านหมอก
ซอนซอกประดับประดาหน้าหนาว

    เป็นละอองของหมู่ดาว...............โปรยปรายพรายพราว
จากหาวแห่งห้วงราตรี

    ปกคลุมป่าดงพงพี...............อาทรธรณี
วารี-ศิลาสุขศานติ์

    ชโลมไล้ให้ดินกันดาร................รู้สึกสำราญ
เบิกบานซ่านนิศาชล(นิศาชล=น้ำค้าง)

    แลรอต้อนรับสุริยน...............รังสีวิมล
แหวก นภดลพ้นเมฆา

    โอบกอดสอดผนึกพฤกษา................ลูบไล้ใบหญ้า
ปลุกตื่นนิทรา ลาฝัน

    ร่วมช่วยอำนวยชีวัน..............สรรพสิ่งสารพัน
ให้พิภพหรรษ์จรรโลง

    ยามเช้าหน้าหนาวขาวโพลง..............ล่วงสายหลายโมง
หมอกคงปกคลุมชุมเขา

    หมดจดงดงามลำเนา...............ป่าย้อนอ่อนเยาว์
เอาใจใส่ไม่แหนหวง

    เมื่อแดดจ้า-ภาระล่วง...............หมอกพรั่งทั้งปวง
ก็กลับคืนสรวงสู่สวรรค์ ฯ


๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ไม่ใช่ " ใครก็ได้ " : กาพย์สุรางคนางค์๒๘



ไม่ใช่ " ใครก็ได้ " : กาพย์สุรางคนางค์๒๘

    ..............................." เลือกใคร สักคน "
คำพูด ของคน................ชวนฉงน ฉงาย
เหมือนการ " ครองคู่ "......มันดู ง่ายดาย
ไม่เสี่ยง เสียหาย.............ปราศภัย ร้ายพาน

    ................................" คู่ครอง " ไม่ใช่
แค่ใคร ก็ได้...................คล้ายคน โบราณ
เดี๋ยวนี้ ผู้คน....................หลากฉล ล้นฉาน(ฉาน=ซ่าน)
ชั่วช้า สามานย์................สันดาน ไป่ดี

    ................................หญิงร้าย ชายชั่ว
พบเห็น เป็นทั่ว................มั่วสะพัด บัดสี
งามหยาบ ฉาบฉวย...........อยากรวย ล้นมี
ส่วนใน ฤดี......................ไร้ศีลธรรม ดำรง

    ................................คบกัน แค่เปลือก
ทรัพย์-ศักดิ์-สวย เลือก......เกลือกกลั้ว ทั่วหลง
สำรอก บอกรัก.................มักง่าย ไม่พะวง
ประเดี๋ยว เดียวคง.............เบื่อทิ้ง ชิงชัง

    ................................(ไม่)ใช่ใคร ก็ได้
ที่มี นิสัย.........................จิตใจ สูงส่ง
รักศีล (ละ)ธรรม...............กุศลกรรม จำนง
ศรัทธา ประสงค์................มลทิน สิ้นสูญ

    .................................จะรอ ต่อไป
หาร้อน รนใน....................ใจงาม จำรูญ
ถ้าหาก ไม่ใช่....................จะไม่ เทิดทูน
วิถี วิบูล...........................หยุดวุ่น วายเอย ฯ(วิบูล=เต็ม)


๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บัณฑิตย่อมฝึกตน : โคลงสี่สุภาพ



บัณฑิตย่อมฝึกตน : โคลงสี่สุภาพ(บัณฑิต=ผู้มีปัญญา)

. บัณฑิตมิว่างเว้น..................ฝึกฝน
ขัดเกลาตัวของตน..................เพริศแพร้ว
จัดจิตสัมฤทธิ์ผล....................พิสุทธ์
สังสารวัฏฏ์คลาดแคล้ว.............เคลื่อนพ้นทุกขา ฯ

. สัมมาทิฏฐิตั้ง......................ตรงดี
เชื่อในบุญ-บาปมี....................แน่แท้
ไตรลักษณ์หลักฤดี..................ยึดมั่น
อริยสัจสี่แล้...........................ทางแก้ทุกข์กรอม ฯ

. ดำริที่จักพ้น........................พยาบาท
ไม่เบียดเบียนเฆี่ยนฆาต............ปราศร้าย
ราคีสิตัดขาด..........................สกปรก
วิตกแต่กุศล;คล้าย..................ดั่งผ้าแพรขาว ฯ(วิตก=ความตริ)

. มธุรสวจีส้อง.......................พจนา
เหล่าผรุสวาจา........................งดเว้น
วาทีมีสัตยา............................ตรงซื่อ
ส่อเสียดเดียดฉันท์เร้น.............ไป่เพ้อ(เจ้อ)เหลวไหล ฯ

. ไม่เข่นฆ่าทำร้าย..................เบียดเบียน
ไม่เอาเปรียบเวรเวียน...............สุทธ์สร้าง
คดโกงลักขโมยเจียน...............ตัดจริต
ไม่ทำผิดพลาดล้าง..................ชั่วช้าประเวณี ฯ

. อุตสาหะสร้างเนื้อ.................สร้างตัว
หนักเอาเบาไม่กลัว..................เกียจคร้าน
อาชีพสุจริตหัว-.......................ใจหลัก
มั่งมีเงินทองบ้านฯลฯ................สุขทั้งครัวเรือน ฯ

. พยายามตั้งใจสู้...................อุตสาห์
ความชั่วทรามนานา..................ละทิ้ง
ความดีทุ่มพัฒนา.....................มนัสแกร่ง
ใจสุกใสพรายพริ้ง....................เว้นสร้างเวรกรรม ฯ

. เอาจิตใจใส่ไว้.....................ในสติ
สำนึกมนัสปริ...........................ตื่นรู้(ปริ=รอบ)
ระลึกมั่นคงมิ...........................ลืมตัว
กุศลกมลสู้..............................สืบรั้งรักษา ฯ

๙. สมาธิฤดีตั้ง..........................ตรงไตร
สั่งสมอารมณ์ใน.......................สงบล้ำ
กระทบสิ่งสรรพไส....................ไหวหวั่น
ดุจภูผาศิลาค้ำ.........................จิตไซร้อดิสร ฯ


๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เพื่อความอยู่รอด : กลอนคติสอนใจ




เพื่อความอยู่รอด : กลอนคติสอนใจ

    ต้องขยัน ทำงาน กันกว่าเดิม.............(เพราะ)ค่าอาหาร ผันเพิ่ม เริ่มขยับ
ค่าครองชีพ ถีบแข่ง แทงขันคับ.............สินค้าสรรพ ปรับลื่น ขึ้นราคา

    ต้องอุตส่าห์ ประหยัด มัธยัสถ์............รัดเข็มขัด ลดปอง ของปรารถนา
ซื้อเท่าที่ จำเป็น เจนปัญญา..................ใช้ของอย่าง รู้ค่า เงินตราตรอง

    เศรษฐกิจ ยับเยิน เงินหายาก.............ผู้คนหลาก ทุจริต วิปริตส้อง
ข้าราชการ นักการเมือง มีเนืองนอง.........คอยจดจ้อง ช่องทาง หวังโกงกิน

    โจรผู้ร้าย ชุกชุม คุมไม่อยู่.................อย่าคิดสู่ พึ่งตำรวจ ปวดร้าวสิ้น
กระบวนการ ยุติธรรม ดำทมิฬ.................กระสันถวิล สินบน (ดั่ง)แดนสนธยา

    ผองผู้แทนฯ แสนชั่วช้า สารเลว..........สิ่งชี้วัด ราษฎรเลว เลือกต่ำช้า
คนที่ดี มีศีลธรรม มุ่งสัมมา.....................ยากจักหา คือสาเหตุ แห่งเภทภัย

    คนรูปสวย รวยทรัพย์ นับไม่หวาด........แต่ใจทราม ต่ำสาต นับไม่ไหว(สาต=ยินดี)
หลากเลศล้น มนเมา เอาแต่ใจ................เดือดร้อนใคร ไม่คิด จิตคดครวญ

    ใส่หน้ากาก มากล้น โฉดฉลจิต...........ทำทีท่า ว่ามิตร ใจผิดผวน
มอบคำมั่น สัญญา น่ารัญจวน..................ปองเรรวน ปรวนแปร อย่าแน่ใจ

    ไม่ระย่อ  ต่อสู้ เพื่ออยู่รอด..................ไม่ทิ้งทอด ศีลธรรม นำนิสัย
ไม่ประมาท เก็บออม กร่อมทรัพย์ไว้..........ไม่เสี่ยงใกล้ ภัยเภท เทวษเทอญ ฯ(กร่อม=ช้าๆ แต่ทำเรื่อยๆ)


๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ป่า-รีสอร์ท-สนามกอล์ฟ : กาพย์ยานี ๑๑



ป่า-รีสอร์ท-สนามกอล์ฟ : กาพย์ยานี ๑๑

    เหยียบดิน ดมกลิ่นหญ้า.................แดนชายป่า ในหน้าหนาว
ธรรมชาติ อรุณราว............................สุก สกาว สู่สวรรค์

    ภุมดล ชนบท...............................เขียวสีสด ขจีพรรณ(ภุมดล=พื้นดิน)
พืชผัก ขึ้นลักลั่น...............................เพาะปลูกกัน เพื่อการค้า

    หมอกขาว เมื่อเช้าตรู่.....................หมดจดดู งามตรูตา
เคลื่อนย้าย ไปช้าๆ............................ประหนึ่งว่า มีชีวิต

   หลงใหล ในธรรมชาติ......................สุทธ์สะอาด สาตสฤษฏ์(สาต=เป็นที่พอใจ)
ดื่มด่ำ ดั่งอำมฤต...............................เพริศพิจิตร พิตรวิจารณ์(พิตร=ของเครื่องปลื้มใจ)

    แผ่นดิน ถิ่นกว้างใหญ่.....................เพื่ออาศัย แสนไพศาล
เลือกอยู่ บรรลุการ..............................กิจสำคัญ สรรหากิน

    บ้านพัก ตากอากาศ........................ใกล้ธรรมชาติ มาด ถวิล(มาด=มุ่งหมาย)
ปลูกสร้าง ถางป่าสิ้น...........................ทำลายดิน ถิ่นอุดม

    โดยเฉพาะ สนามกอล์ฟ...................ที่มักลอบ ชอบสร้างสม
รุกล้ำ ธรรมชาติชม..............................สนองนิยม สังคม(คน)รวย

    น่าอนาถ ประหลาดนัก......................เงินมากมัก ไม่ยักช่วย
รักษา ธรรมชาติสวย.............................พิสุทธ์ด้วย อวยโลกา

    กลับการณ์ ตรงกันข้าม......................พฤติทราม ทำลายป่า
ยิ่ง(มั่ง)มี ยิ่งอวิชชา..............................อกตัญญุตา ต่อหล้าเอย ฯ


๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รำพึงถึงรัก ในฤดูหนาว : กลอนความรัก



รำพึงถึงรัก ในฤดูหนาว : กลอนความรัก

    หนาวบ้างไหม คนดี บอกพี่หน่อย ?...........โฉมสุรางค์ ร่างน้อย ก้อยเกี่ยวแขน(สุรางค์=นางสวรรค์)
ทิพากร รอนลับ หนาวคับแดน......................อุ่นกายพี่ นี้มิแร้น แม้นสุรีย์

    เจ้าบอกกล่าว หนาวแก้ม พี่(จึง)แก้มหอม...กลิ่นพะยอม กล่อมกรุ่น ละมุนฉวี
เจ้าบอกกล่าว หนาวมือ หรือคนดี ?...............มือของพี่ ขอกุม (มือ)น้องนุ่มนวล

    เจ้าบอกกล่าว หนาวกาย อายกระดาก........(พี่)มิเอ่ยปาก กรากกอด (เจ้า)อิดออดขวน
หาได้หวัง รังแก แม่อย่าครวญ......................ที่ทำถ้วน ล้วนเพื่อเจ้า ผ่อนหนาวคลาย

    อุ่นกายา อุ่นกว่า อุ่นผ้าห่ม.......................อุ่นอุรา อุ่นอารมณ์ อุ่นสมหมาย
เมื่อไม่หยุด สุจริต จิตสบาย..........................ไม่กระหาย ใคร่คิด ผิดศีลธรรม

    ความรักคือ อาคม อุดมฤทธิ์.....................ชุบชีวิต พิสดาร สราญล้ำ
ดั่งล่วงสู่ สรวงสวรรค์ วิมานคำ......................ทุกเช้าค่ำ ฉ่ำหวาน ซ่านชีวี(คำ=ทองคำ)

    รักตัวเอง ต่างจาก รักคนอื่น......................มอบรักให้ หทัยชื่น รื่นสุขี
รัก(เอา)แต่ได้ หลายมล ล้นฤดี......................คงไม่มี ทางรู้ อุกฤษฏ์รัก(อุกฤษฏ์=สูงสุด)

    มิสามารถ บังคับ (ใคร)รับรักได้..................ทำเพียงให้ หัวใจมอบ นอบสมัคร
แม้นมิสม ประสงค์ ปลงใจพัก........................อย่าฝืนฝัก จักพาล ทรมานใจ

    มีรักได้ ก็ดี งามวิจิตร...............................แม้รักไร้ ใช่ชีวิต ไร้พิสมัย
อิสระ เสรี งามวิไล.......................................มิควรใคร หยามเหยียด รังเกียจเลย ฯ


๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ 

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อย่าเกียจคร้าน : กลอนคติสอนใจ



อย่าเกียจคร้าน : กลอนคติสอนใจ

    ครั้นลมหนาว เคล้าคละ ละอองฝน...........นภดล หม่นหมอง เมฆครองขยาย
สุริยา มาไร้ ไม่กรีดกราย............................สัตว์ทั้งหลาย กายสั่น สะท้านทรวง

    รุจิรา อ่อนระเรื่อ เจือจางจรัส...................มิบำบัด ปัดเป่า ให้หนาวล่วง
ลมรำเพย เลยระลอก ซอกซอนปวง..............ทุกสิ่งสรรพ เมื่อจับ-จ้วง หน่วงหนาวเย็น

    ใส่เสื้อหนา สามารถ อาจบรรเทา..............แต่ไม่เท่า ทำงาน ขันแข็งเข็น
เมื่อเคลื่อนไหว กายกรุ่น อุ่นอายเป็น.............ผลได้เห็น เป็นสองเท่า เอาการงาน

    ดีกว่ามุด อุดอู้ อยู่ใต้ผ้า(ห่ม)....................ไม่ทำมา หากิน ชีวินผลาญ
ความเป็นคน ไร้ค่า น่ารำคาญ.......................อยู่เพื่อลาญ ทรัพยา สิ้นอาดุร

    ทำงานน้อย คอยผล ตอบ(แทน)ตนมาก......มิกระดาก ดักดาน มานสถุล
รังเกียจงาน สำราญเล่น ไม่เป็นบุญ.................กลับเป็นทาง ล้างผลาญทุน ขุน อบาย

    คนเกียจคร้าน ไร้วันที่ มีความสุข................ความเกียจคร้าน บันดาลทุกข์ รุกเร่าหลาย
เลิกเกียจคร้าน งานก่อ เสาะเลี้ยงกาย..............จึงจะคลาย หายเข็ญ เร้นกังวล

    หยุดทำตัว มัวเมา เอาแต่เล่น.....................มองให้เห็น เช่นโทษ ช่างโฉดฉล
เมื่อเกิดมา มีชีวิน (แต่)ไม่ดิ้นรน......................ย่อมคือคน ยลเขลา เบาปัญญา

    อย่างอมือ งอเท้า ไม่เข้าที.......................ใช้ชีวี สร้างสุทธ์ งานอุตสาห์
ฝากเอาไว้ ให้อยู่ คู่โลกา...............................เป็นสัญญา ว่าเรา(ได้)เกิด ประเสริฐการ ฯ


๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เสพศิลป์ : กลอนจรรโลงใจ



เสพศิลป์ : กลอนจรรโลงใจ

    เสพศิลป์.............................ประทิน จินดา อัชฌาศัย
สะคราญ ซ่านซาบ อาบทรวงใน......ผ่องสุทธ์ ผุดใส ไร้มลทิน

    ละเมียด ละไม ในอารมณ์..........ชื่นชม รสชาติ ระบัดศิลป์
ดุจทิพ สุธา นภาริน......................โศภิน วิญญาณ ศานติ์ฤดี

    เอิบอิ่ม ปิ่มเปรม เกษมปรก........อุ่นอก อะไร ได้เช่นนี้ ?
สรรพสิ่ง จริงไซร้ ในโลกีย์.............หามี รสเทียบ เลิศเปรียบปาน

    ทุ่มเท ทุกสิ่ง ทิ้งทุกอย่าง..........เพื่อสร้าง สุญญตา พิษฐาน
บ่มเพาะ ศิลปะ จินตนาการ.............เพริศใส ไพศาล พิมานแมน

    พ้นกรอบ จารีต ขีดจำกัด...........นามธรรม สัมผัส พิพัฒน์แสน
อิสระ โบยบิน ไร้ดินแดน................ทลาย แบบแผน แก่นอัตตา

    ไม่มี ความเมา เขลาใหลหลง......ปฏิภาณ ยรรยง ทรงผลา
บังเกิด อุกฤษฏ์ แห่งฤทธา.............สร้างสรรค์ ศิลปะ ศุภาลัย

    ประดับ ประดา โลกมนุษย์..........ประดุจ บุษบา อดิศัย
ประสงค์ สันติ นิรามัย....................ประสิทธิ์ จิตใจ ให้โสภี(นิรามัย=สุขสบาย)

    รุ่มรื่น ชื่นชู เพื่อผู้เสพ................แด่เทพ (พะ)ยดา บูชาศรี
ศิลปะ ไสว ไร้ราคี.........................โลกา สวัสดี นิรันดร์เทอญ ฯ


๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สิ่งเร้นลับที่ชื่อว่า " ใจคน " : กาพย์ฉบัง๑๖



สิ่งเร้นลับที่ชื่อว่า " ใจคน " : กาพย์ฉบัง๑๖

๏   ฝนพรั่งกลางเดือนธันวา ฯ................ประหลาดอุรา
ไม่รู้จะเรียก(ฤดู)หน้าไหน ?

  ว่าหนาวก็หนาวไม่เท่าใด...............ร้อนเวียนเปลี่ยนไว
สุดท้ายก็ได้เห็นฝน

๏   เมฆาหนา ทบ นภดล...............จรดขอบฟ้าจน
มืดมนล้นม่านฝนหนอ

๏   เริ่มตกแต่เที่ยงเคียงคลอ ..............ไม่เพียงไม่พอ
ตกต่อข้ามค่ำฉ่ำฉิว

๏    ดึกดื่นมวลชื้นมื่นปลิว...............ล่องลอยละลิ่ว
เป็นพรายไอพลิ้วทั่วทิวเขา

   ฤดูกาลผันแผกแปลกเอา...............ยังมิเทียมเท่า
คงเข้าใจง่ายกว่า " คน "

๏    แสนลึกซึ้งบึ้งกมล...............อย่าสู่รู้ค้น
หวังกระจ่างมีพ้นพิสัย

๏    (เหมือนมี)หลากสิ่งสิงสู่อยู่ใน................นิรมิตจิตใจ
เปลี่ยนได้ไม่แน่ไม่นอน

๏    ทั้งที่แสดงแสร้งละคร................แลแบบแอบซ่อน
ซับซ้อนย้อนยอกหยอกหรือ ?

๏    สรุปได้แค่ " ใจคน " คือ ..............อัศจรรย์บันลือ
เลื่องชื่อเร้นลับนับเอย ฯ


๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประชาภิวัฒน์ : กลอนการเมือง



ประชาภิวัฒน์ : กลอนการเมือง

    รถขับ รับขี่ มีปัญหา...................รังแต่ จะพา ตกผาตาย
มิมี ทางถึง ซึ่งจุดหมาย..................นอกจาก ฉิบหาย หายนะ

    อย่านำ คำนึง บึ่งต่อไป ?............แก้ไข ให้หยุด อุตสาหะ ?
สิ่งใด ถูกต้อง คลองธรรมะ ?............รู้จัก พิจารณา เลือกอะไร ?

    เมื่อการ ปกครอง มองอุบาทว์.......ได้ชน ชั่วชาติ ดาษสาไถย
มาโกง มากิน แผ่นดินไกร................เพิ่มภัย ร้ายเภท เวทนา

    ระบบ เลือกตั้ง ซังกะตาย.............ซื้อ-ขาย เสียงสิทธิ์ ผิดอัตถา(อัตถ์=ประโยชน์)
นโยบาย โสมม นิยมประชา...............สร้างภา ระหนี้ วิกฤติอนันต์

    กระบวนการ ยุติธรรม เยี่ยงจำอวด...แสร้งสวด ตรวจตรา หากวดขัน
เช้าชาม เย็นชาม ทำงานกัน..............บ่อยครั้ง ยังดัน ปล่อย(โจร)มันไป

    จึงมวล มหา ประชาชน.................ร่วมล้น เรียกร้อง ต้องแก้ไข
เปลี่ยนจาก ธนา ธิปไตย...................เป็นประชา ธิปไตย ให้แท้จริง

    ป้องกัน คนทราม ครอบอำนาจ.......ปกปัก รักชาติ ชีวาตม์ยิ่ง
เพื่อสร้าง อนาคต สดใสพริ้ง.............ไม่นิ่ง ดูดาย ภัยชาติมี

    ประชา อภิวัฒน์ รัฐ(ฐะ)ไทย...........วิสัย ใคร่สรรค์ ถวัลย์ศรี
สนับ สนุน คุณความดี.......................จำรัส ปัถพี นิรันดร ฯ


๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๖
* ประชาภิวัฒน์ = ประชา + อภิ + วัฒน์
ความหมาย ตามที่อาจตีความได้ คือ การทำให้เกิดความเจริญอย่างยิ่งใหญ่โดยประชาชน

ใช้ชีวิต : กาพย์ยานี ๑๑



ใช้ชีวิต : กาพย์ยานี ๑๑

    อุ่นไอ ใต้ผ้าห่ม.....................ชวนรื่นรมย์ ฤดูหนาว
ราตรี นิศาราว............................ลอยเลียบหาว เห็นดาวเดือน(นิศา=กลางคืน)

    ไอเย็น เป็นโอชา...................ปรุงนิทรา มิคลาเคลื่อน(คลา=คล้อย)
สุขแท้ แม้ลางเลือน....................ไร้สติ สมประดี

    ไม่ต้อง นอนห้องสวย..............เพียงอำนวย นิทราศรี
ห่มให้ กายอุ่นดี.........................มิต้องมี พัสตร์พิไล(พัสตร์=ผ้า)

    หนาวเย็น เช่นที่นี่...................ยัง(อยาก)ยินดี หนาวที่ไหน ?
ต่างแดน แสนห่างไกล.................ไร้สาระ ค่านิยม

    โศภิน สินชีวา........................ใช้เวลา เพื่อสะสม(โศภิน=งาม)
พัฒนา การอุดม..........................อบรมจิต ความคิดจำ

    ความสุข (ย่อม)ค่อยเลือนหาย.....(แต่)ความรู้หลาย ขยายล้ำ
ต่อ ยอด ตลอดทำ.........................นำไปสู่ อุกฤษฏ์ไกร

    ชื่นชอบ ความรอบรู้...................เป็นประตู ปูเงื่อนไข
พิศาล ปัญญาใหญ่........................น้อมเข้าใจ ในสัจจา

    จะได้ ใช้ชีวิต...........................ไม่พลาดผิด หลงมิจฉา
สูญไคล อย่างไร้ค่า.......................น่าเวทนา อนาถเอย ฯ(ไคล=ไป)


๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บ้านป่าเมืองเถื่อน : กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘




บ้านป่าเมืองเถื่อน : กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘

...................................เราอยู่ ที่ไหน ?
ประเทศ ที่ใคร................ทำตาม ใจสิ้น
ละเมิด ระเบียบ...............เหยียบย่ำ ระบิล
รติ ชีวิน.........................ชินเห็น แก่ตัว(รติ=ความชอบใจ)

...................................ผู้คน เกียจคร้าน
ไม่ชอบ ทำงาน...............อันธพาล ลานทั่ว
อวดเป็น นักเลง...............เบ่งล้น คนกลัว
โง่เขลา เมามัว................หัวคิด งมงาย

....................................ไร้ศีล (ละ)ธรรม
ทุจริต จิตจำ....................ใจดำ มักง่าย
เอารัด เอาเปรียบ..............เลียบ หา สบาย
แม้ต้อง ทำลาย................ใครอื่น ก็ตาม

....................................ทำมา หากิน
มนา ถวิล........................กิน-โกง คงขาม
ยุติธรรม ดำเนิน................เส้น-เงิน เกินห้าม
นักบวช ซวดทราม............ลุกลาม ตามใจ(ซวด=เกินขนาด)

....................................คนจึง ไม่กลัว
กระทำ ความชั่ว...............ไม่ว่า ที่ไหน
ทุจริต คิดคด...................จดจ้อง ปองไป
ยากรอด ปลอดภัย............ในหมู่ ทรชน

....................................บ้านป่า เมืองเถื่อน
เหตุฝาก ตักเตือน.............เพื่อนผู้ หวังผล
อย่าได้ ประมาท...............ทรชาติ ผองชน
แวดล้อม ห้อมตน..............ทุกหน แห่งเอย ฯ


๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖