ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความสุขในโลกย์ : กลอนหก





ความสุขในโลกย์ : กลอนหก


    ลาภ-ยศถา-บรรดาศักดิ์...............สวามิภักดิ์-รัก-สรรเสริญ
โลกธรรมเด่น เห็นเพลิดเพลิน...........ชวนดำเนิน จำเริญใจ

    เป็นเป้าหมาย ปลายทางมุ่ง...........ที่คนพุ่ง ยุ่งหลงใหล
อยากเสพสม รมย์เนื่องใน..................ทุ่มเทไป ให้ถึงปอง

    สถานะ โลกาที่............................นำสุขี ศรีสนอง
มีมากมาย หลายก่ายกอง...................รู้จักมอง ไตร่ตรองมาน

    สิ่งดีๆ ที่ชื่นฉ่ำ..............................สุขเลิศล้ำ งามสนาน
เช่นศิลปะ วิทยาการ..........................สร้างสรรค์งาน บันดาลดล

    ชมความงาม ธรรมชาติ..................ความสามารถ กาจเหตุผล
พัฒนา จิตราตน................................ให้พิมล หนสุขใจ(จิตร=ใจ)

    ศีลธรรม นำประสิทธิ์.......................สุจริต พิสมัย
จริยา สุทธาไท..................................เพริศพิไล ให้ชีวี

    การเอื้อเฟื้อ ทานเผื่อแผ่..................เอิบอิ่มแท้ แดสุศรี
การละลด ปลดราคี..............................ใคร่หิริ ปีติตน

    เป็นคนดี ละกิเลส............................บาปชั่วเฉด วิเศษล้น
ญาณวิชชา นิรามล...............................คือสุขสน บนโลกย์เอย ฯ

๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หนทางชีวิต : กลอนคติสอนใจ



หนทางชีวิต : กลอนคติสอนใจ

    ทางคด บทจร..............ลุ่มๆดอนๆ คลอนแคลนไหว
เหนื่อยยาก ลำบากไป........ทั้งกาย-ใจ หน่ายระกำ

    ทางตรง อลงกต............ราบเรียบหมด จดงามขำ
แสนง่าย สบายดำ-.............เนินสนาน สราญใจ

    ประหนึ่ง ซึ่งชีวิต............สมัครจิต พินิจฉัย
เลือกกรรม ดำเนินไกร.........ใดยึดถือ คือหนทาง ?

    ทำตาม อำเภอใจ............ยอมอยู่ใต้ พิสัยสาง(สาง=ผี,กลิ่นเนาของซากศพ)
บาปชั่ว ยวนยั่วย่าง...............สร้างทุกข์เข็ญ บำเพ็ญพาล

    เคราะห์กรรม ตามสนอง.....ลำเค็ญข้อง หมองหม่นขาน
ยากเย็น ไม่เว้นวาร................การบาปส่อ กรรมก่อไส

    หนทาง ที่ถูกต้อง.............อาจคับข้อง ไม่ต้องใจ
จับจ้อง ทนท่องไป..................ให้สัมฤทธิ์ พิชยา

    พากเพียร พยายาม.............มิคล้อยทราม กิเลสา
มนัส ชัชวา-...........................ละอุตม วิกรมธรรม

    ซื่อสัตย์ สุจริต....................ชั่วไม่คิด ขจิตขำ
เชื่อบท กฎแห่งกรรม................ทำดีได้ ศีลให้ดี

    ราบรื่น ทุกคืนวัน..................เป็นสุขสันติ์ บรรเจิดศรี
หนทาง สว่างนี้........................นิยมเถิด ประเสริฐเอย ฯ

๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คำอวยพรวันแต่งงาน : กลอนสุภาพ



คำอวยพรวันแต่งงาน : กลอนสุภาพ


    เมื่อกามเทพ แผลงศร กำธรรัก                  ใจสมัคร ฝักมั่น สัมพันธ์หมาย
อยากชิดเชื้อ เยื่อใยคลี่ มิเสื่อมคลาย                  คู่ฟ้าดิน สินธุสาย มิวายวาง

    เมื่อใจสอง คล้องสวม รวมเป็นหนึ่ง             สุขซาบซึ้ง ตรึงซ่าน ปานฟ้าสาง
ทรวงพิสุทธิ์ หลุดล้น พ้นเลือนราง                     เพริศสว่าง พร่างพราว สกาวไกร

    ทะนุถนอม กล่อมเกลา เสาวรัก                  คอยพิทักษ์ ภักดิ์สถิต พิสมัย
พ้องเกื้อกูล พูนมี พลีน้ำใจ                              เอาใจใส่ ไล้สุข ทุกเพลา

    ความซื่อตรง ทรงคุณ สุนทรค้ำ                 ขันติธรรม อำนวย ช่วยรักษา
ปรับปรุงตน กมลมาศ อัธยา(ศัย)                      เสียสละ จาคะร้อย คล้อยหทัย

    ขอคุณพระ รัตนตรัย ให้ปกปัก                    ขอสิ่งศักดิ์ สิทธิ์ดูแล ช่วยแก้ไข
ขอสวัสดิ พัฒนา ก้าวหน้าไกล                          ขอรักให้ สุขสันติ์ นิรันดร ฯ

๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อวดเก่ง : โคลงสี่สุภาพ




อวดเก่ง : โคลงสี่สุภาพ

๑.ย่ำค่ำอำลาแล้ว.............สุริยัน
หอมพญาสัตบรรณ............กลิ่นฟุ้ง
กำจรทั่วพนาสัณฑ์.............คันธ์ส่ง
คงอยู่สุคนธ์คลุ้ง.................ล่วงล้ำยามสอง ฯ

๒.กลิ่นใดๆกรายกล้ำ...........ไป่เห็น
พญาสัตบรรณเป็น...............เอกแท้
หอมชื่นสี่คืนเข็น..................จึงสงบ
" จำกัด "มีทั่วแม้................แต่ต้นพฤกษา ฯ

๓.ก่อการย์สำเร็จได้...............ชวนหลง
คิดว่าสามารถทรง..................เยี่ยมแท้
ยโสโอ่ทะนง.........................องค์อาตม์
ประมาท นฤนาทแล้...............แผ่ห้วงหฤทัย ฯ(นฤนาท=การบันลือ)

๔.ลุแก่อำนาจให้....................อหังการ
อวดเก่งกาจสามานย์..............ชั่วช้า
ยกตนใหญ่ใจพาล...................ข่มเพรื่อ
หลงเลิศประเสริฐกล้า...............หยุดพร้อมพิพัฒน์ ฯ

๕.เชื่อมั่นเกินเพลินให้...............พาลผิด
กรรมก่อเพาะวิกฤติ...................พลาดพลั้ง
เสียหายก่ายกองติด..................ตามตัด
ประโยชน์สูญสาบยั้ง.................สะดุดล้ำจำเริญ ฯ

๖.ทุกสิ่งย่อมมีข้อ.....................จำกัด
คนไม่สามารถขัด......................สัจจ์นี้
ผยองหยิ่งกำจัด........................งามเกิด
เสงี่ยมสงบสบชี้.........................ผ่านแล้พัฒนา ฯ

๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มักง่ายใจแคบ: วิชชุมมาลาฉันท์ ๘




มักง่ายใจแคบ: วิชชุมมาลาฉันท์ ๘

    มักง่าย ใจแคบ..............แบบอย่าง สังคม
เห็นแก่ ตัวธม....................โสมนัส อัตตา
อาเพศ เหตุผล...................โฉดฉล ค้นหา
ชื่นชม รมยา.......................วัฒนา ราคี

    มักง่าย ใกล้คิด...............ชีวิต ชิดหน้า
โลภมาก อยากกล้า..............ตัณหา ตระบัดศรี
ไม่สน ใจสำ-.......................คัญธรรม ความดี
บุญ-บาป สาบมี...................ศีลวัตร ขัดใจ

    ไม่ทน อดกลั้น................บันดาล โทสา
ไม่กลัว ชั่วกล้า....................มิจฉา สาไถย
ไม่มี เมตตา.........................ปราณี พลีใคร
ไม่มี น้ำใจ...........................ให้หล้า สาธารณ์

    ใจแคบ แนบค้ำ.................ใจดำ อำมหิต
เห็นแก่ ตัวติด........................ริษยา หาหาญ
ฉ้อฉล กลเล่ห์.......................เกเร อันธพาล
คดโกง หลงกานต์..................ไม่สง สารใคร(กานต์=เป็นที่รัก)

    เอารัด เอาเปรียบ................เหยียบย่ำ ทำเข็ญ
เบียดเบียน เชียรเป็น................ธรรมดา ปราศรัย
โลกจึ่ง เร่าร้อน........................ย้อนเป็น เช่นไฟ
ล้นเลศ เภทภัย........................ตัวใคร ตัวมัน ฯ

๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เทียนไข ในความมืด : กลอนเจ็ด


เทียนไข ในความมืด : กลอนเจ็ด

    ทินกร รอนรงค์ ลับดงแล้ว                นกเนือย เจื้อยแจ้ว แว่วจบเสียง
ราตรี คลี่คลุม นุ่มนวลเคียง                      เหลือเพียง เมียงไพร ในมืดมน

    จุดเทียน เปลี่ยนแปลง แสงจรส          เรืองปลด ลดเปลื้อง เคืองขัดสน(จรส=สว่าง)
นารา รัศมี ทีปดล                                  เยี่ยมยล วิเศษ เวทนา(นารา=รัศมี)

    ขอเป็น เทียนไข ในความมืด              ดงพรืด ครืดดำ สำมะหา
เปลวไฟ ให้แสง สำแดงดา                      เหมือนให้ ดวงตา สาทิสมี(สาทิส=เหมือนกัน)

    ขอถ่าย ทอดธรรม อันล้ำเลิศ             ประเสริฐ เสริมส่ง ธำรงศรี
ศึกษา ปฏิบัติ ศรัทธาดี                           ชีวี พิสุทธิ์ พุฒสราญ(พุฒ=เจริญ)

    ดั่งเทียน ต่อเทียน เจียรจรัส               ศีลสัตย์ พัฒนา สุธาศานติ์(สุธา=น้ำอมฤต)
ขจัด มลทิน ราคินมาน                            ภิบาล พันเลิศ พรึงเพริศเอยฯ(พันเลิศ=เลิศยิ่ง)

๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ต้นน้ำ ต้นหนาว : อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑




ต้นน้ำ ต้นหนาว : อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑


    ต้นน้ำ และลำธาร..............ชลลาน ศิลาหลาย
น้ำเหือด ละหานกลาย.............สุกข์สาย มิไหลเป็น(สุกข์=แห้ง,แล้ง)

    สิ้นเดือน ตุลาฯรอน.............ศศิธร ขจรเห็น
ถึงวัน พระจันทร์เพ็ญ...............อวสาน ละพรรษา

    สิ้นสูญ พิรุณลับ..................ตรุสรรพ ขยับลา(ตรุ=ต้นไม้)
ใบแห้ง แขนงหา.....................อรไร้ บ่ได้เห็น

    สิ้นครา ทิพาแคล้ว..............นภแผ้ว เพราะเดือนเพ็ญ
สุกพราว สกาวเย็น..................สุจิตรา ณ ราตรี(สุจิตร=เด่น,ยิ่งใหญ่)

    ดึกมา พนาสณฑ์.................สุติดล ผจญศรี(สุติ=การได้ยิน)
บรรจบ สงบมี..........................ปริสัน ติบัญชร

    สิ้นฝน พิมลไร้.....................พนไพร สลายสร(สร=แกล้วกล้า)
พฤกษา อนาทร.......................สละใบ ไคลคลา(อนาทร=ไม่เดือดร้อน)

    เกิดจุติ มนุษย์นาถ................อภิชาต ณ โลกา
พร้อมสรร พะปัญญา..................สติชิด วินิจฉัย

    ควรต้อง ตริตรองตน..............อกุศล กมลไส
ผ่องแผ้ว ทแกล้วไกร..................ตลไม้ ละใบราน(ตล=เช่นเดียวกับ)

    จำนง ผจงวัตร.......................ปฏิบัติ ประหัตหาญ
บาปเภท กิเลสพาล.....................สฐสิ้น มุทินทอน ฯ(สฐ=โกง,มุทิน=มลทิน)

๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การงานไม่คั่งค้าง : กลอนคติสอนใจ





การงานไม่คั่งค้าง : กลอนคติสอนใจ
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    ล่วงอรุ โณทัย.............ประไพ ตาวัน สาดส่อง
แสงเงิน แสงทอง.............เรืองรอง ต้องน้ำ ค้างใส
ดั่งเพชร เม็ดพราว............สกาว วาววับ จับใจ
กลางดง พงไพร...............เกาะใบ ไม้หญ้า อาทร

    เย็นรื้น ชื่นฉ่ำ...............หลังค่ำ น้ำฝน หล่นริน
เริงร่า ธรณิน....................แผ่นดิน พนา อดิศร
ให้ความ สุขี.....................และขยี้ ชีวิต ลิดรอน
ให้การ สั่งสอน..................กำธร ประกฤติ วิทยา

    วิถี ชีวิต.......................อย่าคิด แค่เที่ยว เลี้ยวเล่น
ไร้บท กฎเกณฑ์................เบี่ยงเบน ทะยาน ตัณหา
ต้องกิน ต้องใช้..................มากมาย ให้พิ จารณา
ดูแล รักษา........................ชีวา ตน-คน ใกล้เคียง

 มุ่งมั่น สรรค์สร้าง............ไม่คั่ง ค้างงาน การก่อ
หนักหนา อย่าท้อ................ไม่ล้อ เล่นเกิน เหินเฉียง
นอกลู่ นอกทาง...................อย่าย่าง อย่าเดิน เพลินเพียง
ปองปลีก หลีกเลี่ยง..............ไม่เสี่ยง ประมาท พาธภัย ฯ

๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ขยะพิษ ในจิตใจ : กาพย์ยานี ๑๑





ขยะพิษ ในจิตใจ : กาพย์ยานี ๑๑


    ขยะพิษ ในจิตใจ...............สร้างเภทภัย ให้ชีวี
ความชั่ว คือตัวดี....................มีฤทธิ์ร้าย ไม่ระวัง

    ความโลภ ละโมบมาก.........คอยกระชาก ลากพลาดพลั้ง
ทุจริต คิดเบียดบัง...................ไม่ยั้งยล ฉลฉ้อโกง

    ความโฉด เหี้ยมโหดร้าย.......คอยให้ท้าย คล้ายช้างโขลง
ใจดำ อำมหิตโยง.....................ยึดจิตให้ ใคร่เบียดเบียน

    ความหลง ไม่รู้จริง................มายาสิ่ง อิงอ้างเศียร
บาปธรรม บำเพ็ญเธียร...............ก่อทุกข์เข็ญ เป็นสามานย์

    ความคิด มานมิจฉา...............หลงอัตตา เตชาหาญ
อหังการ มมังการ......................เห็นแก่ตัว แน่นหัวใจ

    ราคี ค่านิยม.........................ชั่วรื่นรมย์ ชมสาไถย
มัวเมา เร้ารึงใจ..........................ไม่รักดี มิศรัทธา

    เกียจคร้าน งานการกิจ...........ทำร้ายมิตร ริษยา
เหลวไหล ใคร่มารยา....................อีกสารพัด พิบัติมี

    ล้วนเป็น ขยะพิษ.....................ผลาญชีวิต จิตวิถี
หลงผิด ชอบ-ชั่ว-ดี.......................ทำลายตน ผลสุดเอย ฯ

๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สุภา ปิยะจิตติ วีรสตรีศรีสยาม : กาพย์ยานี ๑๑




สุภา ปิยะจิตติ วีรสตรีศรีสยาม กาพย์ยานี ๑๑


    "สุภา ปิยะจิตติ"...........วีรสตรี ศรีสยาม
หาญกล้า ประจัญความ......ทรามชั่วร้าย ในโฉดชน

   ต่อสู้ เรื่อง 3G.................ประมูลมี ทีท่าฉล
กทค. เอื้อเอกชน...............ปรนต่างชาติ ปราศละอาย

๏   ประจาน จำนำข้าว.........ทุจริตฉาว เน่าเสียหาย
รัฐบาล สันดานควาย............กลั่นแกล้งสอบ ฐานเปิดโปง

    ไทชน ทนไม่ไหว............รัฐบาลไพร่ ผีตายโหง
กู้กิน แผ่นดินโกง.................โยงทักษิณ ทรินทร์ชน(ทรินทร์ =ทร+อินทร์)

    ร่วมมือ ร่วมใจกัน..............สกัดกั้น การฉ้อฉล
เรียกร้อง พี่น้องรณ-...............(ณะ)รงค์รักษ์ พิทักษ์ไทย

    ปกป้อง แซ่ซ้องศรี............เทิดคนดี ที่เลื่อมใส
สุจริต ทรงจิตไกร..................ไม่ยอมแพ้ แก่พลพาล

    ชาติเรา จะก้าวหน้า............ถ้าคนไทย ใจห้าวหาญ
พิชิต ทุจริตการ......................ลาญให้สิ้น แผ่นดินทอง ฯ

๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕
(แก้ไข : ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖)

ภาพขำขำ ๕๖

ภาพขำขำ ๕๖
































ปริญญา มีค่าเท่ากับ กล่อง : กลอนแปด




ปริญญา มีค่าเท่ากับ กล่อง : กลอนแปด


    ผลิตภัณฑ์ สรรค์สร้าง วางจำหน่าย                ย่อมมุ่งหมาย ขายดี มีคนซื้อ
ต้องตกแต่ง แปลงงาม ให้ร่ำลือ                           นิยมคือ บรรจุภัณฑ์ บรรดามี

    หีบห่อให้ ใครเห็น เป็นชื่นชอบ                      ประดิษฐ์รอบ ขอบชิด วิจิตรศรี
ของมากมาย หลายอย่าง แลบางที                       คุณค่ามี ที่ "กล่อง" ใช่ "ของ"จริง

    "ปริญญา" ค่านับ เท่ากับกล่อง                     อันคนมอง ส่องว่า สูงค่ายิ่ง
แสวงหา มาไว้ ไม่ประวิง                                    สุดท้ายทิ้ง จริงค่า "สามารถ"ตน

    (เช่น)ปริญญา มาจาก ต่างประเทศ                 น่าสมเพช เวทนา ปัญญาฉล
ประพฤติทราม ความคิด จิตวิกล                           เห็นแก่ตน วนเวียน เพียรตะกลาม

      สถาบัน การศึกษา ระบือซ้อง                      ถูกยกย่อง ต้องการ เรียนลานหลาม
จบออกมา ทุจริต จิตใจทราม                               เสียงเรียงนาม สำมะหา ค่าอันใด ?

    หากมีค่า น่ายล เป็นคนดี                              แม้ไม่มี ปริญญา ไม่สาไถย
สุจริต ประสิทธิ์ผล พิมลมัย                             เหมือนของดี นิรัติศัย ไร้กล่องเอย ฯ(นิรัติศัย=ประเสริฐยิ่ง)

๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หมากับเงา : กลอนสุภาษิต(กาพย์สุรางคนางค์๒๘)





หมากับเงา : กลอนสุภาษิต(กาพย์สุรางคนางค์๒๘)


..............................อรุ โณทัย
สว่าง ไสว..................ไปทั่ว ทิศา
ดอกไม้ เบ่งบาน...........นก ลาน หลากตา
ขับร้อง เริงร่า...............ช่างน่า อภิรมย์

.................................สุนัข ตัวหนึ่ง
คาบเนื้อ ตะบึง..............พึงใจ ได้สม
หาที่ แอบกิน................เลาะสิน ธุธม
พบสะ พานคมน์............ก้มหน้า ข้ามไป(คมน์=การไป)

..................................ถึงกลาง สะพาน
เหลือบลง ลำธาร............พานพบ สบไซร้
สุนัข อีกตัว....................ยั่วน้ำ ลายไหล
คาบเนื้อ ชิ้นใหญ่.............ใหญ่กว่า ของตน

....................................ละโมบ โลภมาก
ทิ้งเนื้อ ในปาก.................กรากใส่ ไม่สน
โดดลง ลำธาร..................ปานว่า วิกล
เนื้อใหญ่ ไร้หน.................เนื้อตน ก็หาย

.....................................นิทาน สอนว่า
จงลด ตัณหา....................อย่าโลภ มากหลาย
สิ่งที่ มีอยู่.........................อย่าสู่ ดูดาย
เห็นคน อื่นคล้าย................ได้ดี กว่าเรา ฯ

๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รักไม่งาม ด้วยน้ำตา : กาพย์ฉบัง๑๖




รักไม่งาม ด้วยน้ำตา : กาพย์ฉบัง๑๖


    ปลูกต้นรักพักในใจ.............ร่วมกันกับใคร
มักง่ายหมายให้รีบโต

    ทุ่มเททุกอย่างดั่งโม-............หะเหเดโช
ยโสโอหังหวังหา

    ดอก-ผล เร่งร่นเวลา...........ให้ทันอุรา

ลอบลักมรรคาสาไถย

    ทอดทิ้งประเพณีวินัย............ตามอำเภอใจ
อยากทำอะไรก็ทำ

    เหมือนไม้ล้มลุกปลูกชำ............โตไวได้คำ
ไม่นานกาลกล้ำงำสลาย

    ต้นรักผลิผลดลดาย............เหี่ยวแห้งแล้งตาย
จางหายไปจากใจเขา

    เหินห่างร้างรามาเนา............หาทางบรรเทา
คิดเอาน้ำตามารด

    ความรักจากใจให้หมด.............ไม่หวนคืนหด
รันทด สลด อดสู

    น้ำตาประดังพรั่งพรู.............มืดมนยลดู
ต้องอยู่เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

    รักตนอย่ารนรานราย............รักนวลสงวนกาย
อย่าให้ไร้ค่าราคี ฯ

๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คือคน พิมลมาน : กาพย์ยานี ๑๑





คือคน พิมลมาน : กาพย์ยานี ๑๑


๏       ประดุจ ดั่งชลธาร์................ในยามครา ฟ้าขาดฝน
สาทร สาธารณ์ทน...................พ้นทุกขะ สะคราญใจ(สาทร=เอื้อเฟื้อ)

๏       ประหนึ่ง สกุณา...................สรรค์ชีวา ป่าสดใส
สีขน ยลพิไล...........................เสียงไพเราะ เสนาะอุรา

๏       อนึ่ง อโณทัย.......................ตราตรึงใจ ให้อุษา(อุษา=แสงเงินแสงทอง)
สันสี โศภิตา............................จรรโลงหล้า ปัถพี(โศภิต=งาม)

๏       ปานว่า ศศิธร.......................รัชนีกร บวรศรี(ศศิธร,รัชนีกร=พระจันทร์)
ตรูตา ยามราตรี.........................จำรัสมี รุจิรา(ตรู=งาม,จำรัส=รุ่งเรือง,รุจิรา=สว่าง,งาม)

๏       คือคน พิมลมาน....................กุศลสาน ศีลหรรษา
พิพัฒน์ สัตยา...........................ละกิเลส เจตน์ราคิน

๏       คือคน ทนชีวาตม์...................เหนืออำนาจ มาด ฉลฉิน
สุจริต จิตรินทร์...........................ภิญโญภาพ ปลาบปลื้มพงศ์(จิตรินทร์=จิต+อินทร์,ภิญโญภาพ=ความยิ่งขึ้นไป)

๏       คือคน พ้นสาไถย....................ผ่องอำไพ มิไหลหลง
พ้นโลกย์ เศร้าโศกปลง.................ธำรงสัจจ์ ปราศพิรุธ

๏       คือคน ล้นน้ำใจ........................เอิบอิ่มใส บริสุทธิ์
ควรค่า เป็น" มนุษย์ ".....................ใจสูง-สุทธ์ อุตมา ฯ(อุตม=อุดม)

๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โกงกิน : กลอนคติเตือนใจ





โกงกิน : กลอนคติเตือนใจ


    โกงกัน ทั้งแผ่นดิน.............กินกัน อย่างแพร่หลาย
ใจหยาบช้า ไม่ละอาย.............คือสัตว์ร้าย ในคราบคน

    ครูอาจารย์ ถึงภารโรง..........ต่างก็โกง จงใจฉล
ชั้นประทวน ก๊วนนายพล...........ต่างดิ้นรน หนทางกิน

    อบต.ก็ฉวยฉก....................นายกฯ รัฐมนตรีกังฉิน
อัยการ ศาลชาญชิน.................ทำลายสิ้น ยุติธรรม

    อีกหลากตา ข้าราชการ.........ใฝ่ใจสาน สามานย์สำ
แม้แต่หมอ ก็กระทำ..................พระยังทราม วัดกรรมการ

    ชาวสวน-นา ทุจริต................ชาวไร่คิด ฉลชิดขานฯลฯ
วัฒนธรรม ความสามานย์............แผ่ไพศาล ทั่วบ้านเมือง

    ช่วยกันโกง ร่วมกันกิน............จนแผ่นดิน สิ้นฟุ้งเฟื่อง
ช่วยกันฉล ตนรุ่งเรือง..................บ้านเมืองยับ สัพปราชัย

    คนชั่วช้า สามานย์ทั่ว...............ไม่เกรงกลัว มัวสาไถย
พรรคพวกมาก ลากกันไกร............ให้เป็นใหญ่ ในแผ่นดิน

    ชาติไทยจะ หายนะ..................ถ้าไม่ละ เลิกฉลฉิน
คนไทยจะ ไม่มีกิน........................ถ้าโกงกิน กันต่อไป ฯ

๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความฝันใฝ่ คล้ายฝนหล่นริน :กลอนแปด




ความฝันใฝ่ คล้ายฝนหล่นริน :กลอนแปด

    เมฆสีเทา เบาบาง พรางเพรื่อฟ้า                รังสิมา ปรากฏ หมดสาบสูญ
เพียงประภา สว่าง อย่างอรุณ                              แจ่มเจือจุน ชุณหะ แห่งระวี

    ละอองฝน หล่นริน ดั่งบินท่อง                      เป็นฝอยฟ่อง ล่องลอย ช้อยฉวี
ลมแผ่วเบา เป่าพัด ทัศนีย์                                  ชื่นพงพี บริสุทธิ์ อุสวา(อุสวะ=การฉลอง)

    ลำธารรอง คลองรับ กองทัพน้ำ                    ทะลักล้ำ ข้ามดอน ชรโถมถา(ชร=น้ำ)
ผ่านกรวดหิน ดินทราย ไหลลงมา                          ร่วมพงศา ธารี ธีระชล

    ความฝันใฝ่ คล้ายฝน ค่อยหล่นริน                 ไม่สุดสิ้น จินดา โกลาหล
แต่ละวัน แต่ละวัย ไปล่เปลี่ยนปน                           บางครั้งคับ ใจสับสน ระคนทาง

    เรียนรู้ที่ มีฝัน อันเอื้อมถึง                             อย่าดันดึง ซึ่งฝัน โดนกั้นขวาง
ชีวิตนี้ สั้นนัก รู้จักวาง                                          เพื่อสรรสร้าง สิ่งอื่น รมย์รื่นเอย ฯ

๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รักเธอทำไม ? : กาพย์ยานี ๑๑




รักเธอทำไม ? : กาพย์ยานี ๑๑

    รักเธอ ไปทำไม ?.............ไม่ตั้งใจ ขวนขวายเรียน
เปิดตำรา ทำหน้าเหียน...........ไม่พากเพียร เจียนจิตใจ

    งานการ ก็คร้านเกียจ..........ทำหน้าเครียด เสียดนิสัย
หน้าที่ มิใส่ใจ.......................ไม่เคยได้ ใดสัมฤทธิ์

    เล่นเที่ยว ช่างเชี่ยวชาญ......อันธพาล ชำนาญผิด
เหล้า-ยา-สิ่งเสพติด................พิสมัย จรดใจจอง

    ชอบนัก การพนัน...............คงสักวัน ผลาญข้าวของ
หมดสิ้น สิน-เงิน-ทอง.............ต้องอดอยาก ยากลำเค็ญ

    ใจง่าย มักหลายรัก..............ภูมิใจนัก ฝักใฝ่เข็ญ
วิโยค โรคกระเซ็น...................ยากจักเว้น เค้นน้ำตา

    ฟุ่มเฟือย เรื่อยจับจ่าย...........เกินรายได้ วุ่นวายหา
สร้างหนี้ ไม่มีปัญญา.................จะคืนเขา ขู่เอาตาย

    ใคร่คุด ทุจริต......................ฉลฉ้อจิต ผิดกฎหมาย
อาญา มาเยี่ยมกราย..................บทสุดท้าย คุกตะราง

    รักเธอ ไปทำไม ?..................เธอเป็นภัย คล้ายผีสาง
อยู่ไหน ต้องไกลห่าง..................จึงไม่จาง ร้างสุขเอย ฯ

๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๕