ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เป็นคนดี : โคลงสี่สุภาพ



เป็นคนดี : โคลงสี่สุภาพ

๑. เป็นคนดีมิต้อง................................กังวล
ถึงโลกาหาคน................................ดีน้อย
ไมตรีมีปะปน..................................ปลอดโปร่ง
จรรโลงจิตใจพร้อย..........................เปี่ยมน้ำใจหนอฯ

๒. เป็นคนดีมิต้อง................................กลัวภัย
ขอแต่ระวังระไว...............................ตัวพร้อม
หลีกเลี่ยงคนพาลไกล.......................ไปสู่
อยู่ ณ สถานที่ล้อม...........................รอบด้วยความดีฯ

๓. เป็นคนดีมิต้อง.................................ห่วงหา
คอยหวังใครจะมา.............................คบพ้อง
คนดีต่างปรารถนา.............................หาคบ
หลบเลี่ยงคนชั่วข้อง..........................อย่าไว้วางใจฯ

. เป็นคนดีมิต้อง.................................หวั่นหวาด
สัมมาอาชีพอาจ................................อวยให้
มีเงินทองไม่ขาด...............................สนขัด
บุญทานดลดาลให้.............................เพียบพร้อมทรัพย์สินฯ

. เป็นคนดีมิต้อง..................................สับสน
ใยจึ่งเห็นโฉดชน................................ดีได้(ได้ดี)
กฎแห่งกรรมทำกล.............................วิบาก
คัดกรองดี-ชั่วให้................................เร็ว-ช้าเหมาะสมฯ

๖. เป็นคนดีมิต้อง...................................กลัวตาย
จะไม่ตกสู่อบาย.................................แน่แท้
(ความ)ดีดลผลบั้นปลาย......................สุคติ
ภพสวรรค์-พรหมนั้นแล้........................สิต้องไปถึงฯ

. เป็นคนดีจิต้อง...................................มั่นคง
สืบทอดศีลธรรมคง.............................มั่นไว้
จรรยาเสริมอานิสงส์............................สุขสวัสดิ์
สิริพัฒนะไซร้....................................สิได้สบสมฯ

๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ควรปฏิบัติธรรมตั้งแต่เยาว์วัย : กาพย์ฉบัง๑๖



ควรปฏิบัติธรรมตั้งแต่เยาว์วัย : กาพย์ฉบัง๑๖

๏    อย่ารอให้มีปัญหา...................โศกีชีวา
จึงค่อยคิดมาปฏิบัติ

๏    บวช-ถือศีล-กิน-อยู่ วัด..................เพื่อการบำบัด
ทางลัดปัดเป่าเก่ากรรม

๏    โดยไม่เข้าใจในหลักธรรม..................สวดมนต์งึมงำ
ดั่งคำศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์หลาย

๏    ทำแล้วจิตใจสบาย..................ครบกำหนดก็กราย
กลับไปประพฤติ(ตัว)เหมือนเดิม

๏    หลักธรรมดำรงควรส่งเสริม...................ชีวีริเริ่ม
ประเดิมศึกษาปฏิบัติ

๏    ตั้งแต่เยาว์วัยใคร่คัด.................ครรลองถ่องทัศน์
ฝึกหัดดัดใจให้ตรง

๏    รักดีศีลธรรมจำนง.................เอื้ออานิสงส์
จรรโลงชีวันสุขสันติ์สม

๏    ไม่เป็นพาโลโง่งม....................ปราชญาปรารมภ์
อุดมสัมมาอัชฌาศัย

๏    เวรกรรมไม่ทำจำไว้..................สวัสดิปัจจัย
ผ่องใสไร้สามานย์ปัญหา

๏    เติบใหญ่จะได้ไม่ต้องมา..................โศกีชีวา
ต่อชะตาบ้าจี้พิธีกรรมฯ
 
๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ความสงบกิเลสเป็นสุขอย่างยิ่ง : กาพย์ยานี๑๑



ความสงบกิเลสเป็นสุขอย่างยิ่ง : กาพย์ยานี๑๑

๏    เมฆคล้ำ ณ ขอบฟ้า....................กลืนกินตา วันสรรค์สิ้น(ตาวัน=ตะวัน)
คัคนานต์ อันโศภิน........................ค่อนรินโรย โดยดุษณี

๏    กระจ่าง จันทร์ข้างขึ้น..................แกร่งบึกบึน ชื่นแช่มศรี
ทดแร้น แทนสุรีย์..........................ราตรียาม ผ่องอำไพ

๏    เหมือนที่ สันติธรรม.....................ทดแทนส่ำ กามวิสัย
เยือกเย็น เช่นดับไฟ.......................ดลจิตใจ ไร้ราคิน

๏    สัมผัส ซึ่งความสงบ.....................เหมือนต่างภพ ประสบผิน
ดีกว่า การได้ยิน............................คำบอกเล่า เขากล่าวลาน

๏    สุขสันติ์ นั้นสุขยิ่ง........................คือความจริง สิ่งไพศาล
แม้นถ้า ถึงนฤพาน.........................จะสุขดาล ประการใด?

๏    ตั้งสติ ละกิเลส............................ประจำเจต ประจงให้
เป็นจริง อิงแอบใจ..........................ค่อยๆไป ค่อยๆเป็น

๏    กิเลส กับตัณหา...........................ผลักอุรา พาทุกข์เข็ญ
ดุจไฟ เผาไม่เฟ้น...........................เช้า-เย็น-ค่ำ ดำเนินครัน

๏    คติ ค่านิยม..................................ในสังคม สร้างคับขัน
(หาก)หลงใหล ไม่เท่าทัน................จะทรมาน บรรลัยเอยฯ

๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เชื่อกุศลผลบุญ : กลอนคติสอนใจ



เชื่อกุศลผลบุญ : กลอนคติสอนใจ

๏    พายุพัด ผ่านมา หน้ามรสุม...................ฝนตกชุ่ม ที่ลุ่มนอง รองน้ำไหล
ตก-หยุด-เว้น เป็นระยะ สลับไป................เคล้าลมไส ให้เพลิน จำเริญจินต์

๏    คนทำงาน ทำการ รำคาญฝน................แม่ค้าบ่น คนซื้อน้อย พลอยขาดสิน
ยามพายุ จรมา จะได้ยิน..........................น้ำท่วมข้าว เน่าสิ้น ชีวินวน

๏    คือ(ผลของ)อดีต (ตะ)กรรม เคยทำไว้.....ชะตาให้ ต้องพบ ประสบผล
มากำเนิด เกิดใน กายของคน....................และประจญ ทนสู้ อุบัติการณ์

๏    หากไม่อยาก พบเทวษ เพทนา...............ก็จงอย่า ก่อบาปกรรม ทำอาจหาญ
ใจปราณี มีเมตตา แผ่สาธารณ์...................คอยคิดอ่าน สุจริต จิตมั่นคง

๏    คนไม่เชื่อ ชั่ว-ดี มีอยู่มาก.......................ทะยานอยาก อกุศล กระมลหลง
มิทำให้ ผู้รักดี มีพะวง..............................ทระนง ยงหยัด สุทัศนีย์

๏    เชื่อในกฎ แห่กรรม กระทำกิจ..................เอื้อชีวิต วิจิตรเอม เกษมศรี
เชื่อกุศล ผลบุญ คุณความดี......................เอื้อสุขี วิลาส สะอาดวรงค์(วิลาส=งามอย่างมีเสน่ห์,วรงค์=หัว)

๏    เพียรจดจำ ธรรมา นุสติ..........................วีรกรรม ดำริ สร้างอานิสงส์
ทำความคิด จิตใจ ให้ซื่อตรง.....................ศีลธรรม ดำรง ทรงศรัทธา

๏    จะเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ไป(อีก)กี่ชาติ...........ตั้งใจไว้ ไม่เป็นทาส บาป-ตัณหา
มีสติ ระลึก ตรึกสัมมา...............................มโนธรรม์ สัญญา ปราโมชเทอญฯ(ปราโมช=ปราโมทย์)

๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

จนกาย-จนใจ : กลอนคติสอนใจ

ดอกดาวเรือง / Yellow marigolds
ดาวเรือง ดอกไม้ประจำพระองค์ ในหลวงรัชกาลที่ 9
                                                                        

จนกาย-จนใจ : กลอนคติสอนใจ

๏    เสื่อผืน หมอนใบ.......................ภายใต้ ไพรสัณฑ์ กันฝน
เมื่อฟ้า มืดมน..............................ตัวคนเดียว เปลี่ยวที่ไหน
ล้มตัว ลงนอน.............................ไร้หมอนข้าง ร้างใครๆ
แนบชิด จุมพิตให้........................หัวใจ ไม่เศร้า เหงาทรวง

๏    ป่ารอบ ปลอบขวัญ.....................อนธการ อันสัน ติสุข
เรไร เร้ารุก.................................บรรเลง เพลงปลุก ทุกข์ล่วง
สายลม ลูบไล้.............................ฤทัย ลืมเรื่อง ทั้งปวง
นิทรา=คราสรวง..........................สู่ห้วง หฤษฎี ปรีดา(หฤษฎี=ความปลาบปลื้มยินดี)

๏    เมื่อหลับ สนิท...........................ชีวิต ของใคร (ก็)ไม่(แตก)ต่าง
เพศ-วัย-กายฯลฯร้าง....................ฐานะ ทุกอย่าง ว่างหนา
ในห้อง แห่งฝัน...........................ฉันเป็น เจ้าของ โลกา
ปกครอง ท้องฟ้า.........................ทรงสิทธิ์ ฤทธา ทั่วบาดาล

๏    เกียรติยศ ชื่อเสียง......................สรรเสริญ=เพียงภาพ มายา
ฉันไม่ ไขว่คว้า.............................ให้ชีวา อ่อนล้า ไร้ศานติ์
เงินทอง ของใช้...........................ช่วยให้ ไม่ทุกข์ ทรมาน
ไม่ปอง ต้องการ...........................ทะยาน อยากเพลิน เกินจริง

๏    ตัณหา สะสม.............................ไม่ชื่น ไม่ชม รมยะ
ไม่แบก ภาระ................................ไม่หรรษ์ พันธะ ทุกสิ่ง
มีมาก เพียงใด..............................ตายไป ก็ต้อง ทอดทิ้ง
เกิดใหม่ อ้างอิง............................บาป-บุญ-คุณยิ่ง พิงพา

๏    ใครไม่ คบหา.............................เพียงเพราะ ว่าฉัน มันจน
เขาคบ แค่คน...............................ที่ล้น อำนาจ วาสนา
โกง-ชั่ว ก็ช่าง...............................กระจ่าง สังคม สมพาลา(พาลา=พาล)
เชิญสู บูชา...................................ความเป็น อนา รยชนฯ

๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

นิติธรรม : กลอนคติธรรม



นิติธรรม : กลอนคติธรรม

๏    กฎหมาย (ย่อม)กลายเป็น เศษกระดาษ.........ถ้าขาด คนประพฤติ ยึดถือ
เลือกปฏิบัติ แก่กัน นั้นฤา..............................ก็คือ ความ อ ยุติธรรม

๏    สาบาน ฉันไม่ โกหก..................................(คือ)ขั้นตอน ตลก ขบขำ
ตัดสิน ตามใจ ไกรกรรม................................(คือ)กระบวนการ ยุติธรรม กำมะลอ

๏    เมื่อใจ ไร้ซึ่ง สุจริต.....................................ถูก-ผิด คิดได้ ที่ไหนหนอ?
(เป็น)คนออก กฎหมาย บ้าบอ........................(เป็น)ผู้ใช้ กฎหมายก็ กาลี

๏    ช่วยคน ชั่วรอด ยอดเก่ง...............................ครื้นเครง ทนาย วิถี
เสนียด เกียรติศัพท์ อัปรีย์..............................ไม่มี ศีลธรรม ต่ำตม

๏    กำราบ คนชั่ว กลัวโทษได้............................ทำให้ คนดี มีสุขสม
นิติ ปรัชญา น่านิยม.......................................สังคม อุดม สันติธรรม

๏    ระเบียบ วินัย ใคร่ขบ....................................เพื่อสร้าง ความสงบ สบล้ำ
หาใช่ ให้ลอบ ครอบงำ...................................จองจำ กำกับ กาย-ใจ

๏    เครื่องมือ ของการ ปกครอง...........................จะต้อง เสริมส่ง ความโปร่งใส
กฎระเบียบ กติกา ใดๆ....................................มุ่งให้ เกิดความ จำเริญ

๏    การอวด อำนาจ บาตรใหญ่............................หาใช่ สิ่งน่า สรรเสริญ
กฎหมาย จะกลายเป็น ส่วนเกิน.........................ถ้าเพลิน ออกเพรื่อ เอื้อ อธรรมฯ

๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ชีวีไซร้ไม่ว่างเปล่า : กลอนคติชีวิต



ชีวีไซร้ไม่ว่างเปล่า : กลอนคติชีวิต

๏    มองนภดล ยลใส ไร้เมฆินทร์....................แท้จริงไซร้ ไม่สิ้น สรรพสิ่งสรรค์
(เช่น)ลม-ไอน้ำ-ความร้อน-ชื้นฯลฯ กลมกลืนกัน...ตามแต่ชั้น บรรยากาศ บทบาทมี

๏    ก่อกำเนิด เมฆา เกลื่อนปรากฏ..................แลทอนลด แรงพลัง สูรย์รังสี
กลั่นตัวยล ฝนหยาด รดปัถพีฯลฯ.................ล้วนเกิดที่ ท้องฟ้า คคนานต์

๏    ชีวิตของ คนเรา มิเปล่าว่าง.......................ไม่เป็นอย่าง คนช่างคิด ประดิษฐ์ขาน
ไม่เหมือนอย่าง คนช่างพูด จุดดวงมาน.........ฮึดอาจหาญ ลานหลั่ง กำลังใจ

๏    ทุกชีวี มีเวรกรรม ตามกำกับ.......................การอยู่รอด สอดรับ กับเงื่อนไข
อดีตกาล กระทำ กรรมอะไร........................บุญ-บาปไป ให้ผล โดนกลับคืน

๏    ปรารถนา อะไร ง่ายสำเร็จ.........................ถ้ามีบุญ หนุนเบ็ด เสร็จดาษดื่น
เกิดอุปสรรค หนักหนา โศกสะอื้น.................เมื่อมีบาป สาปยื่น คืนสนอง

๏    อย่าก่อกรรม ทำเวร เป็นทายาท..................สิไม่แคล้ว แร้วคลาด อนาถข้อง
หมั่นทำบุญ สุนทาน ธรรมครรลอง................สิโชคดี มิพร่อง ตามต้องการ

๏    เหมือนเมฆน้อย ลอยคว้าง บดบังแดด..........ลดร้อนแผด ร่มเย็น เป็นสุขศานติ์
บุญระบือ ถือศีล ถวิลทาน...........................จะบันดาล ลดโศก ปลอดโรคภัย

๏    แม้แต่พุทธ (ธะ)ชินสีห์ ยังมีกรรม(เก่า).........(คน)สามัญส่ำ ธรรมดา อย่าสงสัย
ต่างมีเวร มีกรรม เก่าทำไว้...........................ตามชดใช้-ได้รับ สดับเทอญฯ

๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ประเสริฐ : กลอนแปด





มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ประเสริฐ กลอนแปด

๏    คิดว่าความ อยากได้ อยากจะมี................คือวิธี ที่ทำ นำสุขสม
จึงสร้างสรรค์ ตัณหา หลากระดม................อภิรมย์ สมบูรณ์ สุนทรีย์

๏    อยากจะได้ ใช้ของ ปองวัตถุ....................เพื่อบรรลุ (ความ)ทันสมัย วิไลศรี
อยากเป็นผู้ อยู่ดี กินของดี.........................ใช้ชีวี นิยาม ตามสบาย

๏    มุ่งทะเยอ ทะยาน มิลาญลด.....................(ความ)อยากทวี มิหมด มอดหดหาย
มิเว้นว่าง สร้างทำ ความวุ่นวาย...................ตามอุรา ระหาย ตะกายตะกลาม

๏    เชิดชีวี รี่เร่ง เพ่งเพริศผล.........................กระเสือกกระสน ล้นใจ ไร้หักห้าม
ความโลภมาก ถากโถม ทุกโมงยาม.............บังเกิดความ ร้อนรุ่ม สุมฤดี

๏    ปมปัญหา มากหลาย ในชีวิต.....................เกิดจากคิด ผิดทาง ย่างวิถี
ความเดือดร้อน ทอนใจ ในชีวี......................เพราะว่ามี เรื่องอยาก มากเกินไป

๏    สภาวะ โลกร้อน สะท้อนชัด.......................เกิดเพราะคน กมลกลัด กำหนัดใคร่
ผลสนอง ของกรรม นำบรรลัย......................หวนคืนให้ ได้ทุกข์ ร้อนรุกรน

๏    อยู่ลำบาก ยากเย็น เป็นลำดับ.....................ความขันคับ นับวัน ทะยานข้น
ลบล้างหมด โคตรเหง้า เผ่าพันธุ์คน...............ตลอดจน อีกหลาย สัตว์สายพันธุ์

๏    มนุษย์ไซร้ ไม่ใช่ สัตว์ประเสริฐ....................ทว่าเกิด มาสร้าง ปัญหาสรรค์
ทั้งโลกหล้า ประดา สัตว์สามัญ......................ไม่มีวัน หมั่นทำ ทรามเท่าเอยฯ

๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐

*คำเตือนจาก “เอดีบี” “โลกร้อน” ทำเศรษฐกิจเอเชียเสี่ยง

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ตามหาพระอรหันต์เพื่อทำบุญ : กาพย์ฉบัง๑๖



ตามหาพระอรหันต์เพื่อทำบุญ : กาพย์ฉบัง๑๖

๏    คนมิศึกษาธรรมวินัย...................เชื่อตามเขาไป
โดยไม่ไตร่ตรองคลองธรรม

๏    คนถูกความโลภครอบงำ.................ก่อบาปหยาบกรรม
เลวทรามต่ำช้าสะสม

๏    คนมีปัญญาโง่งม.................ปรารถนาปรารมภ์
อุดมผลได้จาก(การ)ให้ทาน

๏    เกิดความทะเยอทะยาน...................กำเริบเสิบสาน
ต้องการพระอรหันต์หา

๏    (เพื่อ)ทำตามคำขานพรรณนา.....................ที่สุดโลกา
ยอดเนื้อนาบุญสุนทร

๏    จึงถูกคนพาลชาญซ่อน................ทุจริตจิตย้อน
เล่นละครขบตบตา

๏    หลอกให้บริจาคทรัพยา..................มอบแก่อาตมา
ผู้สิ้นอาสวะสาไถย

๏    ผลบุญหนุนให้ได้ดั่งใจ.................ต้องการสิ่งใด
สำเร็จเสร็จได้ในเร็ววัน

๏    หลับหูหลับตาพากัน..................บริจาคพัลวัน
ให้แก่พระอรหันต์กำมะลอ

๏    บุญสนองต้องตามหรือหนอ?...................เหตุการณ์บ้าบอ
(จะ)เกิดก่อกับ(คน)ไทยไม่หมดเอยฯ  
      
๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐

*ย้อนรอยพระฉาว! รวมพระในตำนาน โด่งดังเป็น 'คดีความ' ทุกรูป

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เอาลูกแมวมาทิ้ง วิถีชาวพุทธ? : กลอนหก



เอาลูกแมวมาทิ้ง วิถีชาวพุทธ? : กลอนหก

๏    ลูกแมว ตัวแล้ว ตัวเล่า.....................ถูกเอา มาทิ้ง ยิ่งกว่า
ชีวี มีไม่ ไร้ค่า...................................หรือว่า ช่างน่า รำคาญ

๏    หลายตัว ยังกิน ก็แต่........................นมแม่ สุทธา อาหาร
ถูกทิ้ง เท่ากับ ทรมาน.........................ประหาร ชีวา ตราตรอง

๏    ช่วยเหลือ ตัว(เอง)ยัง ไม่ได้...............(ถูก)ทิ้งให้ ภัยผจญ ท้นสนอง
(ถูก)หมาฟัด กัดตาย ก่ายกอง...............เจ็บไข้ จนต้อง มรณา

๏    ลูกตน คนยัง ทิ้งยับ...........................ลูกแมว แกล้วกับ นับประสา
นิยม ทิ้งตาม วัดวา..............................หวังว่า พระจะมา ใส่ใจ

๏    เลี้ยงสัตว์ จัดเป็น ภาระ.......................แล้วพระ มีหน้า ที่ไหม?
แมวกิน แต่ปลา แต่ไก่..........................เอาเงิน จากไหน มาซื้อ?

๏    ทำให้ ผู้อื่น ดื่นทุกข์...........................ตัวเห็น เป็นสุข นักหรือ?
ทิ้งแมว แล้วคลาด ปราดฤา?..................แท้คือ ก่อกรรม ทำเวร

๏    ผลกรรม จะตาม สนอง........................แลต้อง ลำบาก ยากเข็ญ
ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ไม่เว้น........................ต้องเป็น โรค-ภัย ตายตามฯลฯ

๏    พรากลูก พรากแม่ แพร่ผล...................ต่อตน โดนพราก หลากขาม
จากลูก จากแม่ แลลาม..........................คือความ วิบัติ ถนัดเอยฯ

๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

หัวใจของการพัฒนา : กลอนหก



หัวใจของการพัฒนา : กลอนหก

๏    หัวใจ ของการ พัฒนา.....................(คือ)ไม่หลง อัตตา ปราศรัย
สอดส่อง ส่วนด้อย คอยไกร................แก้ไข ให้ล้ำ บำเพ็ญ

๏    เหลียวดู ผู้คน ล้นหล้า.....................ศึกษา ส่วนดี มีเห็น
แนวคิด กิจวัตร จัดเจน.......................เลือกเฟ้น เป็นครู สู่เจริญ

๏    ทำใจ ให้ตรง ทรงสถิต.....................สุจริต จิตมั่น สรรเสริญ
อุตส่าห์ อย่าเผลอ เล่อเลิน..................เพลิดเพลิน ประมาท ปัดปอง

๏    ไม่ดื้อ ถือรั้น ดันทุรัง........................ระมัด ระวัง พลั้งผอง
ยึดถือ ซื่อสัตย์-ถูกต้อง........................เกี่ยวข้อง แค่ทาง สร้างสรรค์

๏    มุ่งมาด ทัศนีย์ ชีวิต.........................ความคิด จิตใจ (จง)หมายมั่น(ทัศนีย์=งาม)
พัฒนา เสียก่อน จรจรัล.......................คือหลัก สำคัญ จรรยา(จรจรัล=เที่ยวไป)

๏    หากแม้น ความคิด จิตคด..................จ่อจด ทุจริต มิจฉา
ต่อให้ หัวดี ปรีชา...............................(ก็)ไม่อาจ พัฒนา ประไพ

๏    ประเทศ สมบูรณ์ มูนหลาก.................แต่หาก ประชา สาไถย(มูน=มาก)
ความคิด จิตขัน จัญไร.........................จนตาย ไม่อาจ พัฒนา

๏    (ประเทศ)ก่อตั้ง กลางป่า ทะเลทราย....(หาก)ขวนขวาย หมายมาด ปรารถนา
พลเมือง มีน้อย คอยอุตส่าห์..................(ย่อม)เก่งกล้า กว่าใคร ในปัถพีฯ

๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

นับถือศาสนาทำไม? : กลอนคติสอนใจ



นับถือศาสนาทำไม? : กลอนคติสอนใจ

๏    เพื่อความ เข้าใจ ในชีวิต..................(ปราชญ์)โบราณ หมั่นคิด วินิจฉัย
ค้นหา ความจริง ที่ยิ่งใหญ่..................(พบแล้ว)เผยแผ่ ออกไป ให้รู้กัน

๏    อุบัติ ปรัชญา ศาสนจักร....................กฎ-หลัก-กิจกรรม ธรรมาขันธ์
วิธี ดำรง คงชีวัน................................โทษทัณฑ์-สันติ์สุข ผูกพันคน

๏    เพื่อให้ ผู้ที่ มีความคิด.......................อยากมี ชีวิต วิจิตรผล
เข้าใจ ความจริง สิ่งสากล....................รู้ทาง วางตน ล้นเลิศมี

๏    บริษัท ศรัทธา มาเลื่อมใส..................ทุ่มเท กาย-ใจ ในวิถี(บริษัท=หมู่,คณะ)
เข้าร่วม ปฏิบัติ ศาสนพิธี......................หวังใน ผลดี ที่ปลายทาง

๏    เกิดความ มั่นใจ ในชีวิต.....................สิล้ำ สัมฤทธิ์ ประสิทธิ์สล้าง
หมดความ กังวล กระมลวาง..................ลบล้าง งวยงง สิ้นสงสัย

๏    แต่ถ้า ศาสดา สั่งสอนผิด....................แค่คิด เอาเอง เคร่งหลงใหล
หลอกลวง สาวก ตกลงไป.....................สู่ทาง สาไถย ไสโศกี

๏    นับถือ ทำไม? ให้วิบัติ........................ไม่ตรง ตามสัจ วัฒนวิถี
ศรัทธา ทำไม? เมื่อไม่มี.........................ผลดี พิสุทธิ์ ชุติมา

๏    เลิกงง หลงเชื่อ เหลือชีวิต...................ไว้คิด วิจารณญาณ ขันศึกษา(ขัน=แข็งแรง,กล้าหาญ)
เสาะหา สัจจริง สิ่งสัมมา........................เกื้อหนุน คุณค่า ผาสุกเทอญฯ

๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

รู้จักคนดี : โคลงสี่สุภาพ



รู้จักคนดี : โคลงสี่สุภาพ

๑. พักตร์พรรณอันโอบอ้อม...................อารี
ปรากฏกับดวงฤดี............................เอื้อเฟื้อ
อุระดั่งมหานที................................เต็มเปี่ยม
สงเคราะห์สัตว์โลกเคื้อ.....................ดุจน้ำดับระหายฯ

๒. เมตตากรุณาเกื้อ-............................กูลสกล
เผื่อแผ่สาธารณชน..........................ทั่วหล้า
ลดความเห็นแก่ตน..........................ตระหนี่
มิเอาเปรียบเทียบกล้า......................จ้องหากำไรฯ

๓. สำพันธ์สำนึกพ้อง............................พงศา
เกิด-เจ็บ-ป่วย-แก่ชรา.......................มอดม้วย
เวียนว่ายในสังสาร์............................วัฏฏะ
ชีวะประจักษ์ด้วย..............................เพี้ยงพยับสุรีย์ฯ

. ปราศจากซึ่งใบหน้า..........................ตะกลาม
สุจริตไป่คิดทราม.............................โลภไร้
โทสะทรงสติตาม.............................กำจัด
โมหะขัดเกลาได้..............................ด้วยส้องศึกษาฯ

. บาปกรรมเพียงเล็กน้อย.....................ภัยเห็น
กุศลกรรมบำเพ็ญ.............................เพียบพร้อม
กฎแห่งกรรมศรัทธ์เป็น......................สัจสิ่ง
มินิ่งนอนสมัครน้อม..........................บุญสร้างสะสมฯ

๖. ศีลธรรมสำเริงร้อย............................ฤาดี(ฤาดี=ความยินดี)
จริยธรรมนำชีวี.................................แกร่งแกล้ว
คุณธรรมสำคัญมี..............................สุขสวัสดิ์
ธรรมวัตรพิพัฒน์แพร้ว........................เพริศพร้อยพรรณรายฯ

. คนดีรู้จักด้วย...................................สายตา
พฤติกรรมกริยา.................................เลือกเฟ้น
ความงามภายในมนา..........................ปรากฏ
หมดจดบาปชั่วเร้น.............................พรั่งพร้อมคุณธรรมฯ

๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ความดีไม่มีขาย : กาพย์สุรางคนางค์๒๘



ความดีไม่มีขาย : กาพย์สุรางคนางค์๒๘

๏   ......................................ศึกษา ปฏิบัติ
จรรยา ศีลวัตร......................กำจัด ตัณหา
อุปะ กิเลส...........................เทวษ เพทนา
กรรมบาป หยาบช้า................ละลด จรดใจ

๏   .......................................วันแล้ว วันเล่า
เดือนแล้ว ปีเล่า.....................เฝ้าเอา ใจใส่
หย่อนบ้าง ตึงบ้าง..................(แม้)แตกต่าง อย่างไร
(ก็ขอ)ระวัง ระไว....................(อย่างน้อย)มิให้ ย้อนคืน

๏   ........................................สำนึก ฝึกตน
มุ่งสู่ กุศล.............................มักต้อง ทนฝืน
อยู่ใน สังคม..........................ผสม กลมกลืน
ข่มกลั้น มานขืน.....................ใช่ลื่น ชีวา

๏   ........................................ธรรมเป็น ที่พึ่ง
สิ่งศักดิ์ สิทธิ์ซึ่ง.....................คะนึง ถึงหนา
เป็นกำ ลังใจ.........................ให้ผ่าน พ้นมา
อย่างเชื่อง เยื้องช้า.................ทว่า ทวี

๏   .........................................รู้ตัว อีกหน
(เมื่อ)มองดู ผู้คน....................บนโลกย์ วิถี
ยังไร้ สำนึก...........................ตรึกชอบ-ชั่ว-ดี
(ชอบ)ทำตม ฤดี.....................กิเลส เจตนา

๏   .........................................จึงตระ หนักตน
ฝึกใจ ได้ผล...........................ไกลคน(ทั่วไป) แล้วหนา
น้อยคน เข้าใจ........................ในกรรม ทำมา
น้อยคน สนทนา......................ระดับ เดียวกัน

๏   .........................................ไม่ขอ รอใคร
นับวัน ล่วงวัย..........................ใกล้ครา อาสัญ
ทำดี ลี้ชั่ว...............................ตัวใคร ตัวมัน
มิอาจ แบ่งปัน..........................กุศลธรรม์ บันเทิง

๏   ..........................................(ความดี)ไม่มี ที่ขาย
จะต้อง ขวนขวาย(เอาเอง).........เลิกร้าย-หลงเหลิง
ความดี ต้องทำ........................ให้ล้ำ ดำเกิง(ดำเกิง=ขึ้น,สูง,รุ่งเรือง)
รักดี ริเถลิง..............................เชิงชั้น บัญชาฯ

๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

หาความอุ่นใจไม่ได้เลย : เรื่องสั้น



หาความอุ่นใจไม่ได้เลย : เรื่องสั้น

    ท้องฟ้ายามเย็นในวันที่มีเมฆฝนปกคลุม หาความอบอุ่นไม่ได้เลย
แสงแดดสีเงินประสานกับเมฆสีเทา ทำเอาหัวใจไร้ความปลื้มปรีติ
    กอข้าวที่เกิดจากการปักดำ-ถูกปลูกเว้นเป็นระยะ มีเฉพาะแค่ต่อหน้าเท่านั้น
ถัดจากนาแปลงนี้ไป ก็มีแต่ข้าวนาหว่านที่งอกเบียดเสียดกันถี่ๆ-สะเปะสะปะ ทะยานอยู่เต็มจนสุดสายตา

    ขณะที่ฉันกำลังสาละวน กับการถ่ายภาพดวงอาทิตย์สะท้อนบนผิวน้ำ ท่ามกลางกอข้าวที่มีระเบียบ
    ก็มีเสียงมอเตอร์ไซค์มาหยุดอยู่ข้างหลัง พร้อมคำทักทายว่า
    "มาซื้อที่(ดิน)เหรอ?"
    ฉันหันกลับไปมองดู เห็นหญิงสูงวัยขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอด โดยมีเด็กนั่งซ้อนอยู่ที่นั่งเสริมข้างหน้า
    "เปล่าครับ มาถ่ายรูป" ฉันตอบเธอไป
    เธอกล่าวต่อว่า "หาคนมาซื้อที่(ดิน)หน่อยสิ มีเปอร์เซ็นต์ให้ด้วยนะ ที่ตรงนี้ของฉันเอง จะขาย ๗ ล้าน"
    "๗ ล้าน! ขายแล้วคงมีเงินใช้ไปจนตาย ไม่ต้องทำงาน" ฉันรำพึงรำพัน

     ฉันถามถึงต้นตาล ๓ ต้น ที่ฉันเคยถ่ายรูปไว้เมื่อปีก่อน แต่ตอนนี้เหลือแค่ต้นเดียวกับตอยอดด้วน ๒ ตอ
    " ปีกลายต้นตาลตรงนั้นโดนฟ้าผ่าตายไป ๒ ต้น เหลือแค่นั้น" คือคำตอบ
    "ที่จริง น่าจะปลูกต้นตาลไว้ตามคันนามากๆนะครับ แถวภาคกลางเขานิยมปลูกกัน ดาบวิชัยที่มีชื่อเสียงก็ปลูกมาหลายสิบปีแล้ว มีประโยชน์มากมาย" ฉันพูดพร้อมกับคิดว่า ถ่ายรูปออกมาดูสวยดีด้วย    
    "ไม่ไหวหรอก" เธอบอก "ใบตาล-ลูกตาลหล่นลงมาใส่ต้นข้าว ลูกตาลก็ไม่มีใครเก็บขาย ปลูกไว้ให้รกเปล่าๆ"
    "ต้นตาลให้มูลค่าผลผลิตต่อพื้นที่มากกว่าข้าวนะครับ แค่ปลูกตามคันนาเท่านั้นเอง ต้นตาลจะมีใบสักกี่ใบกัน รู้จักตัดก็คงไม่หล่นมาใส่ต้นข้าวจนเสียหาย" ฉันยืนยัน
    "ไม่มีใครเก็บไปขาย ไม่มีประโยชน์" เธอพูดย้ำ
   
    "ถ่ายรูปไปทำอะไรเหรอ?" เธอสงสัย
    "เอาไปลงเว็ปแสดงภาพถ่ายของต่างประเทศครับ" ฉันตอบ
    "เฟสบุ้คเหรอ?" เธอคงเล่นอยู่
    "ก็มีบ้างครับ แต่ส่วนใหญ่จะลงในเว็ปที่คนชอบถ่ายภาพเขาเอามาแสดงกัน"
    "ให้ต่างชาติเห็นว่า ประเทศไทยก็มีธรรมชาติสวยงามไม่แพ้ใคร" เธอพูดอย่างภูมิใจ
    "เออ... อันที่จริงประเทศอื่นเขามีความสวยงามกว่าประเทศไทยครับ" ฉันพูดตามความจริงจากที่ได้ดูภาพถ่ายทุกวัน
    "เขาใส่ใจในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่คนไทยเอาแต่คิดหาผลประโยชน์จากธรรมชาติและทำลายสิ่งแวดล้อม เราไม่ตื่นตัวต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติเลย" ฉันอธิบาย
    "ดูอย่างป่าไม้บ้านเราสิครับ จัดการให้เป็นป่าชุมชนจนแทบหมด ป่าถูกคนใช้หากิน-ทำประโยชน์จนเสื่อมโทรม แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติบ้าง สิ่งมีชีวิต-ระบบนิเวศน์เสียหายตายหมด ห้วยหนองก็ขุดลอกเป็นรูปสี่เหลี่ยมเพื่อใช้สอย แทนที่จะปล่อยไว้ตามธรรมชาติ มีความสวยงามตรงไหน?"
    ดูเหมือนเธอจะไม่รู้สึกซาบซึ้ง ถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

    "นาปักดำสวยดีนะครับ ประหยัดเมล็ดพันธุ์ด้วย" ฉันเปลี่ยนเรื่อง
    "กอใหญ่ด้วย ข้าวก็ได้มากกว่านาหว่าน" เธอบอก
    "แต่ทำแค่แปลงนี้ เพราะที่ตรงนี้รองรับน้ำที่ไหลลงมาจากหมู่บ้าน ปีนี้ถูกน้ำท่วม ๒ ครั้งแล้ว หว่านข้าวไว้ก็ตายหมด เลยจำเป็นต้องปักดำ ต้องทำเองจะปักดำทั้งหมดก็ไม่ไหว ไม่มีแรงงาน คนแถวนี้ก็ไม่มีใครดำนาแล้ว"
    "ประเทศญี่ปุ่นเขาไม่ทำนาหว่านนะครับ เขาใช้เครื่องปักดำแทนแรงงานคน" ฉันเล่า
    "เครื่องดำนาเหรอ?" เหมือนเธอเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก
    "เด็กรุ่นใหม่เขาไม่ทำนากันแล้ว" เธอบอก "เขาเอาแต่เรียนหนังสือ ตั้งใจเรียนบ้างไม่ตั้งใจบ้าง เรียนจบบ้างไม่จบบ้าง ส่วนพวกไม่เอาถ่านไม่เรียนหนังสือ ก็ทำอะไรไร้สาระไปวันๆ กินเหล้าเมายาเล่นการพนันฯลฯ"
    "ทำนามันลำบาก ขายยาบ้าดีกว่า รวยเร็วดี" เธอพูดพร้อมกับหัวเราะ แล้วขับรถมอเตอร์ไซค์จากไป

    ดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำ ดำดิ่งลงไปอยู่เบื้องหลังของม่านเมฆฝนสีเทา
    แสงแดดลับตา ที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาถ่ายรูปแสงสนธยา(Twilight) คงหมดโอกาสเสียแล้วในวันนี้
    เอาไว้คราวหน้าค่อยมาใหม่ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีกบ้าง?
    คิดพรางนึกถึงต้นตาลที่ถูกฟ้าผ่าตาย
    ฉันเก็บอุปกรณ์ถ่ายภาพ เดินกลับไปขึ้นรถ
    ใจจดจ่อถึงวิธีแต่งภาพย้อนแสงแดดจัด ให้ออกมาดูดีมีความนุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง
    แล้วขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกอ้างว้างวังเวง หาความอบอุ่นใจไม่ได้เลยฯ
   
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

อย่าเอาแต่ใจตน : กลอนเจ็ด



อย่าเอาแต่ใจตน : กลอนเจ็ด

๏   (รู้สึก)เวลา บางวัน ผ่านไปช้า.................เวลา บางวัน ผ่านไวแสน
เวลา แต่ละวัน ฤามั่นแม่น.......................เร็ว-ช้า ชั่วแล่น มิเท่ากัน?

๏   นาฬิกา ในใจ ไม่เที่ยงหรอก...................กลับกลอก รวนแล แปรเปลี่ยนผัน
ตามความ วุ่นว้า แต่ละวัน.......................(และ)ความขัน-คะนอง ของอารมณ์

๏   การทำ ตามใจ จึงให้โทษ......................มากกว่า ประโยชน์ โปรดยลสม
แต่คน ส่วนใหญ่ ในสังคม.......................นิยม ทำตาม อำเภอใจ

๏   เมื่อสม อุรา ร่าเริงส้อง...........................เมื่อมิ สมปอง ร่ำร้องไห้
คือปฏิ กิริยา ประจำใน...........................เด็กวัย ทารก ปกติเป็น

๏   สังเกต สังกา ว่าเติบโต..........................ก็ยัง พาโล โมหะเห็น
ชอบเอา ใจตน ยลกฎเกณฑ์....................ต่างคน ต่างเข็น มิเว้นวาง

๏   ทำให้ โลกา โกลาหล............................ประจญ เภทภัย ไปต่างๆ
สิ่งที่ (ตน)ชอบใจ ใครขัดขวาง.................ก็ทำ ลายล้าง สร้างอาชญา

๏   ฆ่าฟัน กันตาย ไร้วิตก............................เหตุการณ์ ปกติ มีทั่วหล้า
สงคราม เกิดวอด ตลอดเวลา....................ทำลาย ชีวา ทรัพยากร

๏   มิเอา ใจตน เป็นที่ตั้ง.............................จึงบัง เกิดสุข สโมสร
ศีลธรรม นำหน้า สถาพร...........................คลายร้อน ผ่อนเข็ญ เย็นอยู่เอยฯ

๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐

วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ความสุขสมหวัง : กลอนคติสอนใจ



ความสุขสมหวัง : กลอนคติสอนใจ

๏   ต้องทำ เช่นนี้......................จึงมี ความสุข สมหวัง
ได้ยิน ได้ฟัง..........................แต่ครั้ง ยังเด็ก อเนกสมัย
มากมี เงินทอง.......................ก่ายกอง ข้าวของ เครื่องใช้
กามคุณ กรุ่นไกร.....................ในรูป-รส-(กลิ่น)-เสียง สัมผัส

๏   มีเกียรติ มียศ.......................มิลด ความอยาก หลากไหล
(มี)อำนาจ บาตรใหญ่...............ใครๆ ชอบทำ ตามถนัด
มีหน้า มีตา.............................ชื่อเสียง ปรารถนา สารพัด
สังคม โสมนัส.........................กำหนัด กิน-เที่ยว-บันเทิง

๏   จนเริ่ม เติบใหญ่....................จึงเริ่ม เข้าใจ ในผล
ความอยาก ของคน..................บันดล สังคม สมเถลิง
อาชญา แย่งชิง.......................มิกริ่งใจ ไกรบาปเปิง
โลกร้อน ด้วยเพลิง...................แห่งความ สำเริง โลกีย์

๏    เมื่อได้ ศึกษา......................พุทธะ ศาสนา ปฏิบัติ
ปรับเปลี่ยน มโนทัศน์................โลกุ ตระวัตร วิถี
จึงยิ่ง เข้าใจ............................หลักความ สุข-ใส-โสภี
โดยไม่ ต้องมี..........................โลกีย์ วิสัย ในอุรา

๏   หมั่นทำ ความดี.....................ชีวี มั่งมี ความสุข
ปราศจาก ซึ่งทุกข์....................(เมื่อ)บั่นบุก กิเลส ตัณหา
ดับการ ดิ้นรน..........................ย่อมพ้น เทวษ เพทนา
สำราญ อุรา............................(เมื่อ)ไม่บ้า มิจฉา ค่านิยมฯ

๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐