ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

ผีสางศาลไถย : กาพย์สุรางคนางค์๒๘



ผีสางศาลไถย : กาพย์สุรางคนางค์๒๘

    .............................ในวัน อบอุ่น
แห่งครา อรุณ...............ละมุน หน้าหนาว
ขาดแสง สว่าง..............หมอก ลาง พร่างพราว
พสุ ธาราว....................ห้วงหาว ดาวดึงส์

    ..............................เย็นอาบ วาบผิว
สายลม พัดฉิว................ฟ้าคราม งามซึ้ง
ปราศจาก เมฆา..............แผ่นฟ้า ตราตรึง
ช่างชวน คะนึง...............ถึงนร มนธรรม

    ..............................น้อยนัก จักคิด
พิจารณ์ ชีวิต..................จิตตน จลต่ำ
กิเลส ตัณหา..................ปรารถนา ก่อกรรม
บาปชอบ ครอบงำ............ชั่วช่ำ กล้ำเกิน

    ...............................ทุจริต มิจฉา
แม้(แต่)ผู้ พิพากษา.........ก็หา เก้อเขิน
กระบวนการ ยุติธรรม........ระยำ ดำเนิน
ลาภผล เพลิดเพลิน.........เชิญแอก แลกเอา

    ...............................ปกป้อง คนผิด
พบเห็น เป็นนิจ...............วิปริต จิตเร่า
ซ้ำเติม (ความ)เสียหาย....โหดร้าย ใช้เชาว์
แก่ผู้ โศกเศร้า................ทบเท่า เข้าทวี

    ...............................คดี สีดำ
ปรากฏ ประจำ.................อยุติธรรม วิถี
อาชีพ ทรงเกียรติ.............(กลับ)เบียดเบียน คนดี
ประทับ (ความ)อัปรีย์........มากมี ในใจ

    ................................กะดำ กะด่าง
สกปรก รกร้าง..................ผีสาง ศาลไถย
สร้างเวร เซ่นกรรม.............ระยำ วินิจฉัย
ชาติหน้า ต่อไป................ชดใช้ สาสม ฯ

๓๑ มกราคม ๒๕๕๘

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

ชนะตน : กลอนคติสอนใจ



ชนะตน : กลอนคติสอนใจ
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    เริ่มหก นาฬิกา...................ท้องนภา ยังคงสลัว
หมอกขาว พราวพร่างทั่ว..........ขมุกขมัว พนาสัณฑ์
สีแสง แห่งอุษา......................เป็นสีฟ้า น่าอัศจรรย์
ไม่มี สุริยัน............................อยากนอนหรรษ์ ฝันต่อไป

    ตัดใจ จากผ้าห่ม................ตื่นประทม วิกรมกล้า
ตื่นตัว ทั่วกายา......................ตื่นอุรา สติใส
ต่อสู้ กับความหนาว................เหน็บปวดร้าว อย่างเข้าใจ
เป็นปก (กะ)ติวิสัย..................ที่ใครๆ ต้องประเชิญ

    ชีวัน คู่ปัญหา.....................คือสัจจา โลกานี้
กล้าหาญ มุ่งมั่นมี....................คือวิธี ที่สรรเสริญ
ถึงยาก ก็บ่ยั่น.........................ถึงสุขสันติ์ ก็อย่าเพลิน
ทุกอย่าง ย่อมดำเนิน................มาประเชิญ->เดินจากไป

    ชีวิต ที่คิดว่า......................คืออัตตา หลงอารักษ์
ผ่านวัน พลันประจักษ์...............อนิจลักษณ์ ดันผลักไส
(จาก)เด็กน้อย น่าเอ็นดู............ถูกอ้มชู เป็นผู้ใหญ่
ผ่านวาร์ ชราวัย.......................จนบั้นปลาย ไร้วิญญาณ

    อดทน สู้ชะตา....................ใช้ชีวา สร้างกุศล
แกร่งกล้า ชนะกมล..................ชนะตน ท้นอาจหาญ
เพื่อสู่ สุคติ.............................ภพสิริ จิรกาล
ปราศทุกข์ ทรมาน....................เย็นสุขศานติ์ สำราญเอย ฯ

๓๐ มกราคม ๒๕๕๘

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

แก่นสาร : กลอนแปด



แก่นสาร : กลอนแปด

    ดูเด็กน้อย ขัดใจ ไม่ได้เล่น................แผดร้องเช่น ชีวา จะอาสัญ
สำหรับเด็ก การเล่น เห็นสำคัญ...............คือชีวัน สารแก่น แสนเลิศเลอ

    วัยหนุ่มสาว เฝ้าชะแง้ แลหารัก...........ไม่ยอมพัก หัวใจ ฝันใฝ่เพ้อ
รักเปรียบแม้น แก่นสาร มานละเมอ..........(บางคน)หากต้องเจอ รักพ่าย ตายพร้อมพลี

    วัยผู้ใหญ่ ใคร่ลาภ-ยศ-ศักดา..............ถือ(เป็น)แก่นสาร สาระ สง่าศรี
หลงอำนาจ วาสนา บารมี.......................ทุกเวลา นาที  ก็มิปาน

    จุดมุ่งหมาย ปลายทาง ที่ตั้งจิต...........จะลิขิต ประเด็น เป็นแก่นสาร
ค่านิยม สมสั่ง ดังกังวาน........................ความต้องการ ดันผลัก จุดหลักชัย

    ความไม่เที่ยง-เป็นทุกข์-อนัตตา..........คือสัจจา พันผูก ทุกสิ่งไซร้
แค่ประสบ พบเห็น->เร้นจากไป...............เป็นแก่นสาร อันใด ให้คะนึง ?

    กุศลแสวง=แสงทอง ส่องสว่าง...........คือหนทาง สุคติ สิไปถึง
ทั้งชาตินี้-ชาติหน้า ล้วนตราตรึง...............ตราบยังพึง พอใจ ในชีวา

    กุศลทิพย์ นิพพาน อันประเสริฐ............หยุดเวียนว่าย-ตาย-เกิด ล้ำเลิศค่า
สำหรับผู้ เบื่อหน่าย ในวัฏฏา....................ปรารถนา สิ้นสุด หยุดเกิด-เป็น

    คือแก่นสาร สาระ ประกาศิต.................ประจำจิต บริสุทธิ์ พุฒิเห็น(พุฒิ=ความสมบูรณ์)
อริยมรรค หลักธรรม เพียรบำเพ็ญ.............สงบเย็น เป็นอยู่ สาธุเทอญ ฯ

๒๙ มกราคม ๒๕๕๘

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

ความมืด : โคลงสี่สุภาพ



ความมืด : โคลงสี่สุภาพ

. ความมืดครองแผ่นฟ้า..................ราตรี
ดาริกาประภาพี..............................ภาสเรื้อง(ภาส=แสง)
โดยเฉพาะรังสิมามี.........................สาดส่อง
ทางท่องคล่องกายเยื้อง..................ถนัดแท้แลเห็น ฯ

. ความมืดในป่าครั้น......................กาฬปักษ์
ตามนุษย์สุดที่จัก...........................จับจ้อง
แสงไฟไขขลุกขลัก........................ชัดเด่น
ป่าเห็นเป็นดั่งห้อง..........................นอนน้อยหรรษา ฯ

. ความมืดในจิตเรื้อ........................ราคิน
ครอบงำนำชีวิน..............................ชั่วช้า
สันดานสานเคยชิน..........................ปกติ
มิเห็นทรามเสื่อมกล้า.......................เกลือกร้ายกลายอสูร ฯ

. ความมืดมนครองค้ำ.....................ความคิด
(คือ)คำสาปอาบยาพิษ.....................มาดม้าง(ม้าง=ทำลาย)
(ความ)สามานย์บันดาลฤทธิ์..............รัก(ความ)โฉด
เห็นโทษเป็นคุณล้าง........................รับรู้บิดเบือน ฯ

. ความมืดครอบงำไร้......................อนาคต
ปัญญาไป่ปรากฏ.............................ปิดกั้น
วิสัยทัศน์วิปลาสหมด.......................โอกาส
ชีวาตม์พินาศรั้น..............................ไขแก้ขัดเหลือ ฯ

. ความมืดควรขจัดด้วย....................ศึกษา
ศีลธรรมและจริยา............................เทิดไว้
ขัดเกลาความโมหา..........................ทุจริต(โมหา=โมหะ)
จุ่งจิตจำเนียรให้..............................แกร่งกล้าอดทน ฯ

. ความมืดค่อยๆล้าง.......................จางหาย
ปัญญาปรากฏสยาย.........................เพริศแพร้ว
คุณประโยชน์อันหลากหลาย..............กรายสู่
เป็นอยู่อย่างคลาดแคล้ว...................โศกเศร้าสามานย์ ฯ

๒๘ มกราคม ๒๕๕๘

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

ผลดีนิรันดร : กาพย์ฉบัง๑๖



ผลดีนิรันดร : กาพย์ฉบัง๑๖

    ปักษีวิหคแซ่ซ้อง................แรกอรุณร่ำร้อง
ประดุจเสียงทองผ่องใส

    ปลุกโลกยกจากอาลัย.................ละการหลับใหล
ตื่นใจไปสู่อุษา

    ดอกลำดวนหวนคืนมา................เริ่มออกอีกครา
รับหน้าร้อนที่(จะ)มาถึง

    หมอกหนาวยังหนาตราตรึง..................(สร้าง)ภาพ(ความ)งามลึกซึ้ง
พึงใจในยามพบเห็น

    เสมือนกับที่ความดีเป็น...............ใครทำบำเพ็ญ
ก็โดดเด่นเห็นดีงาม

    จึงไม่ต้องตั้งคำถาม...............เมื่อใดก็ตาม
ที่คิดจะทำความดี

    เพียงแต่แค่คนบัดสี................ทรชนล้นมี
ที่ชอบติฉินนินทา

    ความดีที่เป็นปัญหา...............(เพราะ)ขัดหูขัดตา
ขัดผลประโยชน์คนโฉดฉล

    คนดีจึงต้องอดทน................หนักแน่นในกมล
(ยาม)ประจญคนชั่ว(ช้า)สาไถย

    หากแม้นยากเย็นเข็ญใจ...............ก็จงจากไกล
อย่าสู่อยู่ใกล้คนพาล

    คนดีมีความกล้าหาญ..............จะสุขสำราญ
ผลดีบริบาลนิรันดร ฯ

๒๗ มกราคม ๒๕๕๘

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

ของขวัญวันหยุด: กลอนจรรโลงใจ



ของขวัญวันหยุด: กลอนจรรโลงใจ

    หมอก ลาง บางเบา................ยามเช้า เยาว์เห็น เย็นสงบ
ท่ามผืน พิภพ...........................อวล อบ วิเวก์ สิเนหา
พนา ปรากฎ.............................หมดจด สดใส โสภา
ไม่มี สุริยา................................ไม่รู้ เวลา คราไร

    อากาศ เย็นหนาว...................กับหมอก พอกขาว บริสุทธิ์
ช่างเปรียบ ประดุจ......................ของขวัญ วันหยุด ผุดให้
รู้สึก สดชื่น................................ระรื่น ทุกลม หายใจ
ไม่ต้อง แย่งใคร..........................ไม่รอ ให้ใคร มอบมี

    จิตใจ (ที่)มั่นคง......................ดำรง ด้วยตัว เราเอง
จำเนียร เพียรเพ่ง........................ไม่เคร่ง ไม่เครียด เสียดสี
จรรโลง จิตใจ.............................อย่าให้ ไคลคลา ความดี
จดจ้อง ฤดี.................................อย่างมี สติ สัมปชัญญะ

    จะยาก จะเย็น.........................จงเป็น คนที่ (จิตใจ)หนักแน่น
จะคับ จะแค้น..............................อย่าแร้น อดทน-อุตสาหะ
จะเหน็ด จะเหนื่อย........................อย่าเฉื่อย อย่าชา อาชีวะ
สู้จน กว่าจะ.................................มรณะ จากโลก วิโยคไป

    คุณธรรม ความดี......................เป็นสิ่งที่ วิเศษสุด
(เท่าที่)ชีวา มนุษย์.......................จะรุด อุตส่าห์ หาได้
สุดยอด แห่งทรัพย์.......................ประดับ ประดา นราใด
เลิศล้ำ อำไพ...............................ไม่มี ทรัพย์ไหน จะปาน

    รู้แจ้ง เห็นจริง..........................สรรพสิ่ง อิงสัจ อนัตตา
บังเกิด ปัญญา.............................บันดาล ตัณหา สงบศานติ์
ผ่อนคลาย ความอยาก...................ย่อมพราก ทุกข์ภัย ไกลพาน
อยู่สุข สำราญ..............................ทุกวัน คืนวาร บันเทิง ฯ

๒๖ มกราคม ๒๕๕๘

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

ฉลาดใช้ชีวิต : กาพย์สุรางคนางค์๒๘



ฉลาดใช้ชีวิต : กาพย์สุรางคนางค์๒๘

    ...................................ยามหนาว ยาวนาน
ยังคง เยือนผ่าน..................สะท้าน เสียดผิว
ใบไม้ แห้งผลัด...................กระจัด พัดปลิว
แลเห็น เป็นทิว....................หดกิ่ว ก่ายกอง

    ....................................ความรู้ ปริญญา
(จาก)สถาน ศึกษา...............อาชีวะ สนอง
ใช้หา งานทำ......................จำเริญ เงินทอง
สังคม สมปอง.....................ชาติก้อง ต้องการ

    ....................................แต่การ ดำเนิน
ชีวา ประเชิญ.......................(ที่)ปราศทุกข์ สุขศานติ์
(ต้อง)อาศัย หลักธรรม...........น้อมนำ ชำนาญ
รักษา สมาทาน.....................ตั้งมั่น จรรโลง

    .....................................ต้องเพียร เรียนเพิ่ม
ฤดี ริเริ่ม..............................ไม่คิด คดโค้ง
หลักธรรม-ความจริง...............คือสิ่ง เชื่อมโยง
ส่องทาง สว่างโพลง..............ถูก-ตรง-ให้คุณ

    .....................................บุราณ บัณฑิต
ฉลาดใช้ ชีวิต.......................สุจริต เกื้อหนุน
สั่งสม วิชชา.........................สัจจา สมดุล
ถ่ายทอด พิบุล......................หลากรุ่น สู่เรา

    .....................................ผู้มี ปัญญา
ส่องตรึก ศึกษา.....................อย่ายอม โง่เขลา
ธรรมะ สามารถ.....................ชีวาตม์ ขัดเกลา
ประเสริฐ เพริศเพรา...............สลัดเศร้า...สุขเทอญ ฯ

๒๕ มกราคม ๒๕๕๘

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

วิถีอริยสัจ : กลอนหก



วิถีอริยสัจ : กลอนหก

    (การ)เกิดเป็นทุกข์ ผูกพันจิต..................ส่องชีวิต วินิจฉัย
ต้องเกิดมา เพราะอะไร ?...........................ทำอย่างไร ไม่กลับมา ?

    (ความ)แก่เป็นทุกข์ ก็ฉุกคิด...................ปานลิขิต ประดิษฐ์ปัญหา
กายเสื่อมทราม ความชรา..........................คือชะตา ชีวาคน

    (ความ)พยาธิ ทวีทุกข์...........................โรคภัยรุก อุกอาจล้น
เจ็บไข้เครียด เบียดเบียนคน.......................ตลอดชนม์ ตลอดวัย

    (ความ)ตายวายวาง สร้างทุกข์โศก...........ก่อวิโยค วิญญาณไส
จากคนรัก ของชอบใจ...............................สู่หนไหน ใครรู้ดี ?

    ความโศกสรรพ คับแค้นทรวง..................ลำบากหน่วง ไม่อาจหนี
ไม่สบาย(กาย-ใจ)ร่ำไรมี.............................คือสิ่งที่ ทุกขารมย์

    ประสบสิ่ง มิชอบใจ...............................อยากจะได้ ไม่ดั่งสม
พลัดพรากดื่น ของชื่นชม............................ย่อมตรอมตรม จมทุกข์จร

    คือวิถี ที่ตามติด....................................ทุกชีวิต คิดไถ่ถอน
ไม่อาจแม้ แต่สั่นคลอน...............................กรรมาจร กรวัฏฏา

    คือธรรมชาติ คาดชีวิต............................ผลผลิต แห่งสังสาร์
รบกวนใจ ให้ระอา......................................พึ่งศึกษา พุทธธรรม

    ด้วยวิถี อริยสัจ......................................ปฏิบัติ ประวรรตล้ำ(ประวรรต=เป็นไป)
ผลสัมฤทธิ์ ชีวิตนำ.....................................สุคติด่ำ ความยินดี

    ไม่ต้องมา เกิด-ชรา-ตาย..........................ไม่ต้องกาย-ใจโศกศรี
คือเป้าหมาย ปลายทางที่.............................ศาสนานี้ ชี้ไว้เอย ฯ

๒๔ มกราคม ๒๕๕๘

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

มีบุญ : กาพย์ยานี ๑๑



มีบุญ : กาพย์ยานี ๑๑

    เกิดมา มีบุญแท้...................รอเพียงแค่ แลอุษา
แสงทอง ส่องนภา....................ก็เริงร่า  รื่นสบาย

    แค่พอ อยู่พอกิน..................ชื่นชีวิน มิสิ้นสลาย
เสื้อผ้า พอปิดกาย....................มิขวนขวาย (ทัน)สมัยนิยม

    สมบัติ ทรัพย์พัสถาน.............มิต้องการ ลานสั่งสม
จวบตาย ไร้ระทม......................ก็ชื่นชม สมดั่งใจ

    อำนาจ วาสนา......................อยากไขว่คว้า ก็หาไม่
ชื่อเสียง ช่างเกรียงไกร...............จะต่างใย ไกลมายา

    เห็นใคร เขาได้ดี...................ไม่เคยที่ จะริษยา
บรรลุ มุทิตา.............................ร่วมสุขะ สาธุการ

    อิ่มใจ ได้ทำดี.......................เอื้ออารี พิษฐาน(พิษฐาน=มุ่งหมาย)
ไม่หวัง ผลพรั่งพาน....................มหาศาล สนองตน

    รู้ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี....................รู้ว่านี่ คือกุศล
รู้กฎ แห่งกรรมกล......................ว่ามีผล ดลชะตา

    ชาตินี้ มีบุญแท้.....................ไม่เพียงแค่ พบพุทธศาสนา
ยังได้ ใช้ชีวา............................เพียรศึกษา ปฏิบัติตาม

    เข้าใจ ในชีวิต.......................มุ่งสุจริต ไม่คิดขาม
ความดี คือนิยาม........................ของความงาม เลิศล้ำเอย ฯ

๒๓ มกราคม ๒๕๕๘

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

เป็นอยู่สุโข : โคลงสี่สุภาพ



เป็นอยู่สุโข : โคลงสี่สุภาพ

. โฆษณาปรากฏเค้า.....................ความหมาย
ชักชวนยั่วขวนขวาย.......................ใคร่ซื้อ
ผลิตภัณฑ์อันหลากหลาย...............ประสิทธิ์
ชีวิตสุขสม;รื้อ..............................เก่าดั้นทันสมัย ฯ

. ค่านิยมมักอวดโอ้......................มั่งมี
ทันสมัยหมายถึงดี.........................ก้าวหน้า
ยกตนข่มประชาชี..........................เทียบเปรียบ
เหยียบย่ำทำเป็นข้าฯ......................เยี่ยมแท้ยอด นรา ฯ

. หาเงินเพื่อเพลินซื้อ....................สิ่งของ
สะสมเพื่อลำพอง...........................อวด(รวย)ล้ำ
มีทรัพย์เพื่อตอบสนอง....................ความอยาก
โลภมากเพื่อจุนค้ำ.........................หน้าตา-ทระนง ฯ

. คนจนพลอยบีบคั้น......................ตามเขา
ค่านิยมสังคมเมา............................รุ่มเรื้อ
เป็นทาสแห่งความเขลา...................มุ่นหมก
ยกฐานะอาจเอื้อ............................(ผ่าน)ของใช้วิถี ฯ

. ยอมกระทั่งก่อหนี้.......................ยืมสิน
ขายกระทั่งชีวิน..............................รับใช้
ความสุขที่มุ่งถวิล...........................แส่อยาก
หรือทุกข์ยากหลากได้ ?..................คิดให้แตกฉาน ฯ

. มีพอกินพอใช้.............................ไม่ขาด
ดำรงชีพชาญฉลาด.........................รอบรู้
อย่ายอมตกเป็นทาส........................ธุรกิจ
เตือนจิตแข็งแกร่งสู้.........................บ่แพ้กระแสกระหาย ฯ

. สุขสบายอยู่ในห้วง.......................เสรี
พอใจเท่าที่มี..................................ที่(หา)ได้
ไม่แข่งขันชิงดี................................ชิงเด่น
เป็นอยู่สุโขไซร้...............................ไป่ต้องโลภ-หลง ฯ

๒๒ มกราคม ๒๕๕๘

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

บุรพกรรม : กลอนแปด



บุรพกรรม : กลอนแปด

    ไข่มดแดง แบ่งกอง ใบตองตัด..............เรียงรายจัด ข้างถนน หลากคนขาย
ไข่มด(งาน)น้อย แค่นี้ ยังมิวาย..................ถูกขวนขวาย ปล้นมา ปรุงหากิน

    ปรัชญา ชีวี ที่คิดต่าง...........................เป็นต้นทาง สั่งสม (ค่า)นิยมถวิล
กำหนดทิศ คิดใคร่ ใช้ชีวิน........................แตกต่างกัน ปานดิน เทวินทร์ดล

    ประสบการณ์ ดาลให้ ได้ศรัทธา.............เชื่อสัจจา/ปฏิเสธ (ความ)มีเหตุ-ผล
ความสงสัย ใคร่รู้ ผลัก(ดัน)ผู้คน.................ให้คิดค้น หาประเด็น ความเป็นจริง

    มีผู้คน ล้นเหลือ หลงเชื่อง่าย..................มิขวนขวาย ใช้สมอง ตรองทุกสิ่ง
เชื่อตามเขา เมามาย งมงายอิง....................จึงดำดิ่ง ทางทิศ อวิชชา

    มีจิตใจ ไว้ล่าม ความรู้สึก.......................มีสมอง ไว้ตรองตรึก แต่ตัณหา
มีชีวิต ชิดแส่ แต่กามา...............................มีทำไม ไร้ค่า ชีวาคน ?

    ทั้งที่รู้ ที่เห็น (ความ)เป็นคุณ-โทษ...........แต่บางผู้ อุระโฉด ปราโมทย์ฉล
คุณความดี มิอาจ นลาฏดล.........................ชอบเป็นคน ฉลชั่ว ชาติมัวเมา(นลาฏ=หน้าผาก)

    เหตุอันใด ทำให้ ใครบางคน...................เกิดมาจน ปัญญา อุราเขลา ?
เพราะเหตุใด ใครช่าง พร่างเพริศเพรา...........สติเร่า เฝ้าคิด หาวิชชา ?

    ใครบางคน เกิดมา แสนฉลาด..................แต่ไม่อาจ รู้ธรรม ร่ำศึกษา
คนมากมาย โง่เขลา เบาปัญญา....................กลับบูชา ความดี มีศีลธรรม

    คงเพราะบุญ บารมี ที่ทำก่อน...................ผลสะท้อน ย้อนสนอง จองจุนค้ำ
คงเพราะบาป หยาบช้า บุรพกรรม..................จึงน้อมนำ ทำให้ เป็นไปเอย ฯ

๒๑ มกราคม ๒๕๕๘

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

อยากเป็น-ไม่อยากให้เป็น : กลอนคติธรรม



อยากเป็น-ไม่อยากให้เป็น : กลอนคติธรรม

    อาทิตย์ อุทัย.....................ทำให้ ไพรวัน ปราณปรี่
จำหลัก รัศมี..........................ปักษี รี่ร้อง ส้องเสียง
เช้าแห่ง เหมันต์.....................(กลาง)คืนยาว หนาวสั่น พรั่นเพียง
มิอาจ หลีกเลี่ยง.....................เกี่ยงงอน ย้อนสู่ สัญญา

    อร่าม ยามสาย....................สุรีย์ ฉาดฉาย พรายพรรณ
รวี สีสัน.................................ฝ่าฟัน ม่านหมอก พอกหนา
ขับไล่ ความหนาว....................ขับกล่อม น้อมน้าว ชีวา
รู้สึก เริงร่า..............................กำลัง วังชา มาคืน

    จะชอบ/จะชัง......................ไม่อาจ หยุดยั้ง ความหนาว
เหน็บเข็ญ เด่นคราว..................ฤดู กาลก้าว ยากขืน
พึ่งเครื่อง กันหนาว....................บรรเทา หนาวข่ม กลมกลืน
ดูดิน แดนดื่น............................ขมขื่น ฝืนฝ่า กว่าเรา

    จะอยาก/ไม่อยาก..................(เมื่อ)วิบาก เวรกรรม ตามทัน
ต้องเป็น เช่นนั้น........................มิอาจ เปลี่ยนผัน ปันเผา
ชะตา ของตน...........................ไม่พ้น ผจญ ทนเอา
เผชิญ หน้าเนา..........................แกร่งกล้า อย่าเศร้า เสียใจ

    สติ ปัญญา...........................คิดหา หนทาง สางศึก
ธรรมตรอง ถ่องตรึก....................สำนึก สัจจา อดิศัย
สุจริต คิดครวญ..........................ถี่ถ้วน สุขุม คุ้มภัย
เหนื่อยยาก แค่ไหน.....................จงอย่า ถอดใจ ไกรการ

    " อยากจะ ให้เป็น " ................" ไม่อยาก ให้เป็น " เว้นเถิด
ตัณหา อย่าเกิด..........................ประเสริฐ สัทธรรม กรรมฐาน
ภว ตัณหา.................................วิภว ตัณหา อุปาทาน
แผ้วพ้น ดวงมาน.........................จะสบ สุขศานติ์ นิรันดร ฯ

๒๐ มกราคม ๒๕๕๘

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

ความดีที่แท้ : กาพย์ฉบัง๑๖



ความดีที่แท้ กาพย์ฉบัง๑๖

    ทำดีเพื่อมีคนชม.................จึงจะอภิรมย์
ช่างโง่งมน่าสงสาร

    ทำดีเพื่อมีบริวาร...............ทรัพย์ศฤงคาร
บันดาลดลผลตอบแทน

    คือความดีที่แร้นแค้น................สะคราญสารแก่น
มาดแม่นตัณหาสาไถย

    (การทำ)ความดีที่จริงยิ่งใหญ่................เพื่อยังจิตใจ
ผ่องใสบริสุทธิ์พุทธา

    ไม่ต้องตั้งความปรารถนา...............โลกธรรมนำพา
ลาภ-ยศ-สักการะ-สรรเสริญ

    (ทำความดี)แน่วแน่แม้ต้องประเชิญ................กับความหมางเมิน
เหินห่างจากสังคมทราม

    ทำดี(โดย)มิตั้งคำถาม....................ตะกละตะกลาม
(จะได้รับ)ผลตอบแทนงามเพียงใด ?

    เพราะรู้ซึ้งบึ้งหัวใจ................ทำความดีไป
ย่อมได้ดีดื่นคืนสนอง

    (คือ)ความดีที่น่ายกย่อง.................ถูกธรรม์ครรลอง
ผุดผ่องรองเรืองเปรื่องศรี

    (คือ)ความดีแท้และโสภี...............ควรแก่การมี
ประจำคนดีพิเศษเอย ฯ

๑๙ มกราคม ๒๕๕๘

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

ผุดผ่องครรลองพรต : กลอนเจ็ด



ผุดผ่องครรลองพรต : กลอนเจ็ด

    เหน็บหนาว เช้าตรู่ ชื่นชูจิต..............อาทิตย์ อรุณ พิบูลศรี
หมอกนวล นุ่มพรม ห่มพงพี.................เหมือนมี เวทมนตร์ ดลบันดาล

    ผักเม็ก มากมาย รอบชายป่า............ผลิให้ ได้หา ปรุงอาหาร
ดอกผัก สะเดา เฝ้าเบ่งบาน..................ริดกลับ รับประทาน สราญรมย์

    ชีวิต ชนบท ไม่อดอยาก..................ถ้าหาก รักมั่น สันโดษสม
ดูแล ธรรมชาติ หยัดนิยม......................อุดม สมบูรณ์ มิสูญไป

    หลักธรรม นำทาง กระจ่างทัศน์..........ภักดี อติสัจ อัชฌาศัย(อติ=พิเศษ,เลิศล้น)
จำเนียร เพียรน้อม กล่อมเกลาใจ............อย่างไม่ ไหวอ่อน อก คลอนแคลน

    หาได้ ไม่ยาก หากใจจด-..................จ่อจะ ปรากฏ โชติช่วงแสน
หมั่นทวน ครวญใคร่ (จะ)ไม่ขาดแคลน.....แนบแน่น สำนึก รู้สึกตัว

    รสธรรม ล้ำเลิศ ประเสริฐสด...............เหนือรส ทั้งหลาย ในโลกทั่ว
ไม่ก่อ ความเขลา หลงเมามัว..................ไม่กลั้ว ชั่ว-ชัง ผลข้างเคียง

    บันดาล พานพี ปรีดิ์เปรมปลาบ............อิ่มอาบ ซาบทรวง ดวงใจเยี่ยง
สงบ สบสันติ์ ศรัณย์เพียง.......................ไม่เสี่ยง ทุกข์เศร้า ร้อนเร่ารน(ศรัณย์=ซึ่งเป็นที่พึ่ง)

    พิสุทธิ์ ผุดผ่อง ครรลองพรต...............หมดจด พสุ เพราะกุศล(พสุ=ทรัพย์,สมบัติ)
ชีพเยาว์ เบาสบาย ไร้กังวล.....................เหมือนยืน อยู่บน ยุคนธร ฯ(ยุคนธร=ชื่อภูเขาทิวหนึ่งรอบเขาพระสุเมรุ)

๑๘ มกราคม ๒๕๕๘

วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558

ตัณหา=สมุทัย : กาพย์สุรางคนางค์๓๒



ตัณหา=สมุทัย กาพย์สุรางคนางค์๓๒

    หยาดน้ำ ค้างแข็ง...................ตกแต่ง ต้นหญ้า
รับขวัญ วันทา...........................อุษา สมัย
ควันขาว พวยพุ่ง........................ปรุงลม หายใจ
แปลกตา พาให้..........................ชื่นใน เหมันต์

    ลองนึก ตรึกดู........................คนอยู่ ลำบาก
คนไกล กลับอยาก......................มาหา หฤหรรษ์
อยากดู อยากเห็น.......................เล่นไม่ กี่วัน
ก็จร จรัล...................................พากัน กลับไป

    กิเลส ตัณหา..........................ชักพา มนุษย์
แส่อยาก ยากหยุด.......................ประดุจ หลงใหล
มิรู้ จักพอ...................................จดจ่อ จิตใจ
หาสิ่ง แปลกใหม่.........................มาให้ ชม-เชย

    รูป-รส-กลิ่น-เสียง....................ลำเลียง สัมผัส
วิถี ปฏิบัติ...................................มิอาจ อยู่เฉย
เห็นเป็น ปกติ..............................(จึง)ดำริ ละเลย
ทำตาม ใจเคย.............................เอ่ยชิน จินดา

    บัณฑิต พิศเพียร......................เปลี่ยนแปลง ปรับปรุง
พัฒนา ผดุง................................มุ่งขจัด ปัญหา
ต้นเหตุ แห่งทุกข์.........................รุกราน อุรา
ตามหลัก พุทธา...........................ตัณหา=สมุทัย

    ยึดอริ ยมรรค...........................เป็นหลัก ปฏิบัติ
ตัณหา ขจัด.................................ศรัทธา อัชฌาศัย
อยู่ใน โลกอย่าง...........................ร้างทุกข์ สุขใจ
อัศจรรย์ อันใด.............................ไหนอาจ เทียบเทียม ฯ

๑๗ มกราคม ๒๕๕๘

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

ย่อมเลิศล้ำจำรูญ : กาพย์ยานี ๑๑



ย่อมเลิศล้ำจำรูญ : กาพย์ยานี ๑๑

    โอนไหว ตาม(แรง)สายลม.............เรือนระบม โทรมทรุดเสา
ฝาข้าง หลังคาเฝ้า...........................เอาแต่ทำ ท่าชำรุด

    เสียงลม ระดมแทรก.....................ตามรอยแยก แตกไม่หยุด
คนอยู่ นอนคู้คุด...............................อุตส่าห์ทน โดนหนาวครา

    หทัย ที่ไม่แกร่ง...........................ย่อมคลอนแคลง (ตาม)แรงผัสสา
รูป-รส-กลิ่น-เสียงฯลฯดา....................พาเบี่ยงเบน โอนเอนใจ

    หทัย ที่ไร้หลัก.............................ธรรมปกปัก รักษาไว้
เที่ยวท่อง ล่องลอยไป.......................ในโลกี ยะลำเนา

    ไขว่หา กามาสุข...........................ราคะขลุก โชนรุกเร่า
เสพสม นิยมเนา...............................เมาหมกมุ่น วุ่นวายมี

    หทัย ที่ไกรแกร่ง..........................ธรรมาแฝง แทงวิถี
ประสงค์ มงคลดี...............................สุคติ นิรามัย

    มิหา กามาสุข...............................ราคะถูก ดับลุกไถย
บำราศ จนปราศไป.............................ใจพิสุทธิ์ ชุติมา(บำราศ=ปราศจาก)

    รู้-เห็น ความเป็นสัจ........................ความพิพัฒน์ ปรารถนา
มีสติ และปัญญา................................เผชิญหน้า โลกาธรรม

    อยู่เย็น เป็นสุขใจ...........................จิตอำไพ ไม่ตกต่ำ
หยุดก่อ อกุศลกรรม............................ย่อมเลิศล้ำ จำรูญเอย ฯ

๑๖ มกราคม ๒๕๕๘

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด : โคลงสี่สุภาพ



ทำวันนี้ให้ดีที่สุด โคลงสี่สุภาพ

. ความหนาวเยือนคราวนี้.................ยิ่งยล
หนาวเหน็บผิวผจญ.........................ผากแห้ง
เที่ยงวันยันบ่าย วน.........................ผิงแดด
แวดสุขภาพอย่าแว้ง........................เจ็บไข้ลำเค็ญ ฯ(แวด=รักษา)

. นกพิราบลงเล่นน้ำ.......................อาบสบาย
ความสะอาดมิคลาดคลาย.................มองข้าม
เดินพองขนสะบัดกาย......................จับกลุ่ม
รุ่มรื่นอารมณ์;คร้าม.........................หนาวนี้ที่ไหน ?

. ครรลองครองโลกเรื้อ...................จีรัง
คือทุกข์ยากลำบากดัง......................คู่หล้า
วิถี อนิจจัง.....................................คงสัจ
ปริวรรตผลัดเปลี่ยนหน้า...................หนาว-ร้อน-ฤดูฝน ฯ(ปริวรรต=เปลี่ยนแปลง)

. เวียนวนภายใต้วัฏฏ์.......................สงสาร
เริงสุข-ทุกข์รุกราน...........................คละเคล้า
เวรกรรมตามบันดาล.........................ประสบ
พานพบเรื่องรุมเร้า............................ตลอดห้วงชีวี ฯ

. วันดีมีคืนร้าย.................................ตามสนอง
เก่ากรรมนายเวรจอง..........................ชดใช้
ทอดใจในทำนอง..............................สัจจะ
บ่ระงมห่มไห้....................................เดือดร้อนรำพัน ฯ

. ยามสุขสันติ์อย่าได้.........................ลำพอง
สรรพสิ่งไม่เที่ยงตรอง........................ตรึกไว้
ไม่มีใครอาจครอง..............................แค่สุข
ความทุกข์สักวันไซร้..........................เวียนให้หน่ายแหนง ฯ

. ทุ่มแรงทำวันนี้..............................(ให้)ดีที่สุด
วันวานผ่านไปดุจ..............................ลับแล้
วันพรุ่งยังไกลหยุด............................คิดอยาก
จักมาหาแน่แท้.................................มิต้องพะวง ฯ

๑๕ มกราคม ๒๕๕๘

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

ชาติจึงไม่พัฒนา : กลอนเจ็ด



ชาติจึงไม่พัฒนา : กลอนเจ็ด

    คนรู้ จักกัน ผ่านมาบ่น...................เรื่องจ้าง วาน วน คน(งาน)อีสาน
คดจิต มิจฉา น่ารำคาญ.....................เกียจคร้าน งานท้อ ย่อหย่อนที

    ตกลง จงแจง ค่าแรงเสร็จ..............ยังเจต (ตะ)นา ละเลี่ยงลี้
(อ้าง)ข้าวปลา อาหาร ฉันไม่มี............สุรา จารี จึงมีแรง

    ขอข้าว-เหล้า-ยา สูบฯลฯสารพัด.....ปฏิบัติ งานด้อย คอยคดแฝง
มักง่าย-รวบรัด-คิดดัดแปลง................(ให้งาน)รีบเสร็จ เลศแสร้ง แข็งขันทำ

    (พอ)มีเงิน เพลินหา สุราเหล้า.........เล่นพนัน กันเข้า มัวเมาคร่ำ
ทิ้งงาน ทิ้งการ คร้านประจำ................เพียรพร่ำ ความสุข สนุกตน

    ไม่เอา ใจใส่ ในการกิจ..................ตั้งจิต คิดจ่อ คอยฉ้อฉล
จึงตก ระกำ(ต้อย)ต่ำ-ยากจน.............." ถูกเอา เปรียบ " บ่น ท้นชีวา

    สันดาน มารยา จิตสาไถย..............ไม่ใช่ เพราะไร้ การศึกษา
มักคุด ทุจริต อยู่นิตยา.......................(ไม่)ใช่ลาญ ปัญญา ชาติตระกูล

    คนที่ เกียจคร้าน ชำนาญบาป..........(ต่อให้)ทรัพย์ล้น พ้นตราบ (ก็)ต้องสาบสูญ
เวรกรรม ตามเกี่ยว เปลี่ยวอาดูร...........ชีวี บริบูรณ์=ฝันคุ้นเคย

    อุดม คนเดน เป็นส่วนใหญ่..............ชาติไม่ พัฒนา ผลเฉลย
หากยัง ทำตาม ความคุ้นเคย...............อย่าเอ่ย เอื้อมมี ศิวิไลส์ ฯ

๑๔ มกราคม ๒๕๕๘