ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564

พรปีใหม่ที่ไม่ต้องขอจากใคร : กาพย์ยานี๑๑



พรปีใหม่ที่ไม่ต้องขอจากใคร : กาพย์ยานี๑๑

    รุ่งแสง อรุณส่อง..................................แมลงปอป้อง ปีกสยาย

เอื้อหนุน (อบ)อุ่นร่างกาย......................คอยผ่อนคลาย ความหนาวเย็น


    ชีวี มีแต่เรื่อง.......................................ตามหนุนเนื่อง สร้าง(ความ)เคืองเข็ญ

ต้องสู้ อยู่รอดเป็น.................................จึงเห็นแสง แห่งพรุ่งมี


    (ความ)ไม่ท้อ ต่ออุปสรรค.....................อันเหนื่อยหนัก เป็นสักขี

ของผู้ สู้ชีวี...........................................อย่างไม่มี (ความ)วิตกกังวล

 

    เสมือนแสง สว่างรุ่ง..............................จงพร้อมพุ่ง(ไปข้างหน้า) มุ่งหวังผล

ด้วยแรง แห่งกระมล..............................ของตนที่ พีพลัง


    บ่หน่าย ใช้ความคิด..............................เพื่อพิชิต ประสิทธิ์(สิ่ง)หวัง

(ตราบ)ชีพคง ประสงค์ยัง.......................เพียรสรรค์สร้าง แม้พลั้ง(พลาด)พาน(ผลสำเร็จ)

 

    อุตสาห์ ต่อหน้าที่.................................บ่หวังมี ปาฏิหาริย์

(สิ่ง)เหนือเหตุผล ดลบันดาล..................ให้สุขศานติ์ สำราญจินต์

 

    แม้ใจ ใคร่ชื่นชม...................................ความอุดม สมถวิล

(จง)ทำมา หมั่นหากิน............................ตามระบิล ตราบสิ้นลม(ไม่ทุจริตทำผิดกฎหมาย)


    อ้อนวอน (ขอ)พรปีใหม่.........................จากใครใย ไร้ทางสม

หากยัง คงโง่งม.....................................ไม่อบรม ตนเองเอยฯ


๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

เจลสูตร
ว่าด้วยการมีธรรมเป็นเกาะเป็นที่พึ่ง

.....เธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง 
คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด.

วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2564

AI อาจทำลายมนุษย์ในอนาคต

อเล็กซา’ เครื่องสั่งการอัจฉริยะจากแอมะซอน ได้ท้าทายเด็กหญิง 10 ขวบให้เอาเหรียญไปแตะง่ามปลั๊กที่เสียบเข้าเต้ารับไฟ


ลองเสียบที่ชาร์จโทรศัพท์ที่ผนังดูสิ หลังจากนั้นลองเอาเหรียญไปเเตะที่ง่ามปลั๊กดู” อเล็กซาได้กล่าวท้าทายกับเด็กหญิงวัย 10 ขวบ 
อย่างไรก็ตามทางบริษัทได้รับรู้ถึงข้อผิดพลาดและพยายามที่จะแก้ไขแล้ว
คริสติน ลิฟดาห์ล แม่ของเด็กหญิงได้เขียนระบายลงในทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า กิจกรรมที่แสนอันตรายนี้กำลังแพร่ระบาดบนโลกอินเตอร์เน็ตมันถูกเรียกว่า “The Penny Challenge” คือสิ่งของนำโลหะนำไฟฟ้าแตะบนง่ามรับไฟฟ้าและเต้ารับไฟ เพื่อให้เกิดการช็อตของไฟฟ้า


อย่างไรก็ตาม เมื่อลิฟดาห์ลได้ยินอเล็กซาสั่งการดังนั้น เธอจึงรีบออกมาตะโกนว่า “ไม่อเล็กซาในทันที ซึ่งเธอก็บอกอีกว่าโชคดีที่ลูกสาวของเธอฉลาดกว่าที่จะทำอะไรเช่นนั้น

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงในสหรัฐฯยังออกมาต่อต้านเทคโนโลยีและ The Penny Challenge อีกว่ากิจกรรมดังกล่าวอาจทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสขึ้นขั้นสูญเสียอวัยวะเช่นนิ้วขาและแขนได้อีกด้วย

https://www.bbc.com/news/technology-59810383?piano-modal



วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2564

การเดินทางครั้งสุดท้าย : กาพย์ยานี๑๑



การเดินทางครั้งสุดท้าย : กาพย์ยานี๑๑

    ขึ้นชื่อ คือผีเสื้อ.................................ชนต่างเชื่อ ในความสวย

สีสัน อันรุ่มรวย..................................เอื้ออำนวย ช่วย(ให้)หลงรัก


    ความงาม ของสังขาร........................ดลบันดาล สมานสมัคร

ใคร่เห็น เป็นยิ่งนัก.............................คิดใฝ่ฝัก อยากครอบครอง


    ขึ้นชื่อ คือสังขาร..............................ย่อมแปรผัน พานเปลี่ยน(แปลง)ผอง

ตามวัย ได้แต่มอง..............................คล้อยครรลอง ของอนิจจัง

 

    จาก(วัย)เยาว์ สู่(วัย)เฒ่าแก่...............ไม่มีแม้ แต่ความหวัง

(ความ)หนุ่มสาว เฝ้าเหนี่ยวรั้ง..............ฝืนพลัง ขวางสัจจา


    ศัลยกรรม ทำเสริมสวย......................มิได้ช่วย วัยรักษา

(สังขาร)แก่เฒ่า เก่าชรา......................ตามอายุ ลุ(สู่ความ)เสื่อมทราม

 

    สุดสิ้น อายุขัย...................................(คือ)สิ่งที่ใคร(ๆ) ต่างครั่นคร้าม

ความตาย (เมื่อ)ใกล้ถึงยาม.................เกิดคำถาม ว่าทำไม?

 

    อยากมี ชีวีแส่....................................เพื่อเกิด-แก่ แลเจ็บไข้(ตาย)

สนุกสนาน สำราญใจ..........................ในวิถี ไร้จีรัง


    ผีเสื้อ ไม่เหลือ(ความ)สวย...................(แทบ)ไร้แรงฉวย(เกาะ) กิ่งไม้หวัง

สงบเคียง เพียงลำพัง..........................เพื่อเดินทาง ครั้งสุดท้ายฯ(สู่สัมปรายภพ=ภพหน้า)


๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๔

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ความโศกเศร้าเสียใจ : โคลงสี่สุภาพ



ความโศกเศร้าเสียใจ โคลงสี่สุภาพ

 

๑. ลูกแมวที่ถูกทิ้ง(วัด)..................................เดือนธันวาฯ

ต่างทะยอยอาพาธ์.................................ป่วยไข้

บางตัวไม่ออกมา...................................จากที่ซ่อน

เอาอาหารมาให้....................................(ตัวที่ออกมา)กินน้อยลงเหลือฯ

 

๒. (แมวต้นปี)ฉีดวัคซีน(รวม)ไปแล้ว................ยังตาย

เสียเงินไม่เสียดาย.................................จิตพร้อม

แต่ชีวี(ลูกแมว)ที่วางวาย.........................ลาลับ

ถึงกับทำหทัยน้อม.................................โศกเศร้าเสียใจฯ

 

๓. รันทดไปก็ไร้...........................................ผลดี

(รังแต่)ก่ออกุศลมากมี............................ทุกข์ท้อ

(คิดถึง)ธรรมชาติของชีวี.........................(เมื่อ)เกิด-(ย่อม)ดับ

ยอมรับอย่าตัดพ้อ..................................ต่อต้านความเป็นจริงฯ

 

๔. สิ่งมีชีวิตต่างอยู่ใต้....................................กฏแห่งกรรม

ใครเล่าอาจครอบงำ................................เหนือ(กฎ)ได้?

เมื่อมีเวรเก่ากรรม...................................ทำก่อน

ผลห่อนสูญสาบไร้..................................ตามให้คืนสนองฯ

 

๕. โลกมิเคยสอดคล้อง..................................สรวงสวรรค์

ความวิโยคโศกศัลย์................................เคียงเคล้า

ขนาดในความฝัน...................................ยัง(มีเรื่อง)สลด

ความรันทดคดเร้า..................................โศกเศร้าเสียใจฯ

 

๖. อย่าไปมองโลกเพี้ยง(เพียงแค่)....................แง่ดี

สอดส่องครรลองมี..................................รอบด้าน(มองแง่ร้ายด้วย)

ธรรมชาติของชีวี....................................เกิด-แก่-

แลเจ็บ-ตาย ใครต้าน..............................กฎได้กระนั้นหรือ?

 

๗. ความสัตย์ซื่อ(ชาตินี้)ไป่สร้าง......................(ความ)สำเร็จ(สมใจ)

(ความ)อุตสาหะ(ชาตินี้)มิเผด็จ.................ผลได้(ตามที่หวัง)

พระอรหันต์บรรลุเสร็จ.............................มรรคผล(ชาตินี้)

หาก(ต้อง)ผจญกรรม(เมื่ออดีตชาติ)ทำไว้....แม้แต่พระพุทธองค์ฯ*

 

๘. ทรงจำสัจธรรม-ใช้....................................ประจญ

ชะตากรรมของตน..................................ภาย(ภาค)หน้า

สิ่งประเสริฐคือ(ความ)อดทน.....................เป็นตบะ

ช่วยเอาชนะความอ่อนล้า.........................โศกเศร้าเสียใจ(ได้)ฯ


๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๔


*พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
๑๐. พุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปิโลติ
ประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าว่าด้วยบุพกรรมเก่า
(พระอานนทเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าว่าด้วย บุพกรรมเก่า จึงกล่าวว่า) [๖๔] ณ พื้นศิลาที่น่ารื่นรมย์ ใกล้สระอโนดาต โชติช่วงด้วยรัตนะต่างๆ ในละแวกป่ามีดอกไม้มีกลิ่นหอมนานาชนิด [๖๕] พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก มีหมู่ภิกษุหมู่ใหญ่ห้อมล้อม ประทับนั่งที่ศิลาอาสน์นั้น ทรงพยากรณ์บุพกรรมของพระองค์ว่า [๖๖] ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงฟังกรรมของเรา เราเห็นภิกษุ ผู้อยู่ป่าเป็นวัตร จึงได้ถวายผ้าเก่าผืนหนึ่ง [ก] ในกาลนั้น ข้าพเจ้าปรารถนาการตรัสรู้ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลของการถวายผ้าเก่าให้ผลในความเป็นพระพุทธเจ้า [ข] ในชาติปางก่อน เราเกิดเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่น จึงห้ามมันไว้ [ค] ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เรากระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า : ๕๗๔}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓๙. อัมพฏผลวรรค]

๑๐. พุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปิโลติ

[๖๗] ในชาติอื่นๆ ในปางก่อน เราเกิดเป็นนักเลงชื่อว่าปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร [๖๘] ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงได้เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในนรกเป็นเวลานาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี [๖๙] ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราได้รับการกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ [๗๐] เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน [๗๑] เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานานถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก [๗๒] ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน [๗๓] เราเกิดเป็นพราหมณ์ ผู้มีสุตะซึ่งประชาชนสักการบูชา ได้สอนมนตร์ให้มาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ [๗๔] เราได้เห็นฤๅษีผู้น่าเกรงกลัว ผู้ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มายังสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤๅษีผู้ไม่ประทุษร้ายใคร [๗๕] ครั้งนั้น เราได้บอกพวกศิษย์ว่า ฤๅษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ เพียงเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็พลอยเชื่อ [๗๖] ตั้งแต่นั้นมา พวกมาณพทั้งหมด ไปเที่ยวหาอาหารในตระกูลทั้งหลาย พากันบอกประชาชนว่า ฤๅษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า : ๕๗๕}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓๙. อัมพฏผลวรรค]

๑๐. พุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปิโลติ

[๗๗] ด้วยผลกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ได้รับการกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ [๗๘] ในชาติก่อน เราได้ฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับโยนลงซอกภูเขา แล้วโยนหินทับไว้ [๗๙] ด้วยผลกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมา สะเก็ดหินกระทบนิ้วหัวแม่เท้าของเรา (จนห้อเลือด) [๘๐] ในชาติก่อน เรายังเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงหว่านก้อนกรวดไว้ที่หนทาง [๘๑] ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนักแม่นธนู ผู้เป็นนักฆ่า เพื่อฆ่าเรา [๘๒] ในชาติก่อน เราเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างไล่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นพระมุนีสูงสุด ซึ่งกำลังเที่ยวบิณฑบาต [๘๓] ด้วยผลกรรมนั้น ช้างนาฬาคีรีเชือกดุร้าย จึงวิ่งไล่เราในกรุงราชคฤห์อันประเสริฐ [๘๔] ในชาติก่อน เราเป็นทหารราบ ได้ใช้หอกฆ่าคนจำนวนมาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงถูกไฟไหม้อย่างร้อนแรงในนรก [๘๕] ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่ ในบัดนี้ ไฟนั้นยังตามมา ไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทุกแห่ง เพราะกรรมยังไม่สิ้นไป {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า : ๕๗๖}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓๙. อัมพฏผลวรรค]

๑๐. พุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปิโลติ

[๘๖] ในชาติก่อน เราเป็นเด็กเล็กลูกของชาวประมง อาศัยอยู่ในเกวัฏฏคาม เห็นชาวประมงฆ่าปลาแล้วเกิดความโสมนัส [๘๗] ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงปวดศีรษะ ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกฆ่า คราวที่พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่า [๘๘] เราได้ด่าบริภาษเหล่าสาวกในศาสนา ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะด้วยคำว่า ท่านทั้งหลายจงขบเคี้ยว จงฉันแต่ข้าวเหนียว อย่าได้ฉันข้าวสาลีเลย [๘๙] ด้วยผลกรรมนั้น เรารับนิมนต์พราหมณ์ อยู่จำพรรษาในเมืองเวรัญชา ได้ฉันแต่ข้าวเหนียว ตลอด ๓ เดือน [๙๐] ในชาติก่อน เมื่อนักมวยกำลังชกกัน เราได้กันบุตรชายนักมวยปล้ำไว้ ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงเกิดความทุกข์ที่สันหลัง(ปวดหลัง) [๙๑] ในชาติก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้ลูกชายเศรษฐี(ถึงแก่ความตาย) ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงป่วยเป็นโรคปักขันทิกาพาธ [๙๒] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกับพระสุคตพระนามว่ากัสสปะ ว่า การตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์จักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้หาได้แสนยาก [๙๓] ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงได้บำเพ็ญทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี ต่อจากนั้น จึงได้บรรลุพระโพธิญาณที่ตำบลอุรุเวลา {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า : ๕๗๗}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓๙. อัมพฏผลวรรค]

รวมอปทานที่มีในวรรค

[๙๔] แต่ว่า เราก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณที่สูงสุดด้วยทางนี้ เราถูกกรรมในปางก่อนตักเตือนแล้ว จึงแสวงหา(โพธิญาณ)ผิดทาง [๙๕] เราสิ้นบาปสิ้นบุญแล้ว ปราศจากความเร่าร้อนทุกอย่าง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพาน [๙๖] พระพุทธชินเจ้าได้ทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยมุ่งหวังประโยชน์สำหรับหมู่ภิกษุ ที่ใกล้สระใหญ่ชื่ออโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล ได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงภาษิตธรรมบรรยายพุทธาปทาน ชื่อปุพพ- กัมมปิโลติ ซึ่งเป็นบุพจริตของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้แล
พุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปิโลติที่ ๑๐ จบ
อัมพฏผลวรรคที่ ๓๙ จบบริบูรณ์
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. อัมพฏผลทายกเถราปทาน ๒. ลพุชทายกเถราปทาน ๓. อุทุมพรผลทายกเถราปทาน ๔. ปิลักขผลทายกเถราปทาน ๕. ผารุสผลทายกเถราปทาน ๖. วัลลิผลทายกเถราปทาน ๗. กทลิผลทายกเถราปทาน ๘. ปนสผลทายกเถราปทาน ๙. โสณโกฏิวีสเถราปทาน ๑๐. พุทธาปทานชื่อว่าปุพพกัมมปิโลติ บัณฑิตทั้งหลายนับได้ ๙๑ คาถา
ภาณวารที่ ๑๔ จบ

กรรมเก่า : กาพย์ยานี๑๑




กรรมเก่า : กาพย์ยานี๑๑

    ต้นไม้ ใบเว้าแหว่ง.................................มีแมลง ปอเข็มน้อย

เกาะต้อง ตรงร่องรอย.............................อย่าเถื่อนถ้อย ถ่อยปรักปรำ(ว่าแมลงปอกินใบไม้)


    (แมลงปอ)กินแมลง เป็นอาหาร...............บ่ต้องการ ใบไม้ขย้ำ

ภาพที่เห็น ซ่อนเร้นกรรม.........................ผู้กระทำ(กินใบไม้) แต่ก่อนกาล


    ก็เหมือน กับชีวิต(คน).............................(มี)ชะตาลิขิต ติดตามขาน

เก่ากรรม์ คอยบันดาล..............................ให้พบพาน การเป็นไป

 

    เมื่อไม่รู้ ดูไม่เห็น(กฎแห่งกรรม)...............(คนจึง)สรุปเป็น เรื่องเหลวไหล

อยากทำ กรรมอะไร.................................ก็ทำใคร่ ตามใจตน


    สุข-ทุกข์ ที่คลุกคลี.................................มองว่ามี(เพราะ) ปัจจุบันผล

เรื่องกฎ แห่งกรรมกล...............................คิดว่าคน เก่า(โบราณ)หลอกลวง

 

    การเวียน ว่ายตาย-เกิด............................(คิดว่า)เรื่องเลยเถิด เชิดทักท้วง

ไร้สา ระทั้งปวง.......................................ล่วงสมัย งมงายมี

 

    ประสบการณ์ วิญญาณจิต........................สิ่งศักดิ์สิทธิ์ฯลฯ ในโลกนี้

บางคน เท่านั้นที่.....................................มีโอกาส อาจพบเจอ*


    ไม่(ได้)เชื่อ เพราะงมงาย.........................ไม่บรรยาย อย่างเพ้อเจ้อ

ไม่ได้ หลงละเมอ....................................จึงไม่เก้อ กล้าพูดเอยฯ


๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๔


*ผู้เขียนเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีประสบการณ์ด้านจิตวิญญาณหลายครั้ง (อ่านจากงานเขียนเก่าๆของผู้เขียนได้)

เชื่อเรื่องชะตาชีวิต,กฎแห่งกรรม เพราะศึกษาเรื่องดูลายมือ สังเกตชีวิตตัวเองและคนหลายคนมานานแล้ว

ทำให้ผู้เขียนพบว่า หลักใหญ่ของศาสนาพุทธสอนสิ่งที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องจินตนาการอย่างศาสนาอื่น.

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2564

คนดีแต่พูด : กาพย์ยานี๑๑



คนดีแต่พูด : กาพย์ยานี๑๑

    หนังสือ ถือเล่มใหญ่(ถ่ายรูป).....................เก็บวางไว้ ให้สูงส่ง

ประพฤติ ยึดมั่นคง..................................เช่นใหลหลง งงอุรา


    หนังสือ ถือเพื่อให้....................................สร้างภาพ(ให้)ใคร เข้าใจว่า

เป็นคน เปี่ยมปัญญา...............................น่าเคารพ คบสมาคม


    พูดจา ตำราอ้าง.......................................เพื่อหักล้าง คัดง้างสม

บูชา ตำราชม.........................................อย่างโง่งม (กราบ)ไหว้สักการ

 

    เก็บ(หนังสือ)ใส่ นิ่งในตู้............................ชื่นชมชู (แต่)ไม่ดู-อ่าน

ทำท่า (เหมือน)ปรมาจารย์.......................ผู้เชี่ยวชาญ เก่งบรรยาย


    หวังลาภ-ยศ-สักกา-..................................ระศรัทธา บ้าขวนขวาย

ชอบทำ เรื่องง่ายๆ..................................ให้วุ่ยวาย หลายพิธี(รีตอง)

 

    ทำให้ (เรื่อง)ไร้สาระ.................................เป็นกิจจะ ขมันขมี(กิจจะ=กิจ)

เสียทรัพย์ คณานับพลี.............................กับสิ่งที่ มิต้องทำ(ไม่ควรทำ)

 

    หนังสือ ถ้าถืออ่าน....................................(เล่ม)ใหญ่-หนัก-นาน ทรมานกล้ำ

(เก็บ)ใส่ตู้ ดูเลิศล้ำ..................................(แต่)ไม่อ่านจำ มี(หนังสือไว้)ทำไม?


    เล่าเรียน ปริยัติ.........................................แต่ปฏิบัติ หาทำไม่

ปฏิเวธ กิเลสไคล.....................................(ให้)หมดสิ้นไป ไม่มีทาง(เป็นไปได้)


    กรรมดี เครื่องพิสูจน์..................................ทำกับพูด แผกแตกต่าง

เห็นง่าย ไม่อำพราง..................................เช่นแสงสว่าง กับ(ความ)มืดเอยฯ


๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๔


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๑๐. สุจจชชาดก
ว่าด้วยภรรยาที่ดี
[๕๗๙] 	คนฉลาดทำสิ่งใด ก็พูดถึงสิ่งนั้น ไม่ทำสิ่งใด ก็ไม่พูดถึงสิ่งนั้น 
บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้จัก คนที่ไม่ทำ ดีแต่พูด.
[๕๘๑] 	หญิงใด เมื่อสามีขัดสนก็ขัดสนด้วย เมื่อสามีมั่งคั่งก็พลอยเป็นผู้มั่งคั่งมีชื่อเสียงด้วย 
หญิงนั้นแหละ นับว่าเป็นยอดภรรยาของเขา 
เมื่อมีเงินก็ย่อมมีหญิง เป็นธรรมดา.

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564

เสน่หาในสังขารบันดาลทุกข์ : กาพย์ยานี๑๑



เสน่หาในสังขารบันดาลทุกข์ : กาพย์ยานี๑๑

    ฝนตก ตั้งแต่เช้า...................................เมฆคลุมเคล้า ราวหน้าฝน

สิ้นศรี สุริยน......................................ฟ้ามืดมน พ้น(สุด)สายตา


    เข้าสู่ สัปดาห์สุดท้าย.............................ปีใหม่หมาย ใคร่โหยหา

(วัน)สิ้นปีเก่า ปรี่เข้ามา.......................เหมือนไร้ค่า อยากคลาไคล


    ลูกแมว(วัด) เพิ่งผ่านฝน(แรก).................(บางตัว)มิอาจทน ความหนาวได้

ล้มหาย ตายจากไป...........................บ้างเจ็บไข้ (อนาคต)ไม่แน่นอน

 

    จะมี สักกี่ตัว..........................................รอดพันพัว ถึงหน้าร้อน?

(จาก)สถิติ หลายปีก่อน......................(แมววัด)ค่อนข้างจะ อายุสั้น


    แต่จะมี (ลูก)แมวตัวใหม่.........................ถูกทิ้งไว้ ทดแทนกัน

เติบกล้า ก่อนอาสัญ...........................เห็นหลักธรรม์ เกิดปัญญา(ความรู้ความเข้าใจ)

 

    อนิจจัง แห่งสังขาร................................จะทรมาน (ผู้มี)เสน่หา

เกิด-แก่ แล(เจ็บป่วย)มรณา.................เป็นสัจจา ตลอดไป

 

    (แม้)ปรารถนา ละความทุกข์...................(จง)อย่าเป็นสุข กับ(การ)หลงใหล

ต่อสัง ขารใดๆ....................................ที่(มีความ)เสื่อมไป เป็นธรรมดา


    สร้างบุญ กุศลเจต..................................สละกิเลส และตัณหา

ระงับ สรรพเวทนา...............................สิ้นโศกา สงบเทอญฯ


๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๔


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค

๓. มหาปรินิพพานสูตร (๑๖)

[๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ อีกหมวดหนึ่ง
แก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับ-
*พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
             ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบการงาน ไม่ยินดีแล้ว
ในการงาน ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบการงาน อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่ง
ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
             ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบการคุย ไม่ยินดีแล้ว
ในการคุย ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบการคุย อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่ง
ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
             ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบการนอนหลับ ไม่ยินดี
แล้วในการนอนหลับ ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบการนอนหลับ อยู่เพียงใด
พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
             ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ยินดี
แล้วในความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบความคลุกคลีด้วย
หมู่ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
             ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ไม่
ลุอำนาจแก่ความปรารถนาอันลามก อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว
ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
             ๖. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักเป็นผู้ไม่มีมิตรชั่ว ไม่มีสหายชั่ว
ไม่คบคนชั่ว อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม
เพียงนั้น ฯ
             ๗. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่ถึงความนอนใจในระหว่าง เพราะ
การบรรลุคุณวิเศษเพียงขั้นต่ำ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว
ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ จักตั้งอยู่ในหมู่ภิกษุ และ
หมู่ภิกษุจักสนใจในอปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญ
อย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
.....
[๑๓๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์จะพึงปฏิบัติในมาตุคาม
อย่างไร ฯ
             การไม่เห็น อานนท์ ฯ
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อการเห็นมีอยู่ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ฯ
             การไม่เจรจา อานนท์ ฯ
             ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อต้องเจรจา จะพึงปฏิบัติอย่างไร ฯ
             พึงตั้งสติไว้ อานนท์ ฯ
....
[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ฯ