ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พระจันทร์สีส้มแดง : กาพย์ยานี ๑๑



พระจันทร์สีส้มแดง : กาพย์ยานี ๑๑

    ฟ้างาม ค่ำคืนนี้...............เดือนเพ็ญมี สีส้มสวย
ฟ้าโล่ง ส่งอำนวย................ช่วยให้เห็น (เช่น)โกเมนมณี

    เหตุผล ดลดาลให้...........เพ็ญเปลี่ยนไป บ่ใสศรี
เพราะว่า นภามี....................ธุลีม่าน ควันบดบัง

    เดือนไซร้ คงไม่รู้..............คืนนี้ดู ปุราณขลัง
แสงรอน อ่อนกำลัง................ดั่งหมองหม่น ล้นฤทัย

    เสมือนคน กมลครอง..........กิเลสส้อง มิผ่องใส
โลภา ตัณหาภัย.....................ทำใจรก สกปรกเป็น

    เจ้าตัว ชั่วไม่รู้....................คนอื่นดู ค่อยสู่เห็น
เลวทราม ทำลำเค็ญ................บ่เว้นโศก วิโยคซอน

    ฝึกฝน กมลใฝ่....................กิเลสไถย เพิกถ่ายถอน
ตัณหา อนาทร........................สังวรจิต นิตยา

    เกลาขัด ดัดนิสัย.................อบรมใจ ใคร่สิกขา
สมาธิ ศีลปัญญา......................ศรัทธาธรรม สัมพุทโธ

    แล้วใจ จะใสสวย..................เหมือนเพ็ญพวย พ้นเผ่นโผ
สู่ฟ้า สะเดโช............................โสภาซัด ภัสสรเอย ฯ


๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ลมหนาวพัดพา : กลอนรัก




ลมหนาวพัดพา : กลอนรัก
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    ลมหนาว พัดมา..................พัดพา นภา สะอาด
เมฆา มาขาด..........................ปราศไป ฟ้าใส สดสี
แสงทอง ส่องฟุ้ง.....................แสงเงินพลุ่ง รุ่งระวี
สุภัทร ทัศนีย์..........................สุจิตระ กาละ เวลา(สุจิตระ=เด่น)

    ลมหนาว พัดมา...................พัดพา ความแห้ง มาให้
หนาวกาย หนาวใจ...................แห้งกาย แห้งใจ โหยหา
สิ่งอบ อุ่นอาย..........................อบกาย อุ่นใน อุรา
สิ่งชุ่ม ฉ่ำมา............................ชโลม กายา ชื่นใจ

    ลมหนาว พัดมา...................พัดพา อุรา ระส่ำ
ความเหงา เข้างำ.....................ระกำ รำพัน พรั่นไหว
จะนั่ง จะนอน...........................สะท้อนกาย สะท้อนใจ
พิรี้ พิไร..................................มิใคร่ รู้ตัว รู้ตน

    ลมหนาว พัดมา...................พัดพา ความหวัง รังสฤษฏ์(รังสฤษฏ์=แต่งตั้ง)
เนื้อคู่ สู่คิด..............................พินิจ พิศดู อยู่ไหน ?
คนนั้น คนนี้.............................คนที่ อยู่ใกล้ / อยู่ไกล ?
คนหนึ่ง คนใด..........................ใครหนอ ขอให้ ได้ที ?

    ลมหนาว พัดไป....................พัดเอา หัวใจ ไปด้วย
ระทก ระทวย............................หาช่วย ให้คลาย โศกศรี
หนาวหน้า มาใหม่......................อาจพัด ให้ได้ รดี(รดี=ความรัก)
สมสุข สวัสดิ์มี...........................สมรับ กับที่ รอคอย ฯ

๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คนที่เราเฝ้าคำนึง : กลอนรัก(กาพย์ฉบัง ๑๖)




คนที่เราเฝ้าคำนึง : กลอนรัก(กาพย์ฉบัง ๑๖)

    วันใหม่ในฤดูหนาว..............หมอกบางพร่างพราว
ดูราวกับแดนแคว้นสวรรค์

    แสงเงินแสงทองผ่องพรรณ.............รุจิระอัน
จรัลเลื่อนล้นพ้นขอบฟ้า

    อากาศเย็นเยือกเกลือกกาย์..............ยิ่งลมพัดมา
ยิ่งพาเหน็บหนาวเข้ากมล

    แทรกผ่านม่านหมอกพอกพ้น..............คือภาพของคน
หนึ่งคนพิมลล้นพิไล

    ปานฉายาภาพประทับใจ..............จากฟ้าฤาไร ?
ฤทัยให้เปรมเกษมศรี

    รู้สึกสุขทุกนาที.............ทุกวันทันที
ที่เห็นเธอนั้นผ่านมา

    สร้างสัมพันธ์สรรค์มายา.............ด้วยการจินตนา
อุราอบอุ่นสุนทรใส

    ทุกเช้าทุกวันผ่านไป..............แสนเป็นสุขใจ
ที่ได้พบเธอทุกวัน

    ล่วงเลยฤดูเหมันต์...............เร็วไวคล้ายฝัน
วันหนึ่งเธอหายมิได้เห็น

    แม้ฤดูกาลผ่านเร้น.............ฉันไม่วายเว้น
เผลอเป็นต้องมองทุกเช้า

    ลมร้อนอ่อนพัดแผ่วเบา...............ไม่มีแม้เงา
คนที่เราเฝ้าคำนึง ฯ

๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แค่ความรัก ไม่ศักดิ์สิทธิ์ : กลอนคติสอนใจ



แค่ความรัก ไม่ศักดิ์สิทธิ์ : กลอนคติสอนใจ

    ตามทิวา ตาวัน ชวนกันลับ                   เหล่าสกุณ สุนทร์สรรพ พร้อมหลับใหล
เรืองรุจี นิทรา เคลื่อนคลาไคล                     หริ่งเรไร ไกรร้อง ก้องราตรี

    เดือนกรุณ์ ดวงชุติ ดาริกา                  ท้องนภา ธรฤทธิ์ พิจิตรศรี(กรุณ์=กรุณา,ธรฤทธิ์=ธร+ฤทธิ์)

พร่างเพริศพราย แพรวพราว สกาวพีร์      เสมือนมี ชีวิต ทิตสุทธา(พีร์=พีระ,ทิต=รุ่งเรือง,สุทธ์=สะอาดหมดจด)

    โรยโชยชาย อายเย็น เป็นยะเยือก           แม้นหนาวเกลือก เหน็บกาย ไม่โหยหา
อยากมีใคร  มาใกล้ชิด ; อิสรา                     วิเวกา ยอดสหาย ใดเปรียบปาน

   มิประสงค์ หลงใหล ใน " ความรัก "         ที่ทะลัก แล้วทะลาย แพร่ไพศาล
คำบอก " รัก " หลุดปากง่าย ไป่ยาวนาน            รักสราญ ราญสลาย ไร้รัญจวน

    มีแค่ " เพียง ความรัก  = ไม่ศักดิ์สิทธิ์ "    เพราะดวงจิต ผิดพาน ก็ผันผวน
เมื่อเก่ากราย ใหม่กรำ ร่ำเรรวน                        ผิซ้ำซาก พรากซวน ผวนสัมพันธ์

    แม้นว่าไร้ ศีลธรรม กำกับจิต                     คนมักคิด มิจฉา สาไถยสรร
ยิ่งมากมี ปัญญา ยิ่งสากรรจ์                            ยิ่งชั่วช้า มหันต์ แสนอันตราย

    อย่าหลงคำ พร่ำชวน รัญจวนจิต                อย่าหลงผิด ชิดเพรื่อ เชื่อโฉดฉาย
อย่าละเลย จริยธรรม สำรวมกาย                      อย่าเสียดาย ใครชั่ว ช่างหัวมัน ฯ

๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาพขำขำ ๗๑

ภาพขำขำ ๗๑



























ไฟบาป : โคลงสี่สุภาพ




ไฟบาป : โคลงสี่สุภาพ


. เหมันต์หวนมาให้................หนาวเห็น
ยามรุ่งยิ่งเยือกเย็น..................สั่นเร้า
ลมพัดเป่าปานเป็น...................พยุหะ
ฟืนก่อไฟผิงเข้า.......................ขื่นถ้วนพอทน ฯ

. เตโชโชนลุกไหม้..................สุมขอน
เพลิงพลุ่งโพลงภาส วร..............วัชเว้น(วัช=โทษ)
เปลวนาฏะอรชร........................โชติช่วง
เริงเร่าเผาผลาญเค้น...................แผ่ร้อนพรรลาย ฯ(พรรลาย=มากมาย)

. ฟืนแลเป็นผู้สร้าง....................เปลวไฟ
ไฟเล่า..ฟืนอาศัย........................โชติเชื้อ
ยิ่งโหมเหิมเกริมไกร.....................ลุกเร่า
ไฟยิ่งกลืนฟืนเฟื้อ........................ป่นปี้บรรลัย ฯ

. เปรียบประดุจชนชั่วช้า...............สามานย์
บาปก่อสถุลการ...........................ฉลฉ้อ
ทุจริตผิดพฤติพาล........................โผนผง่าน
หลงว่าเลิศเพริศข้อ.......................เสื่อมไร้สวาสดิ์หลง ฯ(สวาสดิ์=รักใคร่)

. บาปกรรมย่อมตามให้.................เผด็จผล
ความชั่วพัวพันดล..........................เดือดร้อน
ตกยากลำบากบน...........................ทัณฑกิจ
ทุกข์สาปบำราบย้อน........................เผาไหม้ภัยผลาญ ฯผบำราบ=ปราบ)

. ชาตินี้อาจแม้ไม่...........................เห็นผล
เพราะเก่ากรรมนำกล........................เกศเกื้อ
ชาติต่อไปปราศหน..........................ทางปลีก
ชาติชั่วทุรลานเรื้อ............................เริดร้างทางเขษม ฯ(เริดร้าง=จากไปกลาง
คัน)

๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พฤกษ์สณฑ์ คนไซร้ ไม่แตกต่าง : กลอนเจ็ด




พฤกษ์สณฑ์ คนไซร้ ไม่แตกต่าง : กลอนเจ็ด

    เพลา ล่วงเลย ราตรีล้น                    ดวงดาว ร่วงหล่น พ้นเพหา(เพหา=เวหา)
ท้องทุ่ง รุ่งสาง สว่างตา                          ต้นไม้ ใบหญ้า ร่าเริงพลัน

    ลมหนาว เป่าพัด สะบัดพลอด             พฤกษ์พิศ อิดออด ยอดโยกสั่น
ใบแล้ง แห้งหล่น ระคนครัน                      ไพรวัน ลานเหลือง เรื้องปถพี

    พฤกษ์สรรพ ขับไส ใบเสียทิ้ง              ผลิใหม่ ให้ยิ่ง เพื่อสิ่งศรี
ใบใหม่ พรายพรรณ สะคราญมี                   พฤกษ์พี พัฒนะ สถาพร

    พฤกษ์สณฑ์ คนไซร้ ไม่แตกต่าง          สรรค์สร้าง นิสัย ไว้ซับซ้อน
ที่ชั่ว ก็มี ดีก็ดร (ดร=พ่วง)                        บั่นทอน / บันเทิง เถลิงฤทัย

    รู้จัก ละทั่ว ที่ชั่วช้า                          รู้จัก รักษา กุศลาศัย (กุศล+อาศัย)
รู้จัก ผลักดัน สรรประไพ                          รู้จัก ผลักไส สาไถยทัน

    ชีวา จะได้ ไม่มัวหม่น                       กมล วิสุทธิ์ วุฒิสรรค์
เหมือนไม้ ใบผลัด ระบัดพรรณ                   มนัสนันท์ หรรษา ระเริงเอย ฯ (ระบัด=ผลิใบอ่อน)

๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปัญหา ชีวิต : กลอนคติชีวิต




ปัญหา ชีวิต : กลอนคติชีวิต
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    หกนา ฬิกา..................นภา ยังดู มืดมัว
หมอกหนา สลัว.................ปกคลุม ทั่วพ นาสัณฑ์
อายเยือก เย็นหนาว............สกาว เช้าแห่ง เหมันต์
ฤดู เปลี่ยนผัน....................ทิพาสั้น ราตรียาว

    กระต่าย ในกรง..............ยังคง กินหัว แครอท
น่ารัก น่ากอด.....................ขนพอง ปลอดภัย ไม่หนาว
ดวงตา ใสแป๋ว....................ประกายแวว ดุจแพรวดาว
คุดคู้ ดูราว..........................ก้อนฝ้าย สีขาว กลมๆ

    ปัญหา ชีวี......................ย่อมมี = ปกติ วิสัย
เร็ว / ช้า / มา / ไป...............ผล ถูกใจ / ไม่หวังสม
ปัญหา บางอย่าง...................เรื้อรัง ช่างพาน นานนม
ปัญญา ระดม........................ยังจมอยู่ คู่ฤดี

    คล้ายครา หน้าหนาว..........ถึงคราว ราตรี ยาวนาน
เดือดร้อน รำคาญ..................ป่วยการ ราญรอน สุขี
ทำสิ่ง ใดได้..........................ทำไป หากให้ ผลดี
ระกำ ย่ำยี.............................ชีวี สงบ พบพาน

    สิ้นครา หน้าหนาว...............ถึงคราว หน้าร้อน ย้อนมา
คอยดู อุษา............................ตั้งแต่ ตีห้า สถาน
ถึงคราว รุ่งเรือง.......................ชีวี เบื้องหน้า สะคราญ
สมหวัง อลังการ.......................สำราญ สันติ วิรุฬห์ ฯ (วิรุฬห์ =เจริญ)

๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ชะตาชีวิต : กลอนคติชีวิต(กลอนเจ็ด)




ชะตาชีวิต : กลอนคติชีวิต(กลอนเจ็ด)

    กลางเดือน กุมภาฯ อโณทัย                   ฟ้าไม่ ใสสด หมดจดศรี
เมฆบาง พร่างพรม วิกรมกรี-                         ฑาท้น จนสุรีย์ ลี้รอนแรง

    ล่วงลุ อุษา เพลาสาย                          สุรินทร์ ผินผาย พรรณรายแสง(พรรณราย=งามผุดผ่อง)
บรรเจิด จรัสจ่าง สว่างแจ้ง                          ร้อนแรง ระรน จนระอา(จ่าง=กระจ่าง)

    โลกร้อน ย้อนคือ ฝีมือมนุษย์                 ใช่สุด วิสัย ในอุตสาห์
หากคน ยังคง หลงโลภา                             ปัญหา ยากแก้ ย่ำแย่ลง

    เสมือน ชีวา ชะตาตรำ                         เก่ากรรม นำพา ผลานิสงส์
หาไร้ สาเหตุ เจตน์จำนง                             เกวียนกง เกวียนกำ นำเวียนวน

    หากแต่ ตรองว่า ชะตาใหม่                    รอให้ ใหม่กรรม อำนวยผล
แม้นมาด ปรารถนา ภัทราดล                        กุศล หนสั่ง สมสร้างบุญ

    มิใช่ ชีวา ชะตาขัด                              ยังศรัทธ์ บัดสี ฤดีสถุล
ยิ่งชั่ว ยิ่งช้ำ ระยำจุน                                  ยิ่งตุน ยิ่งต่ำ ระกำตรอม

    ศีลธรรม นำภา แสงสว่าง                      กระจ่าง พร่างพี ชีวันพร้อม
ปฐมบท จรดจิต ประสิทธิ์ยอม                       นอบน้อม ค้อมใจ ไม่ดื้อดึง ฯ

๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นายกฯ ?...ประเทศไทย : กลอนการเมือง(กาพย์ยานี ๑๑)




นายกฯ ?...ประเทศไทย  : กลอนการเมือง(กาพย์ยานี ๑๑)

    ข่าวผู้ ก่อการร้าย...............บุกไปตาย หน้าค่ายทหาร
ดูท่า สถานการณ์...................คงคับขัน มิคสัญญี

    รายวัน การแก้แค้น.............ทักษิณแดน แร้นสุขี(ทักษิณแดน=ภาคใต้)
หวาดผวา ทุกนาที..................เสี่ยงชีวี ทุกวี่วัน

    แต่ทว่า " ท่านนายกฯ "........ยังตลก เล่นขบขัน
ฟ้อนรำ สำราญกัน...................สนุกสนาน บันเทิงใจ

    เหตุบ้าน แลการเมือง...........ไม่รู้เรื่อง เปลื้องพ้นไหล่
โยนให้ ใครต่อใคร....................ตัดสินใจ แก้ไขแทน

    บ้านเมือง เรื่องปวดหัว...........เรื่องแต่งตัว มัวเมาแหน
เปิดงาน-การต่างแดน................เธอมาดแม่น ไม่เหมือนใคร

    สื่อฝรั่ง ยังเลียนล้อ...............ความบ้าบอ บ่เอาไหน
" นายกฯ ประเทศไทย.................คนนี้ไว้ ตัดริบบิ้น "

    มารยา มากจริต....................อ่าน-พูด ผิด เป็นนิจสิน
ตอบมั่ว ซั่วอาจิณ.......................สร้างภาพชิน ชาดูดี

   ฉายา " ปูกรรเชียง ".............ยอดชื่อเสียง เยี่ยง " พริ้ตตี้ "
ปัญญา หาไม่มี...........................จริยธรรม ดำมืดมน

    มิจฉา นโยบาย........................งบฯบานปลาย หมายฉ้อฉล
ของแพง แข่งกัน " จน "................ประชาชน จะพึ่งใคร ?

    ตำแหน่ง " ท่านนายกฯ ".........ตำตา " บก พร่อง - เหลวไหล "
อนิจจา ประเทศไทย...................ทำไม ? ทำไม ? ไม่ได้.....ดี ฯ

๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เพียงเศษเม็ดทราย : กลอนแปด




เพียงเศษเม็ดทราย : กลอนแปด

    อุษาโยค โบกลา ส่งราตรี                หมู่ปักษี ปรีดา ประสานเสียง(อุษาโยค=เวลาใกล้รุ่ง)  
ร่วมบรรเลง เพลงขับ รับพ้องเพรียง           ทั้งอีแพรด ฯ นกเอี้ยง เคียงเขาชวา ฯลฯ

    เรืองรุจี กรีฑา ทิวาสฤษฏ์                เสาวพิศ จิตรการ แห่งหรรษา
บรรเจิดแจ้ง แสงทอง ส่องนภา                เสี้ยวจันทรา ข้างแรม แชล่มพิไล

    ลมรำเพย เชยอาย ชายสะอาด           รุกขชาติ ทรรศนีย์ โสภีใส
สันติภาพ หมดจด ปรากฏไกร                   พนมไพร พิสุทธิ์ ดุจอมร (อมร=ไม่เสื่อมสูญ)

    เหล่าคนพาล รู้จักได้ แต่ไม่คบ           บัณฑิตพบ คบหา สาธุสร
สัตบุรุษ ดุจบิดา มาระดร                          ท่านสั่งสอน อ่อนค้อม น้อมนำใจ(มารดร)  

    กรรมนำพา มาเป็น เช่นประสบ           จะเลี่ยงหลบ กลบเกลื่อน เลือนวิสัย
แม้ดิ้นรน วนเวียน มิเปลี่ยนไป                   จงทำใจ ให้สงบ สบสุขปอง

    โลกย่อมมี คติตาม ธรรมของโลก        อย่าวิโยค โศกเศร้า ร้าวหม่นหมอง
เราเพียงเศษ เม็ดทราย คล้ายทำนอง          ในโลกพ้อง ท้องทะเล พัดเพเอย ฯ

๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความเกลียดชัง : กลอนเปล่า




ความเกลียดชัง : กลอนเปล่า
(เมืองไทย...อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเกลียดชังอย่างรุนแรงมานานปีแล้ว
จะเป็นเช่นนี้อีกนานเท่าใด ? หรือจะอยู่คู่กันไปตลอดกาล ?)

    ความเกลียดชัง คงฝังราก...........ใจเสื่อมสาก จากกุศล

คิดชั่วหยาบ บาปประจญ.................สันดานดล ฉลโฉดดัน

    แม้นชื่นเชย ชอบเคยคุ้น.............มานสถุล สุนทรสรรค์

หนทางตก นรกโลกันตร์..................โอกาสอัน ยากผันแปร ฯ
   
ความเกลียดชัง ยังคงอยู่คู่กับผู้คน
ทั่วสากล ทุกยุคสมัย
กำเนิดในจิตใจ
แสดงออกไป ในการกระทำ

ความเกลียดชัง ย่อมปรากฏ
ในบทบาทของผู้ กระทำ
และในฐานะผู้....ถูกกระทำ
ดำเนินมาเช่นนี้ อยู่ทุกวี่วัน

เริ่มวิภาคจาก ผู้กระทำ
อันความเกลียดชังนั้น
ย่อมกระทำสู่ ทั้งแก่ ตัวเอง และผู้อื่น
แต่ด้วยความที่ธรรมดาของคน ย่อมรักตัวเอง
ความเกลียดชังส่วนใหญ่
จึงเป็นการกระทำ
ที่มีไว้ให้แก่ผู้อื่นทุกคน

ด้วยสาเหตุต่างๆนานา
ที่อ้างว่าเป็นเหตุผล
แม้จะไม่สมเหตุสมผล
ที่ก่อเกิดความเกลียดชังนั้น
กล่าวได้ว่า...

เกลียดชัง เพราะคนเหล่านั้นคือ...
คู่แข่ง ที่แย่งชิงสิ่งที่ตนมุ่งหวัง
ผู้นั้น ดีกว่าตน
ผู้นั้น เสมอกับตน
และแม้กระทั่ง ย่ำแย่กว่าตน

เกลียดชัง...
ผู้ที่มีอะไรเหมือนตน
ผู้ที่มีอะไรไม่เหมือนตน
ผู้ที่ไม่ให้สิ่งที่ตนต้องการ
และแม้การทั่ง ให้สิ่งที่ตนต้องการแล้วก็ตาม

เกลียดชัง...
ผู้ที่ขัดขวางการกระทำของตน
ผู้ที่เป็นอุปสรรคสู่การบรรลุเป้าหมายของตน
และแม้แต่ผู้ที่เห็นต่าง
กับเป้าหมายของตน

เกลียดชัง...
ผู้ที่สร้างความลำบากเดือดร้อน
ผู้ที่สร้างปัญหามาให้
และแม้แต่เป็นแค่
ผู้ที่ตนหมายหัว...ว่าเป็นตัวปัญหา
ฯลฯ
ก็ยกขึ้นเป็นเหตุเป็นผล
เพื่อก่อความเกลียดชังได้

ความเกลียดชัง ต่อบุคคลอื่น
จึงดาษดื่น มากมาย
โดยอาจไม่เคย
หรืออาจไม่ต้องเอ่ยต้องมีเหตุผลกำกับ
เสมือนกับ...
สักแต่ว่าอยาก จะเกลียดชัง

ทั้งนี้ โดยไม่มีการวิพากษ์ตัวตน
ทั้งตัวเองและบุคคลอื่น
ว่าแท้ที่จริงแล้ว
เป็นคนเช่นไร ?
จึงทำให้ต้องเกลียดชัง

เป็นคนชอบเบียดเบียนผู้อื่น ?
เป็นคนทุจริตคิดฉ้อฉล ?
เป็นคนละเมิดกฎระเบียบ ?
เป็นคนเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ?

เป็นคนมือถือสาก ปากถือศีล ?
เป็นคนโกหกหลอกลวง ?
เป็นคนปากพร่อย ปากร้าย ?
เป็นคนชอบส่อเสียด นินทา ใส่ร้าย ?

เป็นคนมีมิจฉาทิฏฐิ ?
เป็นคนโลภโมโทสัน ?
เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเจ้าพยาบาท ?
เป็นคนหลงผิด ?
ฯลฯ

แน่นอนว่า
หากลักษณะความเป็นตัวตนเช่นนี้เกิดที่ผู้อื่น
ย่อมยากจักฝืน ในการไปแก้จริต
แต่ถ้าหากเกิดกับตนเองแล้วไซร้
ก็ควรเร่งใส่ใจในจิต
คิดแก้ไขปรับปรุงตัวเองเสียใหม่

และแน่นอนว่า
คนเขลา ย่อมมัวเมามืดมน  เป็นวิสัย
ไม่รู้ว่าตน เป็นคนที่ ดี หรือ ชั่ว
และธรรมดาของคนชั่ว
ย่อมไม่รู้ว่าสิ่งใดชั่ว
และสิ่งใดดี

อันว่าผู้ผ่านการศึกษาอบรม
ในศีลธรรม พุทธวิถี
ย่อมจดจำได้ว่า
ความเกลียดชังนั้นเป็นมลทิน
เป็นสิ่งทำให้จิตใจมัวหมองสกปรก

หากแม้มีกำลังมาก
ย่อมเป็นโทษ เช่นชัฏรก
ย่อมชักนำไปสู่การก่อกรรมบาป
ชักนำไปสู่คติแห่งอบาย

จึงควรควบคุมจิตใจ
ไม่ให้เกลียดชังผู้ใด
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ
ก็ตามที

วิภาคในฐานะ ผู้ถูกกระทำ
มิใช่รู้ว่าตนถูกเกลียดชัง
เพราะ ผู้อื่นชั่ว และตัวเราดี
กลับยังพยายามปรับตัว ให้ตนเป็นคนชั่ว
เพื่อให้เข้ากันได้กับเขา
เพื่อให้เขาไม่เกลียดชัง

เช่นนั้นก็เป็นพฤติกรรมของพาลชน
แลพฤติกรรมเยี่ยงนั้น เป็นวังวน
ที่แพร่หลายอยู่ในแวดวง
ในบรรดาข้าราชการ
และในหมู่นักการเมือง

หากแม้นว่าถูกผู้อื่นเกลียดชัง
เพราะความเข้าใจผิด
ควรหาโอกาสปรับความเข้าใจกัน

ถ้าเกิดจากทิฏฐิส่วนตนของเขา
หนีไม่พ้นจะเป็นเรื่องยาก
ที่เราจะทำให้เกิดการแปรผัน
จำยอมต้องปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้น
ช่างมัน...ต่างคนต่างอยู่

แต่หากแม้นว่าความเกลียดชังนั้น
นำไปสู่การถูกกลั่นแกล้ง-มุ่งร้าย
เมื่อทำได้ ก็จงย้ายคู่กรณี
ไปอยู่ยังสถานที่ไกลๆตัว

หรือถ้าทำไม่ได้
ก็ควรพิจารณา ย้ายตัวเราเอง
เพื่อจะได้เบาจิตเบาใจ
รู้สึกปลอดภัย
จะได้มีช่วงชีวัน....อันสันติสุข ฯ


๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิถี ง่าย-งาม : กลอนคติชีวิต




วิถี ง่าย-งาม : กลอนคติชีวิต
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์เอง)


    ลมหนาว พัดโกรก............ยอดหญ้า ส่ายโบก ไหวๆ
พฤกษ์สณฑ์ ต้นใหญ่............ผลัดใบ ไล่ตาม สายลม

    กลิ้งไว บนพื้น.................ใบแห้ง คึกครื้น เสียงขรม
ผสาน เสียงกลม-.................เกลียวลม พัดซ่า พนาพันธ์

    หนาวเย็น มาเยือน............เสมือน เพื่อนเก่า เฝ้าฝัน
ที่คิด ถึงกัน..........................อยากร่วม สังสรรค์ บันเทิง

    เช้าตรู่ พรูพราว.................หมอกขาว แผ่กว้าง ว้างเวิ้ง
ปักษา ละเริง.........................นิ่งเติ่ง ตากแสง ตาวัน(ละเริง=ละ+เริง)

    แดดสาย อายอุ่น................ละมุน สัมผัส สัจจ์สันติ์
สำแดง แบ่งปัน......................แทนคำ จำนรรจ์ อันใด

    ธรรมชาติ เมตตา................ให้มา ไม่มี เงื่อนไข
สุขทุก วันไป..........................หาอื่น หื่นไกล ใยกัน ?

    บรรเทา เมาอยาก................บรรเทา ยุ่งยาก หลากหรรษ์
สุขี ชีวัน.................................ทั่วทุก ชนชั้น ยรรยง(ยรรยง=งามสง่า)

    พอกิน พอใช้.......................พอใจ ลดละ ประสงค์
ง่าย-งาม ดำรง.........................มั่นคง สันติ ชีวา ฯ

๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาพขำขำ ๗๐

ภาพขำขำ ๗๐














เมฆหมด มิบดบัง : โคลงสี่สุภาพ




เมฆหมด มิบดบัง : โคลงสี่สุภาพ
(กลบทที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

. แล รัชนีคลี่คล้อย................เวหา
ล่วง อวิรุทธ์สุทธา...................รุ่งแล้ว(อวิรุทธ์=อิสระ)
แนว สิขเรศเกศปรา-................กฏเกิด(สิขเรศ=ภูเขา)
เพริศ พิสมัยใสแพร้ว................ภาสเช้าชระเมียงงาม ฯ(ภาส=แสงสว่าง,ชระเมียง=มองดู)

. ยาม สุริยันผันพ้น..................ยอดผา
ยัง ถูกถกลเมฆา.......................บังไว้(ถกล=ตั้ง)
ไคล อุษาโยคโบกลา.................พลัดผ่าน(อุษาโยค=เวลาใกล้รุ่ง)
สราญ รุจิราเรือง;ไร้....................กีดกั้นกำบัง ฯ

. ดั่ง วลาหกปกฟ้า.....................นภดล(วลาหก=เมฆ)
บัง สุริยะเสียจน..........................แจ่มไร้
ไกร กิเลสา ถกล.........................กลบจิต
คิด วิปริตผิดไคล้.........................ชั่วให้ไฉนเห็น ฯ

. เป็น ปกติแก่เกล้า.....................วิกรม
อัน อวิชชาระดม...........................ครอบค้ำ
จำ ประจัญจิตติดจม.......................แต่เกิด
เชิด พฤติกรรม์พาลพล้ำ..................โง่เหง้าเขลาขวน ฯ

. ชวน พิจารณาโทษรู้....................กิเลส
เพียร พยายามจุ่งเจตน์....................ขับไคล้
ภัย อวิชชาสาเหตุ...........................ตระหนัก
จัก สรสิทธิ์พิทย์ไซร้........................สิกข์สร้างวิชชา ฯ(สรสิทธิ์=สร+สิทธิ์)

. พา นฤมิตชีวิตพ้น........................เมฆหนา
เฉก สุริยน มล ลา............................รุ่งเรื้อง
เปรื่อง ปฏิภาณปัญญา.......................วิศิษฏ์(วิศิษฏ์=ประเสริฐ)
กฤติ ยาการบาลเบื้อง........................เฟื่องฟุ้งผดุงดล ฯ(กฤติยา=เกียรติ)

๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖