ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

การขอพร : กลอนคติสอนใจ




การขอพร : กลอนคติสอนใจ

    กิ่งไม้แห้ง หักร่วง ลงห้วง(แผ่น)ดิน.........................เสียงดัง ฟังได้ยิน สิ้นไพรสัณฑ์
กระแสลม โหมพัด พนัสพลัน.................................ยังราตรี ที่เงียบงัน ตื่นทันใด

    เมื่อฝนชิง ทิ้งช่วง ก่อนล่วงเข้า...............................พรรษา (ช่าวนา)พากันเศร้า ข้าวส่วนใหญ่
ท้องนาแห้ง แล้งน้ำ ทำอย่างไร?.............................อ้อนวอนไหว้ ให้ฟ้าดิน ผินมามอง

    ข้าผู้น้อย คอยน้ำ ฝนอำนวย...................................ได้โปรดช่วย ด้วยข้าวใกล้ บรรลัยผอง
ทั้งยังมี หนี้ล้น ท้นเนืองนอง...................................ครอบครัวต้อง อดอยาก หากข้าวตาย

    ถึงกับต้อง ท่องไพร ไปไหว้พระ...............................ขอพรลด ภาระ สิ้นสลาย
ชีวิตนี้ อยากมีหวัง ได้นั่ง(นอน)สบาย........................(เพราะ)ปัญหาหลาก มากมาย ไม่ลดลง

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทิศใด ใครเล่าขาน...............................ทะเยอทะยาน เยือนให้ได้ ใคร่ประสงค์
ขอตั้งจิต อธิษฐาน กราบบรรจง................................โปรดอวยพร อ่อนองค์ ลงแอบดิน

     หากการไหว้ การขอ(พร) ก่อสัมฤทธิ์.........................ทุกชีวิต คิดไหว้ ได้หมดสิ้น
โลกจะเป็น เช่นไร? ให้จนจินต์..................................ธรรมชาติ ในปัถพิน (คง)ไม่ชินชา(แปลกประหลาด)

    เท่าที่เป็น เห็นประจักษ์ หลักความจริง.......................การขอพร เป็นเพียงสิ่ง ยิ่งมุสา
ขอพรจาก พ่อแม่ แค่วาจา.......................................(ขอ)พรผู้ใหญ่ ในพารา มิช่วยอะไร

    พรใดมี ฤทธิเดช วิเศษเท่า......................................ตัวของเรา เฝ้าพัฒนา ทักษะให้
มีความรู้ คู่ตน กุศลไกร............................................ทำ(แต่)ความดี มีวินัย ได้สมปองฯ

๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2562

สุนทรภู่ เรียนรู้เอา : กลอนคติเตือนใจ



สุนทรภู่ เรียนรู้เอา : กลอนคติเตือนใจ

    (เป็น)อัจฉริยะ (แต่)ละความดี.........................ขาดสติ (ย่อม)มีปัญหา
มาก(ความ)สามารถ (แต่เป็น)ทาสสุรา...............เปี่ยมวิชา (แต่)จรรยาเบา

    (เมื่อ)ทำอะไร ไม่ยั้งคิด.................................(เท่ากับ)ครองชีวิต เช่นโง่เขลา
(มี)อารมณ์ศิลป์ (แต่)ชอบกินเหล้า...................รวมกันเข้า เผาผลาญคน

    สุนทรภู่ ผู้โด่งดัง..........................................ร้อยกวีดั่ง รั้งเวหน
แต่งนิยาย ลวดลายยล...................................วิจิตรจน พ้นอัศจรรย์

    (เพราะความ)ไม่รู้จัก ที่ต่ำ(ที่)สูง......................(ความ)หลงตนจูง จิตหุนหัน
ทำหยาบช้า(กับคนมีอำนาจ) พาชีวัน.................หนีโทษทัณฑ์ แทบบรรลัย

    ฝืนไปบวช เป็นสมณะ....................................(นิสัย)ติดสุรา ละไม่ได้
แอบกินเหล้า เผาวินัย.....................................จนถูกไล่ ไคลวัดวา

     เรื่องเจ้าชู้ ดูไม่ยาก.......................................บทกวีพากษ์ มากมายหนา
เพ้อถวิล จินตนา...........................................ถึงสุรา และนารี

    ครอบครัวพัง เมียร้างพบ................................พเนจรหลบ ประสบวิถี
ตกระกำ ลำบากมี..........................................(เป็นที่มาของ)นิราศกวี ที่เศร้าตรม

    เรียนรู้เอา อย่าเมามัก....................................ทั้งเหล้า-รัก จักโศกสม
เมาอัตตา พาล่มจม........................................อย่านิยม อบรม(ตน)เทอญฯ

๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ชีวิตไม่ได้มีไว้หาความสนุก : กลอนคติชีวิต






ชีวิตไม่ได้มีไว้หาความสนุก : กลอนคติชีวิต

    แล้วฝน ก็ตก......................................ถูกอก ถูกใจ ใครหลากเหลือ
(หลังจากที่)เมฆประชุม คลุมเครือ.........ถึงเมื่อ บ่ายสาม ; ความสับสน
พลันสุด ยุติ......................................เมื่อมี พิรุณ สาดหนุนดล
เผื่อแผ่ กระแสชล..............................ขับไล่ ร้อนรน จนจากจร

    ฝนตก วันนี้.......................................ไม่แน่ ว่าจะมี(ฝน) ในวันหน้า
(ฝน)ทิ้งช่วง ล่วงเวลา.........................ชาวเมือง บ่นว่า แสนจะร้อน
แต่ตาม ชนบท..................................ท้องนา ถ้าหมด น้ำฝนป้อน
(ความ)กันดาร ลาญรอน......................เดือดร้อน อดอยาก ลำบากนาน

    ธรรมชาติ ชีวิต....................................ต้องคิด ถึงความ อยู่รอด(เป็นสำคัญ)
ร่มเย็น เป็นยอด.................................ปลอดภัย ไม่ใช่ สนุกสนาน
ครรลอง ของ(ความเป็น)คน..................กมลมี วิจา ณญาณ
ประดิษฐ์ คิดอ่าน................................สร้างสาน สิ่งอัน บันดาลคุณ

    ไม่ใช่ ลืมตา........................................ตื่นขึ้นมา ก็หาแต่ แค่สนุก
ดิ้นรน จนทุกข์...................................ล้มลุก คลุกคลาน เพราะปัญหา
ที่ทำ ขึ้นเอง......................................แต่เพ่งโทษ โกรธโลก โชคชะตา
ติฉิน นินทา.......................................กล่าวหา ว่า อ ยุติธรรม

    มักง่าย มักได้ทุกข์................................รักสนุก มักจะ ทรมาน
มิพบ ประสบศานติ์..............................เพราะการ เป็นคน ฉลถลำ
มุ่งหมาย ได้สุข..................................โดยคลุก คลีตน ดลบาปกรรม
ควรโทษ คดกระทำ.............................ที่นำ ทุกข์ให้ บรรลัยมีฯ

๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ดวงฤดีสีสัน : กาพย์ยานี๑๑




ดวงฤดีสีสัน : กาพย์ยานี๑๑

    หัวใจ หากให้สี............................(หัวใจ)คนคงมี หลากสีสัน
ตละคน แต่ละวัน............................เปลี่ยนแปรผัน ตามอารมณ์(ตละ=เช่น)

    แต่ทว่า มักจะมี............................รังคสี ปกติสม(รังค์=รงค์)
ตามใจ นิสัยจม..............................อุดมคู่ อยู่ประจำ

    ใจดี มีสีขาว................................สว่างพราว สกาวล้ำ
ใจชั่ว มัวมืดดำ...............................หม่นหมองคล้ำ เป็นสำคัญฯลฯ

    มิได้ ใช้ดวงตา.............................เหมือนมองฟ้า หาสีสัน
แต่ใช้ มโนธรรม์..............................แลปัญญา-ประสบการณ์

    ตรองดู พอรู้ได้.............................พฤติกรรมใด ไขประสาร(ประสาร=คลี่ออก,แผ่ออก)
กริยา แสดงอาการ..........................ส่อสันดาน มานฤดี

     หลากล้น วนระหว่าง.....................กะดำกะด่าง สะพรั่งสี
ชั่วมน ปะปนมี................................กับความดี พิจารณา

    เลอค่า มนาใส..............................สีสันไร้ ไม่มีตัณหา
อกุศล มล-มารยา............................เกลศนานา เกลี้ยงประปราย(เกลศ=กิเลส)

    คือมนา อรหันต์.............................ผู้ภพพันธ์ ครั้นสุดท้าย
มิหวน กลับคืนกาย..........................หยุดเวียนว่าย-ตาย-เกิด-เป็นฯ

๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เป็นคนดีมีศีลธรรม : กลอนคติสอนใจ





เป็นคนดีมีศีลธรรม : กลอนคติสอนใจ

    ช่างคือ ฤดูฝน ที่รนร้อน............................แดดสะท้อน อ่อนเปลี้ย เพลียนักหนา
ยกมือ ทั้งสอง ป้องนัยตา............................มองนภา หามี เมฆพิรุณ

    เวหา สีฟ้าเข้ม งามเต็มเปี่ยม......................นานที เมฆีเยี่ยม เยือนเนื่องหนุน
เมื่อมิใช่ เมฆฝน พ้นการุญ...........................ก้มหน้าจำ ทำบุญ กันต่อไป

    ธรรมะ หามี ฤทธิเดช................................ขจัดกอง กิเลส ของใครได้
โดยที่ เจ้าตัว ชั่วติดใจ................................มารยา สาไถย ไร้มโนธรรม

    การเป็น คนที่ มีธรรมะ...............................ต้องกล้า เอาชนะ สิ่งชั่วส่ำ
นิสัย สันดาน อันมืดดำ................................(ต้อง)พยายาม  กำจัด ขัดเกลาดล

    เป็นคน ซื่อตรง คงไม่ได้.............................หากยัง ฝังใฝ่ ใคร่คดฉล
โกหก ตลบตะแลง เสแสร้งตน.......................เล่ห์กล ล้นเกลื่อน เลือนสัจจา

     อาราธ (ธะ)นาศีล จนลิ้นสาก.......................แต่ถ้าหาก หัวใจ ไม่รักษา(ศ๊ล)
ศีลคง เป็นแค่ แลลวงตา..............................พุทธศา สนิกชน คนจอมปลอม

    การเป็น คนดี มีศีลธรรม..............................แค่พร่ำ คำพูด ดุจซักซ้อม
เมื่อใจ ไม่ถวิล เมินยินยอม...........................ย่อมขาด ความพร้อม น้อม(รับ)ศีลธรรม

    จะเป็น คนดี (ต้อง)มีใจรัก............................คิดสมัคร ฝักใฝ่ ใคร่เลิศล้ำ
ด้วยตัว ของตน หลักกลกรรม........................กระทำ ความดี มีวินัย

    เข้าค่าย คุณธรรม ด้วยความฝืน.....................จิตวิกรม ข่มขืน รื่นรมย์ใคร่(วิกรม=กล้า)
ธรรมดา ถ้าคน มิสนใจ(ศีลธรรม)....................ต่อให้ ไปบวชเรียน มิเปลี่ยนแปลง(เลวเหมือนเดิม)ฯ

๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ไม่มีใครรู้ไปหมด : กลอนคติเตือนใจ



ไม่มีใครรู้ไปหมด : กลอนคติเตือนใจ

    มีความจริง มากมาย ในพิภพ.................................ยังหลบลี้ หนีให้ สายตาเห็น
อย่าคิดว่า ข้ารู้หมด ทุกกฎเกณฑ์...........................เพราะจะเป็น คนโง่ โมหะมอง

    สิ่งที่ใคร ได้ฟัง ยังไม่หมด....................................มธุรส โสตเสียง เรียงสนอง(มธุรส=ว.ไพเราะ)
เป็นแค่เศษ เสี้ยวหนึ่ง อย่าพึงคะนอง......................หลงลำพอง ว่าทุกอย่าง ได้ฟังมา

    คันธชาติ ปัถพี มีหลายหลาก................................มิเต็มปาก หากจะพูด สุดแผ่นหล้า
เคยได้ดอม ดมกลิ่น สิ้นโลกา................................จึงมิควร ด่วนจินตนา ว่ารู้ดี

    สรรพรส พจนา ว่าเคยลิ้ม.....................................ชวนกระหยิ่ม ยิ้มเยาะ เพราะบัดสี
ทิพรส โฆษณา ค้าพาที........................................คงไม่มี ใครเชื่อ (เพราะขี้)คุยเหลือเกิน

    สัมผัสใด ใครเล่า ป่าวประกาศ...............................ว่าสามารถ สัมผัส มิขัดเขิน
ครบทุกๆ ผัสสา ทัศนาเพลิน..................................คงต้องเชิญ ลี้หลบ สงบใจ

     บ่มีคน ผู้ใด รู้ไปหมด..........................................ทั้งอดีต อนาคต โป้ปดไคร่
เอาแค่เรื่อง ปัจจุบัน เหตุการณ์ไร............................ที่เกิดใน โลกา หารู้จริง(ทุกประเด็น)

    จึงมิควร ด่วนสรุป ทุบโต๊ะอ้าง................................"รู้ทุกอย่าง" ต่างอะไร เหลวไหลยิ่ง
อวดรู้ถ้วน ชวนหมั่นไส้ หน่ายชังชิง..........................ด้วยเป็นสิ่ง โง่เขลา เบาปัญญา

    หัดรับฟัง คนอื่นเขา บอกเล่าบ้าง............................จะช่วยสร้าง ทางไสว ไขปัญหา
คนฉลาด ขนาดไหน (เมื่อ)ตายมรณา.......................(ยัง)ไม่รู้ว่า จะเกิดเป็น เช่นไรเลยฯ

๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ความโง่ : กลอนคติสอนใจ




ความโง่ : กลอนคติสอนใจ

    มนุสโส โง่ได้ หลายสาเหตุ.................................โดยเฉพาะ เพราะกิเลส คือ(สา)เหตุใหญ่(มนุสโส=มนุษย์)
การชอบ ทำตาม อำเภอใจ.................................เห็นแก่ตน ดลให้ (ความ)โง่ได้ทวี

    ความโลภ ยิ่งมาก ยิ่งจักโง่..................................(เป็น)ผู้มนา พาโล เดโชปรี่
ราคะ ในกมล ท้นมากมี.....................................กรรมชั่วช้า ราคี (ย่อม)มิห่างไกล

    ความโฉดร้าย ในจิตฤา คือโทสะ...........................โกรธเคือง ปฏิฆะ สาเหตุให้
ก่อกรรม ทำบาป ทาบหทัย................................ง่ายดาย ไร้สำนึก มโนธรรม

    ความหลง ไม่รู้ คู่ทุกคน.......................................ปะปน สัญชาต (ตะ)ญาณส่ำ
หากไม่ ศึกษา กุศลกรรม...................................ย่อมไม่ คำนึง ถึงชั่ว-ดี

    คนชอบ ทำตาม อำเภอใจ....................................มิยอม ให้ใคร ขัดใจนี้
ความเห็น แก่ตน ฉลมากมี.................................สิ่งที่ คิดจะทำ (ย่อม)ทรามสามานย์

     ทำชั่ว ได้ชั่ว ติดตัวตราบ.....................................ชดใช้ กรรมบาป สิ้นสาบสาน
ระหว่าง รับกรรม นำทรมาน................................ประจาน มานเขลา โง่เง่าเพียง

    หากใคร ไม่อยาก เป็นคนโง่.................................บาปกรรม ทำโก้ รู้จักเลี่ยง
มั่นคง จิตใจ ไม่เอนเอียง....................................อย่าเสี่ยง(ทำอะไร) เพียงเพราะ บ่เข้าใจ(ว่าถูกหรือผิด)

    อย่าหลง ว่าตน เป็นคนฉลาด.................................ประกาศ ปราศบาป สาบบุญไซร้
คนชอบ ทำตาม อำเภอใจ...................................มักทำอะไร โง่เขลา กว่าชาวบ้านเอยฯ

๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ธรรมสำหรับคนทำงาน : โคลงสี่สุภาพ



ธรรมสำหรับคนทำงาน : โคลงสี่สุภาพ

๑.แว่วเสียงนกปลุกให้...............................ตื่นนอน
จำอำลาจากจร..................................ฝันแล้ว
รุจิระ นภ อมร....................................อรุณรุ่ง(รุจิระ=งาม,สว่าง,รุ่งเรือง)
จรุงจิตพิลาสแพร้ว.............................พรั่งพร้อมพลังไฉนฯ

๒.วันใหม่ถือฤกษ์ได้.................................ทำดี
เพื่อพัฒนาชีวี....................................เลิศล้ำ
ทุกๆวินาที........................................คือโอกาส
เอาความสามารถค้ำ............................คืบหน้าสวัสดีฯ

๓.ทัศนที่ดี(สัมมาทิฏฐิ)แล้........................จุดประกาย
คิดดีอย่าเสื่อมคลาย...........................(ความ)ถูกต้อง
จงมุ่งสู่จุดหมาย.................................สุคติ
สิ่งที่ชั่วอย่าข้อง.................................คิดให้ดีงามฯ

๔.รวมกำลังใจตั้ง......................................(ความ)ปรารถนา(สัมมาสังกัปปะ)
ไปกับการพัฒนา................................รุ่งเรื้อง
วิทยาการ(เพียร)ศึกษา........................(เพื่อ)ปฏิบัติ
ทักษะใหม่ๆหัดเยื้อง...........................อย่าย้ำ(ย่ำอยู่กับ)ที่เดิมฯ

๕.ริเริ่ม(การ)กระทำถูกต้อง.........................ดีงาม(สัมมากัมมันตะ)
ไม่ทำสิ่งเสื่อมทราม............................ชั่วช้า
สัมมาอาชีพตาม................................ประกอบ(สัมมาอาชีวะ)
มอบสุจริตแม้ว่า.................................ไม่ได้มั่งมีฯ

๖.วิริยะพากเพียร(สัมมาวายามะ)สู้..............อุปสรรค
เอาการเอางานหนัก............................ไป่ท้อ
ครองสติ(สัมมาสติ)คอยตระหนัก..........ถูก-ผิด
จิตมั่นคง(สัมมาสมาธิ)คือข้อ...............สุดท้ายหลักธรรมฯ

๗.ความถูกต้อง(สัมมา)จักป้อง....................กันคน
จากความโฉดชั่วฉล............................ทั่วหล้า
ความดีย่อมส่งผล(ดี)...........................คืนกลับ
สำหรับคนแกร่งกล้า(ทำดี)....................จักต้องได้ดีฯ

๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ธรรมะคือความจริงของธรรมชาติ : กาพย์ฉบัง๑๖



ธรรมะคือความจริงของธรรมชาติ : กาพย์ฉบัง๑๖

    ธรรมะมิใช่ค่านิยม......................หรือกระแสสังคม
ที่บ่มเพาะกันนานมี

    แต่(ธรรมะ)คือสัจจะวิถี...................หลักผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี
ที่มีเหตุ-ผลกลไก

    ธรรมะปรากฏอยู่ทั่วไป....................เป็นสกลวิสัย
ในโลกพิภพประสบเห็น

    ทุกชาติ-ภาษามิละเว้น...................นักปราชญ์จัดเจน
รวบรวมเป็นหลักมรรคา

    ในการดำเนินชีวา..................อาจมีศาสดา
เป็นผู้ประสาทคำสอน(ประสาท=ยินดีให้,โปรดให้)

    ตั้งเป็นศาสนาสถาพร....................ถ่องแท้แน่นอน
ป้อนความรู้สู่มวลชน

    (ดังนั้น)ธรรมะจะต้องพ้องเหตุผล....................ทุกๆบุคคล
สนใจ-พิสูจน์ได้จริง

    (ฉะนั้น)ศาสนาที่ละสัจจะสิ่ง...................สรรค์สร้างอ้างอิง
แค่คำสอนของศาสดา

    (จึง)ห่างไกลจากของมี(คุณ)ค่า...................มิควรนำพา
เสียเวลาศึกษาประพฤติตาม

    ธรรมใดทำให้เกิดความ....................เจริญงอกงาม(แก่ผู้ปฏิบัติ)
แม้ไร้นามก็ล้ำเลอ(ค่าเอย)ฯ

๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2562

คมชัดลึก | “อนาคตใหม่” ที่จะทำประมงไทย..อนาคตหมด ! | 17 มิ.ย. 62 | Natio...

กุศลกรรมนำชีวิต : กลอนคติสอนใจ



กุศลกรรมนำชีวิต : กลอนคติสอนใจ

    ณ เย็นยาม น้ำใส คล้ายคันฉ่อง.................................งามผุดผ่อง ท้องนภา แสงสะท้อน
กอต้นข้าว เงาทอด สอดแทรกซอน..........................ยอดสิงขร ย้อนหัวกลับ สดับกาล

    สายัณห์ยาม ความเย็น เป็นของฝาก...........................มีค่าจาก ฟากฟ้า พาสุขศานติ์
ความมืดของ สนธยา เป็นอาการ..............................ส่งสัญญาณ งานพักก่อน ผ่อนกายี

    เมื่อประหยัด มัธยสถ์ เป็นวัตรอยู่................................ย่อมเป็นผู้ อยู่สบาย ในโลกนี้
ใช้ชีวิน มิดิ้นรน ฉลฤดี...........................................ใยต้องมี หนี้สิน พ้นนินทา

    เมื่อจับจ่าย ไม่เกินกว่า หารายได้................................เงินเหลือใช้ ได้เก็บกัก ออมรักษา
มิฟุ่มเฟือย เรื่อยเปื่อยใช้ จ่ายเงินตรา.........................มิเฉื่อยชา หาทรัพย์ นับอนันต์

    (ก็)มิต้องหวัง ตั้งใจ ใคร่รวยร่ำ...................................กุศลกรรม ค้ำจุน หนุนถวัลย์(ถวัลย์=เจริญ)
มิต้องเสี่ยง เสียทรัพย์ กับการพนัน............................ก็นับวัน รุ่งเรือง ฟุ้งเฟื่องมี

     ไม่ต้องคอย คิดโลภ โมโทสัน...................................แค่ขยัน ขันแข็ง แสวงศรี
การเลือกเฟ้น เป็นผู้ รู้รักดี.......................................คือจุดประเดิม เริ่มริ สิ่งดีงาม

    ไม่ดูแล รักษา สุขภาพ.............................................มิแตกต่าง สร้างบาป ควรหลาบขาม
สุขภาพเสีย->งานย่อม พร้อมลุกลาม.........................เสียหายตาม สุขภาพ สดับดูฯลฯ

    "กุศลกรรม" คำนี้ มีความหมาย..................................และประโยชน์ มากมาย ควรใคร่รู้
คือวิถี ชีวิน แห่งวิญญู.............................................ความเป็นอยู่ อย่างผู้เลิศ ประเสริฐเอยฯ

๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ขยี้ข่าวเช้า | 17 มิ.ย. 62 | (3/6)

สัตว์โลก : กลอนรักษ์โลก










สัตว์โลก : กลอนรักษ์โลก

    โลกใบนี้ มากมีคน มืดมน(ความ)คิด..........................ใช้ชีวิต มิจฉา มานสาไถย
ปฏิพัทธ์ อัตตา อธิปไตย.........................................เชื่อมชีวิต-จิตใจ ไปตลอดกาล

    ธำรงตน บนวิถี ที่ประมาท........................................ยกสัญชาต (ตะ)ญาณใหญ่ ไร้แก่นสาร
ใช้ชีวา ตอบสนอง สิ่งต้องการ..................................ที่โดยมาก ดักดาน พาลยินดี

    สมกับที่ พุทธองค์ ทรงเรียก(คนว่า)"สัตว์(โลก)"...........ส่ำตัณหา สารพัด ทรามบัดสี
ปฏิเสธ เหตุผล ฉลชีวี............................................ปรารถนา ราคี ทุกวี่วัน

    อภิรมย์ งมงาย (เรื่อง)ไร้สาระ...................................ชอบมิจฉา อาชีวะ ทุจริตสรร
สร้างปัญหา ให้โลกา สารพัน...................................แต่สุดท้าย ผลร้ายนั้น ผันคืนมา(สู่คน)

    สภาวะ โลกร้อน ย้อนความทุกข์................................กลับคืนคน ผู้ลนลุก ใคร่สุขหา
ได้เท่าไร ก็ไม่พอ ต่ออุรา........................................ที่(ความ)กระสัน บัญชา แน่นอารมณ์

     อย่าเอาอย่าง สังคม โสมมคิด..................................ลุ่มหลงผิด มิจฉา อวิชชาสม
อย่ากระทำ ตามพาโล คนโง่งม.................................ผู้นิยม โสมนัส (ความ)ขาดมโนธรรม

    อย่าเอาความ สุขตน ยล(เป็น)ที่ตั้ง............................ควรเชื่อฟัง (จง)บังคับจิต คิดเลิศล้ำ
การทำร้าย โลกา อย่ากระทำ....................................ควรมองข้าม กรรมสุขสบาย มักง่ายดล

    (หาก)ไม่พินิจ พิจารณ์ วันข้างหน้า............................ที่สภา วะโลกร้อน สะท้อนผล
สิ่งแวดล้อม พร้อมเป็นภัย ให้กับคน...........................ต้องจำนน ท้นทุก ข(ะ)ทรมาน

    บ่มีโลก ใบใหม่ (ให้)ย้ายไปอยู่.................................บ่มีผู้ ทรงอิทธิ ปาฏิหาริย์(มาช่วย)
เราต่างต้อง สอดส่องกรรม กระทำการ........................อภิบาล โลกไว้ สุดใจเอยฯ

๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2562

จะอยู่กันยังไง? : กลอนสะท้อนสังคมไทย









จะอยู่กันยังไง? : กลอนสะท้อนสังคมไทย

    จะอยู่กัน อย่างไร ใน(บ้าน)เมืองนี้?......................ตำรวจทำ หน้าที่ มิประสา
สารพัน อันตราย ขยายพารา..............................โกง-ปล้น-ฆ่า-ยาบ้าฯลฯเกลื่อน ป่าเถื่อนกัน

    ทั้งนักเรียน นักเลง มิเกรงใคร.............................เหมือนกฎหมาย ไร้หมด ชนโจษขัน
ปิดถนน ยกพลฆ่า เวลากลางวัน.........................ยักแย่ยักยัน ท่านตำรวจ จำอวดมา?

    คนดีๆ บริสุทธิ์ ต้องมุดหัว..................................(อยู่กัน)อย่างหวาดกลัว ตัวสั่น ขวัญผวา
ถูกข่มเหง รังแก แค่พึ่งพา.................................ตำรวจล่า คนร้าย (ความ)หวังไร้มี

    ออกหมายจับ (แต่)มิตามจับ นับไม่ไหว................(หรือ)จับแล้วคอย ปล่อยไป หน่ายวิถี
(ทั้ง)ปล่อยให้(คดี)หมด อายุ(ความ) รู้กันดี...........คือความจริง สิ่งที่ มี-เป็นไป

    (การ)บังคับใช้ กฎหมาย ไม่ศักดิ์สิทธิ์...................สร้างวิกฤติ ปัญหา นานาให้
คนต่ำช้า สามานย์ แสนจัญไร.............................วางอำนาจ บาตรใหญ่ ไม่เกรงกลัว

     ฆ่าคนตาย กลายลุกลาม มิคร้ามครั่น....................ชนในชาติ ณ ปัจจุบัน ชำนาญชั่ว
ความยืด-หด แห่งกฎหมาย ตามใจตัว...................รู้ไปทั่ว โลกา;(เหล่า)อาชญากรรม

    หนี(คดี)มาอยู่ เมืองไทย มากมายนัก....................จน(เป็นที่)รู้จัก "เมืองหลวง(อาชญากร)" ชื่อล่วงล้ำ
สะท้อนว่า กระบวนการ ยุติธรรม..........................มีสีคล้ำ ดำเค้า เศร้าดวงแด

    (มัก)เห็นข่าวคราว ความเข้มงวด การกวดขัน..........แค่ขยัน งานทำ ตามกระแส
สองสามวัน ผ่านไป คลาย-เชือนแช....................."ปฏิรูป"แค่ คำพูด ดุจผายลมฯ

๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ดอกไม้ : กาพย์ยานี๑๑




ดอกไม้ : กาพย์ยานี๑๑

    บุปผา แต่งหน้ารถ...........................ดูสวยสด งดงามไฉน
สีสัน อันวิไล.................................ด้วยวางไว้ ได้อภิรมย์

    ห่อนให้ ไร้กลิ่นหอม.........................เพียงแวดล้อม ย้อมใจสม
หลากล้น ชนนิยม...........................สังคมหมาย ทั่วไปมี

    แต่ทว่า หา(มี)ประโยชน์....................ความปราโมทย์ รุ่งโรจน์ศรี
(อัน)บุปผา สุมาลี...........................อาจมีให้ ในชีวัน

    หากเป็น เช่นบุปผา...........................ประดับหน้า รถราสรรค์
ยืนหยัด แค่ปัจจุบัน.........................อนาคตนั้น อาจผันแปร

    ดอกไม้ ปลูกในดิน............................ดูดซึมอิน ทรีย์กระแส
ธรรมชาติ ทวยธาตุแผ่......................คุณค่าแท้ ที่แน่นอน

     สกล สุคนธชาติ...............................ล้วนวิลาส องอาจสร(สร-=แกล้วกล้า)
วัฒนา สถาวร.................................มิอ่อนไหว ในเวลา

    บ่ได้ วางไว้ประดับ...........................ประโยชน์สรรพ กำกับค่า
มาลี มีคุณา....................................เผื่อแผ่หล้า แลสาธารณ์

    จงเป็น เช่นดอกไม้...........................ที่มิไร้ ในแก่นสาร
ความดี ปฏิภาณ..............................วิจารณญาณ อันชอบเอยฯ

๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๒

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ว่าที่นักโทษ ม.๑๑๒ : อินทรวิเชียรฉันท์๑๑




ว่าที่นักโทษ ม.๑๑๒ : อินทรวิเชียรฉันท์๑๑

    หนึ่งนั้น จราญชม...........................ศิระก้ม กษัตริย์กราน(จราญ=พัง,ทำลาย,ดับ)
สำนึก พระคุณทาน...........................ทศพิธ ภิรมย์ไทย

    มือเปล่า บ่ก้าวล่วง..........................มล(จาบ)จ้วง พระจอมชัย
ยกกรม พนมไกร..............................ปิยะลักษณ์ ธ จักรี(กรม=กรรม)

    เท้าเปลือย มิเฉื่อยชา.......................กมลา ศ ภักดี(กมลาศ=กมล)
แด่องค์ พระภูมี................................พลทูน อดุลย์ธรรม(อดุลย์=ไม่มีอะไรเปรียบ)

    เสื้อผ้า และผมเผ้า...........................ผิวเท่า เขม่าดำ(ผิว=ผิว่า,แม้นว่า)
หาก(แต่)ใจ สิใสล้ำ..........................อธิชาติ อุบัติลง(อธิ=ยิ่ง,ใหญ่)

    อีกหนึ่ง ทะลึ่งหน้า...........................ครหา มุสา;จง-
เกลียด-หมิ่น พระทินวงศ์...................(ด้วย)กิริยา แสดงสันดาน

     (อีกทั้ง)ดูหมิ่น ปริญญา....................ธ จะมา พระราชทาน
ย่ำยี พิธีการ....................................สิริวัฒน์ ณ บัดดล

    ครุยสาว บ่พราวสวย..........................(เพราะ)ทุรด้วย ฤทัยฉล(ทุร=ชั่ว)
แปดเปื้อน เสมือนปน........................ปฏิกูล สถุลทราม

    ชั่ว-ดี มิหยั่งรู้...................................นรผู้ อุบาทว์หยาม
ผลลัพธ์ สิกลับลาม..........................อสุไส ไผท รอนฯ(อสุ=ลมหายใจ,ชีวิต;ไผท=แผ่นดิน)

๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๒

*ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า 
"ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี"