ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

พ่อแม่รังแกฉัน : กลอนแปด



พ่อแม่รังแกฉัน  : กลอนแปด

    พฤฒิการณ์ ผ่านไป ให้ตระหนัก....................บางความรัก จากคน กมลเขลา
เป็นอกุศล ผลทราม ทำร้ายเรา..........................สู่เสื่อมเศร้า เสียใจ ในสักวัน

    เพราะความคิด ผิดพลาด อนาถก่อ.................เรื่องบ้าบอ พ่อแม่ รังแกฉัน
ตั้งแต่เด็ก เล็กยัง ดั่งผ้าอัน...............................ขาวผ่องพรรณ บริสุทธิ์ ชุติมา

    ยามเยาว์ฉัน หมั่นเพียร ซนเรียนรู้...................พ่อแม่ขู่ ภูตผี สิมาหา
ให้เก็บตัว กลัวการ เสริมปัญญา.........................แสวงหา สัจจริง สิ่งรอบกาย

    ยามงอแง แม่พ่อ ก็ขู่ว่า................................ตำรวจมา จะจับ เด็กไปขาย
ฉันจึงขลาด หวาดหวั่น ภยันตราย.......................ตำรวจคือ ผู้ร้าย คล้ายคลึงเคียง

    เมื่อไม่มี เวลา มาใส่ใจ.................................พ่อแม่ใช้ เงินทอง สิ่งของเพี้ยง
แทนความรัก จากจิต คิดเอนเอียง.......................วัตถุเยี่ยง เยื่อใย มิตรไมตรี

    พอใกล้วัน หวยออก ให้(ฉัน)บอกเลข..............ทำเหมือน(ฉัน)เสก โชคได้ พิไลศรี
ไม่แต่เพียง แค่นั้น ครั้นบ่อยที............................พาเลือกซื้อ ล็อตเตอรี่ ชี้ชวนเอา

    พ่อแม่(ชอบ)ทำ ตามใจ ให้ตัวอย่าง................ชวนเพื่อต่าง สังสรรค์ สำราญเหล้า
ส่งเสียงดัง เอ็ดตะโร โก้เก๋เมา............................ยิ่งเทศกาล (กิน)ยันเช้า เร้าฤทัย

    ศีลธรรม ความดี มิสอนสั่ง..............................บ่อยๆยัง สอนโกง จงสาไถยฯลฯ
พ่อแม่รู้ จักรัก(ลูก) หรือ? หนักใจ.........................หรือว่าไม่ รู้ตัว หลงชั่ว/ดี?

    คนเช่นพ่อ แม่ฉัน ลานสังคม...........................ช่วยสร้างความ โสมม สมบัดสี
ฉันไม่อาจ พูดดอก บอกท่าน(แทนฉัน)ที...............บุพการี รังแก ลูกแท้เอยฯ

๓๑ มกราคม ๒๕๕๙

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

อวดจน : กาพย์สุรางคนางค์๒๘



อวดจน : กาพย์สุรางคนางค์๒๘

    .....................................แล้งไคล ไร้ข่าว
เมื่อคลื่น ความหนาว...............แผ่เข้า ขยาย
ทั้งสัตว์ ทั้งคน.......................ทุรน ทุราย
หาเครื่อง อุ่นกาย....................ผ่อนคลาย ลำเค็ญ

    ......................................เสื้อผ้า อาภรณ์
เก็บนาน กาลก่อน...................ย้อนใช้ ง่ายเห็น
ประหยัด ทรัพยา.....................อุรา ร่มเย็น
อุ่นกาย ได้เช่น........................ซื้อใหม่ ใส่มา

    .......................................ข้าวของ เครื่องใช้
ชีวี มีไว้.................................ให้ลด ปัญหา
ตรองตรึก ฝึกหัด.....................ประหยัด เงินตรา
เมินคำ นินทา.........................ด่าถาก ยากจน

    .......................................แม้ไม่ ทันสมัย
มิควร ใส่ใจ............................เพราะไม่ มีผล
เงินออม ถนอมเก็บ..................เจ็บไข้ จ่ายปรน
อนาคต ขัดสน........................ดลใช้ ได้บันเทิง

    .......................................อวดรวย ทำไม?
มีแต่ ทำให้............................หัวใจ หลงเหลิง
พวกโจร ผู้ร้าย........................จ้องหมาย ภัยเจิ่ง
เงินหมด สลดเริง.....................ยุ่งเหยิง ชีวี

    ........................................อวดจน ผลได้
ประหยัด-ปลอดภัย....................สุขสบาย วิถี
คิดถูก ปลูกฝัง..........................สมสั่ง มั่งมี
อิ่มเอม เกษมศรี.......................เสรี เบิกบานฯ

๓๐ มกราคม ๒๕๕๙

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

ลูกเทพ : กลอนแปด

                     

ลูกเทพ : กลอนแปด

    ณ สมัย โบราณ พุทธกาลศก................พระไตรปิฎก ยกเหตุ คำเทศนา
มีคนสรรพ กราบไหว้ ใคร่บูชา...................ภูเขา-ป่าฯลฯ สารพัด ศรัทธาไท

    (แต่)พุทธองค์ ทรงสอน สังวรกรรม........ศีลธรรม สำเหนียก เรียกร้องให้
ปฏิมา อย่าสร้าง ; ยังทำไม?.....................ลุ่มหลงใหล ไม่หัด ปฏิบัติตาม(ปฏิมา=พระพุทธรูป)

    แขวนพระเครื่อง ของขลัง ดั่งศักดิ์สิทธิ์....มากมีฤทธิ์ คิด(หรือ)เห็น? เป็นคำถาม
มิตรึกตรอง ส้องติด วิปริตลาม....................กลายเป็นความ คลั่งนิยม (ของ)สังคมไทย

    "อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ".....................คนเลโล โมหะ เชื่อซะที่ไหน
"ตนแลเป็น ที่พึ่ง" ยากซึ้งใจ......................มุ่งคว้าไขว่ ไสยศาสตร์ แสนศรัทธา

    นวัตกรรม แปลกใหม่ ไม่เคยหมด............จึงปรากฏ ปัจจุบัน สำคัญว่า
สามารถเสก คุณไสย ใส่ตุ๊กตา....................เลี้ยงบูชา "ลูกเทพ" เสพงมงาย

    หวังได้ความ ร่ำรวย ด้วยไสยศาสตร์.........คนต่างชาติ อ่านข่าว เขาขำหลาย
ไทยนำเข้า ตุ๊กตา มามากมาย.....................ฝรั่งขาย ได้เงิน เพลินเปรมปรีดิ์

    "ความเชื่อส่วน บุคคล" โดนตอบกลับ.......ไม่ยอมรับ ว่าตน ล้นบัดสี
ก้าวข้ามความ โง่เขลา เมาฤดี......................สู่วิถี วิกล คนบ้าปาน

    ตราบเท่าที่ ยังนิยม งมงายหยัด...............สารพัด สิ่งใหม่ ไสยศาสตร์สาน
ผลิตออก หลอกลวง ปวงเผ่าพาล.................จนชั่วลูก ชั่วหลาน ดักดานเอยฯ

๒๙ มกราคม ๒๕๕๙

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

เปลวเทียนเปลี่ยนกมล : กาพย์ยานี๑๑



เปลวเทียนเปลี่ยนกมล : กาพย์ยานี๑๑

    จุดเทียน เจียนกมล...................สว่างถกล ยลสุกใส
รุ่งโรจน์ โชติช่วงไฟ.......................ขับไล่ความ ดำมืดมัว

    ลางที มีลมโกรก.......................ปลายเปลวโยก สะทกทั่ว
แกร่งสู้ กุศลรัว..............................มิต้องกลัว การดับสูญ

    เทียนไกร ในโลกกว้าง................ช่างเหินห่าง ร้างอาดูร
เพราะมี ปฏิกูล...............................พูนพอกใจ ไม่เคยพอ

    มลทิน จินดาจัด.........................กิเลสทัด อวิชชาถ่อ
ครอบงำ คล้ำครึมคลอ.....................บ่เห็นแจ้ง แสงรุจี

    โมหะ และอกุศล........................อคติท้น กมลถี่
ทำให้ ใจยากมี...............................เทียนสดศรี โสตถิ์วิภา

    พบคน มืดมนจิต.........................ไม่เป็นมิตร มิอิดหนา
จดจำ คือธรรมดา............................ของบรรดา สามัญชน

    ฤดี (ที่)มีแสงสว่าง......................ประไพพร่าง สล้างกุศล
ประเสริฐ เลิศสุชน...........................ยากยลหา อย่ารำคาญ

    เปลวเทียน ที่เจียรส่อง.................ใจผุดผ่อง เรืองรองศานติ์
เกริกฟ้า ไกลจักรวาล.......................จงสำราญ บานชื่นเทอญฯ

๒๘ มกราคม ๒๕๕๙

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

กฎชีวิต : กลอนเจ็ด



กฎชีวิต : กลอนเจ็ด

    คำสั่ง พ่อแม่ แลคือกฎ.................กำหนด ถึงลูก ผูกพันหลาน
(ทุก)ครอบครัว ต่างมี วิธีการ...............ต่างบ้าน ต่างเสาะ เฉพาะตน

    ขับรถ เลนซ้าย ไทยกำหนด............ขับรถ เลนขวา อเมริกาหน
เป็นบท กฎหมาย ใช้กับคน..................ต่างชน ต่างชาติ ต่างปัจจัย

    หลักการ บัญญัติ ของศาสนา...........ศาสดา ตราเตือน สร้างเงื่อนไข
ผู้จะ นับถือ หรือทอดใจ......................แม่นไม่ มีกฎ กำหนดมา

    กฎหมาย ได้ตรา(ขึ้น) โดยมนุษย์......เปลี่ยนแปลง ไป่หยุด ดุจภาษา
คุณ-โทษ จดที่ กี่มาตรา......................คนคิด ขึ้นมา หาแน่นอน

    เพื่อ(ความ)เรียบ ร้อยดี มีระเบียบ......บางราย ได้เปรียบ บ้างเดือดร้อน
หากเลี่ยง กฎ(หมาย)ได้ ไม่อาทร..........โทษไร้ ถ่ายถอน บวรชัย

    ศีลธรรม กำหนด โดยธรรมชาติ.........ตัดขาด ศาสนา อย่าสงสัย
ชีวัน พันผูก ทุกคนไป.........................และไม่ กีดกั้น แบ่งชั้นชน

    ธรรมชาติ จัดการ บันดาลเกิด...........โทษทัณฑ์ สรรเพริศ ประเสริฐผล
มีกฎ แห่งกรรม ตามประจญ.................ไร้หน ทางหนี หลักศีลธรรม

    วาสนา ของใคร ใจของมัน...............(จะ)เชื่อถือ  หรือหยัน การณ์เลิศล้ำ
ต่างคน ต่างจิต ต่างกิจกรรม.................น้อมนำ เนื่องผล สกลเอยฯ

๒๗ มกราคม ๒๕๕๙

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

มิตรแท้-มิตรเทียม : กลอนหก



มิตรแท้-มิตรเทียม : กลอนหก

    ฉันอำนวย ช่วยเสมอ....................ยามที่เธอ มีปัญหา
ทุ่มเทสรรพ (พะ)ทรัพยา...................ปรารถนา พา(เธอ)พ้นภัย

    ไม่คิดแก่ง แย่งแข่งดี....................เอื้อเฟื้อพลี อารีให้
เสียสละ สิ้นหัวใจ.............................ผล(ตอบแทน)อันใด ไม่ต้องการ

    เทิดทูนซื่อ ถือสัจจะ......................ผูกพันธะ ทุกสถาน
(เธอ)เดือดร้อนมี (ฉัน)อภิบาล.............(เธอ)สุขสราญ (ฉัน)ร่วมบันเทิง

    เพราะฉันฤา คือมิตรแท้..................ชั่วชีพแม้ ลองแลเบิ่ง
ได้(มิตรแท้)สักคน ล้นระเริง................ดั่งเถลิง ธรณินทร์(ธรณินทร์=พระเจ้าแผ่นดิน)

    ส่วนฉันหรือ คือมิตรเทียม...............ใจเต็มเปี่ยม เตรียมถวิล
เห็นแก่ตัว ชั่วอาจิณ...........................เสียสละหมิ่น ไม่ยินดี

    คบเธอไว้ ใคร่(ผล)ประโยชน์...........คิดฉลโฉด คอยกดขี่
ความจริงใจ ไม่เคยมี..........................ความอัปรีย์ สิมากมาย

    ลวงหลอกเธอ เผลอหลงเชื่อ............(ว่า)ฉันล้นเหลือ (ความ)หวังดีหลาย
พร้อมดูแล(เธอ) ร่วมแก่ตาย.................(แต่)เรื่องง่ายๆ (ฉันยัง)ไม่นำพา

    เธอมีทุกข์ (ฉัน)สนุกสนาน...............เธอสำราญ ฉันริษยา
คนเยี่ยงฉัน ลานโลกา.........................เวียนแวะมา ไม่ขาดเอยฯ

๒๖ มกราคม ๒๕๕๙

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

มีชีวิตต้องเข้มแข็ง : กาพย์ฉบัง๑๖



มีชีวิตต้องเข้มแข็ง : กาพย์ฉบัง๑๖

    อากาศเปลี่ยนผันทันใด................(วัน)วานร้อนเหงื่อไหล
วันนี้ไม่มีสุรีย์แสง

    เมฆครึ้มคลุมฟ้าแสดง.................สายลมพัดแข่ง
เสียดแทงเข้าถึงบึ้งทรวง

    ชีวิตพิสดารพานล่วง.................ประสบการณ์ปวง
กระทบดวงใจ(เยี่ยง)ไร้เมตตา

    ปะทะสารพันปัญหา................หนักเบาเนามา
ไม่เลือกเวลาปรารมภ์

    ทำลายความสุข;ทุกข์ระทม................สะอื้นขื่นขม
กรอมกรมซมเศร้าเคล้าเสมอ

    บ่อาจปฏิเสธเภทเจอ................บ่อยากพร่ำเพ้อ
บ่ควรเผลอเรออ่อนไหว

    ชีวิตยัง(อยู่)จงตั้งใจ.................เข้มแข็งเข้าไว้
เผชิญหน้าไปอย่าใจเบา

    หนักแน่นแม้นสิงขรเขา.................มิโศกมิเศร้า
มิเอาอารมณ์โหมมนา

    เก็บความรู้กู้ปัญญา...................ธรรมตรึกศึกษา
ปรมัตถ์สัจจาสะสม

    เสมือนมีวิชาอาคม..................(เครื่อง)ป้องกันอันอุดม
ชีวาอภิรมย์ชมเชยฯ

๒๕ มกราคม ๒๕๕๙

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

การพักผ่อน : กาพย์สุรางคนางค์๓๒



การพักผ่อน : กาพย์สุรางคนางค์๓๒

    สนุก กับงาน...................คือการ พักผ่อน
ได้หลับ ได้นอน...................เป็นพร จากสวรรค์
ของกิน-ของใช้....................ยามได้ แบ่งปัน
เป็นกิจ (จะ)กรรม์.................สุขสันติ์ นันทนา

    ได้ค่า ตอบแทน(จากการทำงาน)....มาดแม่น ของขวัญ
โสมนัส อัศจรรย์...................ชีวัน หรรษา
ประสบ การณ์ใหม่.................ฝึกใช้ ปัญญา
คอยแก้ ปัญหา.....................แสนสนุก ปลุกจินต์

    ข่าวสาร บ้านเมือง.............ล้วนเรื่อง น่ารู้
เราอา ศัยอยู่........................ต้องสู่ ถวิล
เท่าทัน เหตุการณ์.................(ย่อม)เชี่ยวชาญ หากิน
ดำเนิน ชีวิน.........................สาบสิ้น ภินท์พา

    ไม่เครียด ไม่เคร่ง.............ไม่เร่ง ไม่ร้อน
ย่อมเหมือน พักผ่อน..............แน่นอน ทุกสถาน์
อยู่ที่ ตัวเรา..........................เข้าใจ สัจจา
ปฏิวัติ ทัศนา........................อย่าคล้อย สังคม

    ไม่โลภ ไม่หลง.................ซื่อตรง สุจริต
ศีลธรรม อำมฤต....................วิทยา สะสม
ย่อมมี อิสระ..........................จากประดา ค่านิยม
(ที่)เหม็นอับ ทับถม................จ่อมจม จิตใจ

    ชีวิต เรียบง่าย...................คลายความ ดิ้นรน
ทำนุ กุศล.............................อลหม่าน พล่านไส
ทุกคืน ทุกวัน.........................หรรษา กระไร
สุขกาย สบายใจ.....................ทดลองได้ ทุกคนฯ

๒๔ มกราคม ๒๕๕๙

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

ความยุติธรรมของกาฬประเทศ...ไม่อยากเชื่อถ้าไม่เจอกับตัวเอง : เรื่องเล่า(อย่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง)

ภาพประกอบ ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์จริง
                             

ความยุติธรรมของกาฬประเทศ...ไม่อยากเชื่อถ้าไม่เจอกับตัวเอง : เรื่องเล่า(อย่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง)
*ขอย้ำ กาฬประเทศไม่มีอยู่จริง*

    เจ้าของเรื่องเล่าพอคร่าวๆว่า ตัวเองขับรถยนต์ไปหยุดที่ปากซอยที่มีรถจอด ตั้งแต่มุมถนนทั้งด้านซ้าย-ด้านขวาทอดยาวไปจนสุดถนน เขาต้องการจะเลี้ยวขวา จึงสอดสายตามองซ้ายมองขวาเพื่อดูสภาพการจราจร เพราะกลัวว่าหากประมาทจะเกิดอุบัติเหตุ พอมองไปทางขวาเป็นรอบที่ ๓ สายตาก็ประสานกับรถจักรยานยนต์ Fino ที่วิ่งตรงมาเรื่อยๆ โดยที่คนขับรถจักรยานยนต์มัวแต่หันไปมองด้านขวามือตามที่คนซ้อนท้ายชี้พร้อมๆกับการพูดคุยกัน ไม่หันมาทางข้างหน้าที่มีรถยนต์ที่จอดอยู่ริมถนน
    ทันใดนั้นคนขับรถยนต์ก็ตระหนักว่า รถจักรยานยนต์พุ่งตรงมาที่รถของเขา เขาจึงกดแตรไป ๑ ครั้ง เสียงแตรรถยนต์ดังกังวาน แต่นั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถจักยานยนต์วิ่งมาถึงด้านหน้าของรถยนต์ ด้วยเสียงแตรคนขับรถจักรยานยนต์หันมาเห็นแล้วรีบหักรถเบี่ยงไปด้านขวา ทำให้ขอบกระบังหน้ารถจักรยานยนต์เฉี่ยวกับกันชนด้านหน้ารถยนต์ก่อนจะเสียหลักล้มลงไป ทั้งคนขับและคนนั่งซ้อนล้มไปพร้อมกับรถ แขนขาถลอกมีบาดแผลเล็กน้อย คนขับรถยนต์ก็ออกมาจากรถ ร่วมกับคนเห็นเหตุการณ์ช่วยพาคนเจ็บไปพักบนทางเท้า
    ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ตำรวจก็มาตรวจที่เกิดเหตุตามที่มีคนแจ้ง ยึดใบขับขี่จากคนขับรถยนต์ บอกให้ขับรถไปจอดที่สถานีตำรวจพร้อมยึดกุญแจรถไว้ ขณะที่คนขับรถจักรยานยนต์และคนซ้อนท้ายได้ถูกพาตัวไปรักษาโดยรถกู้ภัย
    ต่อมาอีกประมาณ ๒ เดือน กลายเป็นว่าคนขับรถยนต์ถูกตำรวจแจ้งข้อหาขับรถประมาท ทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะคนขับรถจักรยานยนต์ดันได้รับใบรับรองแพทย์ว่าหน้าแข้งซ้ายหัก(หักได้ยังไง?ตอนช่วยกันอุ้มไม่เห็นว่าจะหัก) และคนขับรถจักรยายนต์กล่าวหาว่า รถยนต์ขับเลี้ยวขวามาหยุดกะทันหัน ทำให้รถจักรยานยนต์หยุดไม่ทันจึงเกิดการเฉี่ยวชนขึ้น แถมตำรวจยังไม่รับแจ้งความจากคนขับรถยนต์ ที่พยายามต่อสู้คดีว่ารถจักรยานยนต์วิ่งมาเฉี่ยวชนรถยนต์ที่จอดอยู่ โดยอ้างว่าเป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน
    คนขับรถยนต์ถามตำรวจว่า มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อะไรที่พิสูจน์ว่าเขาทำผิดตามข้อกล่าวหา ตำรวจบอกว่าไม่มี...แต่สันนิษฐานเอา คนขับรถยนต์ก็แย้งว่า "ผมเรียนกฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามา การจะเอาข้อสันนิษฐานมาฟ้องคนในความผิดอาญา เป็นวิธีที่ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความอาญา...ฯลฯ" ตำรวจก็อ้างว่า ตำรวจมีอำนาจทำได้ (??? เอากะมัน)
    อีก ๑ เดือนต่อมา คนขับรถยนต์โดนตำรวจส่งให้อัยการส่งฟ้องต่อศาล โดยอัยการบรรยายฟ้องใส่ร้ายให้รุนแรงกว่าเดิม เพิ่มเติมว่า "...ขับรถเลี้ยวขวาโดยไม่ชะลอความเร็ว-ปราศจากสำนึก ทั้งที่ควรจะรู้ว่า...บลาๆๆๆ ฯลฯ" คนขับรถยนต์ถูกส่งฟ้องโดนกักขังที่ใต้ถุนศาลครึ่งวัน กว่าจะรับการประกันตัวด้วยยื่นเงินสด ๖ หมื่นบาท
    เข้าเดือนที่ ๖ ศาลนัดมาเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์ ๒ ครั้ง เพราะคนขับรถจักรยานยนต์ที่รู้ตัวว่าผิดไม่รับหมายศาล-ไม่มาศาล ส่วนคนขับรถยนต์รับหมายและมาศาลตามนัดทุกครั้ง พร้อมทั้งปฏิเสธข้อกล่าวหา ผู้พิพากษากล่าวกับจำเลย(คนขับรถยนต์)โดยอ้างข้อกฎหมายว่า คนขับรถทุกคนทำผิดกฎจราจรไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง ดังนั้น จำเลยควรรับสารภาพ แล้วศาลจะลดโทษให้ พร้อมทั้งชักแม่น้ำทุกสายที่คิดได้(ไม่ใช่แค่ ๕ สาย) ทั้งข่มขู่ว่าถ้าไม่สารภาพ เมื่อเข้าสู่การพิจารณาคดี หากศาลไม่เชื่อคำให้การของจำเลย ศาลจะลงโทษจำเลยให้ชดใช้ค่าเสียหายและสั่งจำคุกโดยไม่รอลงอาญา
    คนขับรถก็ปฏิเสธเหมือนเดิมเพราะตัวเองหยุดรถอยู่เฉยๆ ไม่ได้เลี้ยวตามที่อัยการบรรยายฟ้อง หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตามฟ้องก็ไม่มี มีแต่รอยสีรถจักยานยนต์ที่ครูดไปบนกันชนของรถยนต์ที่แสดงว่ารถจักยานยนต์เฉี่ยวชนรถยนต์ อีกทั้งหากรับสารภาพ คู่กรณีจะใช้เป็นเหตุผลฟ้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายเป็นเรือนแสนได้ สุดท้ายผู้พิพากษาซึ่งออกอาการหัวเสียมาก สรุปว่า "...ตามใจ ที่ผ่านมาศาลไม่ได้บังคับให้รับสารภาพนะ" คนขับรถยนต์ก็ได้แค่คิดในใจว่า "เออ มึงไม่ได้บังคับ แต่หลอกล่อและข่มขู่กูให้รับสารภาพเลยละ"
    ผ่านไปอีกเดือน มาถึงขั้นตอนนัดพร้อม คู่กรณีคือคนขับรถจักรยานยนต์ที่ไม่รับหมายศาลก็ไม่มาศาลเหมือนอย่างเคย ผู้พิพากษาคนใหม่ก็เริ่มด้วยอธิบายว่าถ้าไม่มีหลักฐานว่าจำเลยทำผิด ศาลก็จะยกฟ้องจำเลย พูดไปได้ไม่กี่คำก็มาแนวทางเดียวกันกับผู้พิพากษาชั้นสมานฉันท์ คือบอกว่าคนขับรถทุกคนทำผิดกฎจราจร...ฯลฯ คนขับรถยนต์ก็ไม่ยอมรับ ผู้พิพากษาซึ่งไม่รู้ว่ามีหน้าที่อะไรกันแน่ก็ใช้วิธีใหม่ พูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า "ขอให้จำเลยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม ไม่ต้องสนใจว่าใครถูก-ใครผิด ยอมรับสารภาพแล้ววางเงินบรรเทาความเสียหายตามสมควร แล้วศาลจะตัดสินลดโทษให้..." และยังขู่สำทับว่า ถ้าศาลไม่เชื่อคำให้การของจำเลย ศาลจะตัดสินลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา 
    คนขับรถตอบว่าเขามีมนุษยธรรม-มีน้ำใจ แต่ไม่ค่อยมีเงินและต้องซ่อมรถตัวเองไปหมื่นกว่าบาทแล้วด้วย จึงขอวางเงิน ๕,๐๐๐บาท แล้วรับสารภาพไป ก่อนจะออกไปธนาคารถอนเงินมาวางเป็นค่าบรรเทาความเสียหายกับศาล พร้อมกับเล่าให้พนักงานธนาคารฟังถึงสิ่งที่ประสบมา พนักงานธนาคารก็เล่าประสบการณ์ว่า ตัวเองกับญาติก็เคยโดนข่มขู่มาแบบเดียวกัน นี่แหละศาลกาฬประเทศ
    ศาลสั่งให้จำเลยไปรายงานตัวที่สำนักงานคุมประพฤติ คนขับรถยนต์โดนถ่ายรูปทำประวัติอาชญากร โดนสอบปากคำ สุดท้ายก็บอกว่าที่รับสารภาพเพราะกลัวอาจจะติดคุกได้ถ้าไปทำให้ศาลไม่พอใจ แล้วเล่าให้เจ้าหน้าที่สำนักงานคุมประพฤติฟังว่าผู้พิพากษาพูดยังไง? เจ้าหน้าที่คุมประพฤติก็ทำหน้าแปลกใจว่า ศาลพูดแบบนั้นหรือ? เป็นเขาก็คงต้องรับสารภาพเหมือนกัน ไม่กล้าเสี่ยง
    พอถึงนัดวันรับฟังคำพิพากษา ผู้พิพากษาที่ไม่รู้ไปโดนใครตำหนิมา ขึ้นบัลลังก์ก็ถามจำเลยว่า ที่สารภาพเพราะกลัวศาลจะไม่พอใจหรือ? คนขับรถยนต์ครุ่นคิดอยู่นานเพราะไม่แน่ใจว่าถ้าตอบไม่ถูกใจ ภัยอันใดจะเกิดขึ้น? สุดท้ายก็ยืดอกยอมรับว่าใช่ครับ ผู้พิพากษาก็รำพึงรำพันว่า "ถ้าไม่พูดว่า หากศาลไม่เชื่อคำให้การของจำเลยจะไม่บรรเทาโทษให้ แล้วจะให้พูดยังไง? เพราะการที่ศาลไม่เชื่อคำให้การ แสดงว่าจำเลยกระทำผิด"
    ฝ่ายคนขับรถยนต์บอกว่า " ถ้าท่านจำได้ ตอนเรียนมหา'ลัยปีแรก เราจะต้องเรียนวิชาตรรกวิทยา ตัวอย่างหนึ่งที่ตำรายกมาอ้างคือ ฝนตกถนนเปียก แต่ถนนเปียกอาจไม่ใช่เพราะฝนตก ศาลไม่เชื่อคำให้การของจำเลยก็เป็นดุลพินิจในใจของศาล ส่วนข้อเท็จจริงจำเลยอาจไม่ได้กระทำผิด" (คิดในใจว่า ประเด็นสำคัญคือคำพูดว่า "ไม่ต้องสนใจว่าใครถูก-ใครผิด" ต่างหาก แล้วจะมีศาลไว้ทำไม? ผู้พิพากษาได้รับเงินเดือนเป็นแสนได้ยังไง?) แล้วศาลก็สั่งนัดพร้อมใหม่อีกครั้ง ใน ๒ เดือนข้างหน้า
    แล้วคดีก็ข้ามถึงปีถัดไป กว่าจะเริ่มกระบวนการก็ปาเข้าไป ๑๐:๓๐ น. (ตามนัดหมายคือ ๙:๐๐ น.) คราวนี้มีผู้พิพากษาหัวหน้าคณะมาร่วมด้วย(จึงมีผู้พิพากษาเพิ่มเป็น ๒ คน) คนขับรถจักรยานยนต์ก็ไม่รับหมายและไม่มาศาลเหมือนเช่นทุกครั้ง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะเกริ่นด้วยการถามจำเลย(คนขับรถยนต์)ว่า การเป็นคดีความนี่เสียเวลาประกอบอาชีพใช่ไหม? ยามนอนต้องเอามือก่ายหน้าผากใช่ไหม?...ฯลฯ คนขับรถยนต์ก็บอกว่าใช่ กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาผมกังวลมาก เพราะไม่ได้ทำผิดแต่ถูกฟ้อง คนทำผิดกลับไม่ถูกฟ้อง...ฯลฯ
    ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะก็บอกว่า "คนขับรถทุกคนต้องทำผิดกฎจราจรไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง...ศาลไม่ได้บังคับนะ...ฯลฯ(มาแนวเดียวกันอีกละ) เมื่อคู่กรณีไม่มาศาลอาจไม่ใช่ว่าเพราะเขาทำผิด" คนขับรถยนต์พูดว่า "แต่เขาไม่เคยมาศาลสักนัดเลยนะครับ แถมยังไม่ยอมรับหมายศาลด้วย"
    ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะบอกว่า "การพิจารณาคดีลับหลังคู่กรณีอาจมีข้อโต้แย้งได้ แต่ว่ามีวิธียุติคดีแบบง่ายๆและไม่เสียเวลา(เพราะคู่กรณีไม่มาศาล ๖ นัดแล้ว) แต่จำเลยต้องรับสารภาพ แล้วให้ตำรวจโทรศัพท์ขอคำยืนยันจากคู่กรณีว่า ไม่ติดใจเอาความเรื่องโทษทางอาญาและความเสียหายทางแพ่ง ศาลจะตัดสินให้จำเลยเสียค่าปรับแค่หลักร้อยหลักพัน ไม่ต้องถูกติดคุก-ไม่ต้องคุมประพฤติ-ไม่ต้องเสียเงินชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนเงินประกันตัวกับเงินบรรเทาความเสียหายที่เคยวางไว้ ก็ทำเรื่องขอรับคืนไปในวันนี้เลย ตกลงไหม? หรือจะสู้คดีต่อไป? แต่ถ้าศาลเห็นว่าทำผิดคุณต้องติดคุกนะ...ฯลฯ"(ขู่อีกละ)
    คนขับรถยนต์ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดแน่นอน พร้อมแสดงหลักฐานที่เตรียมมา และจะยอมรับสารภาพแต่ขอให้ศาลปรับหลักร้อย ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะแสดงความไม่พอใจ บอกว่า "อย่ามาละเมิดอำนาจศาล..."(อ้าว?) 

    คนขับรถยนต์บอกว่า "เมื่อกี้นี้ท่านเพิ่งบอกว่าเสียค่าปรับแค่หลักร้อยหลักพัน ผมจึงขอให้ท่านปรับหลักร้อยเพราะผมไม่ได้ทำผิด แต่ยอมรับสารภาพเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาทุกฝ่าย" ผู้พิพากษาฯบอกว่า "นี่ศาลนะ ไม่ใช่ร้านขายของ จำเลยไม่มีสิทธิ์มาต่อรอง..."(เออ..เอากะมันสิ)
    คนขับรถยนต์ทั้งโดนขู่โดนหลอกล่อก็คิดว่า ระดับผู้พิพากษาหัวหน้าคณะลงทุนมาพูดเองแบบนี้ เห็นทีจะไม่รับสารภาพไม่ได้แล้ว เพราะท่าทางเอาจริงเอาจังและวางอำนาจมาก การแสดงออกนั้นชัดแจ้งว่า ไม่ต้องการพิจารณาคดีตามปกติ ขืนสู้คดีต่อไปจะทำให้ผู้พิพากษาหมั่นไส้ไม่พอใจ ผลร้ายจะตามมาจึงไม่อยากเสี่ยง จำใจยอมรับสารภาพไป
    รอเสร็จกระบวนการระหว่างผู้พิพากษากับพนักงานพิมพ์คำพิพากษา ผู้พิพากษาก็อ่านคำพิพากษาว่า "จำเลยรับสารภาพผิดตามฟ้อง ศาลตัดสินลงโทษจำคุก ๒ ปี ปรับ ๖ พันบาท แต่จำเลยรับสารภาพศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก ๑ ปี ปรับ ๓ พันบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา ๒ ปี...ฯลฯ"(อ้าว??? ไหนเมื่อกี้ตอนตกลงกัน มึงบอกว่าจะไม่มีโทษจำคุก??? เวรละ...)
    เสร็จแล้วผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ(ยังมีหน้า)ถามว่า "จำเลยมีอะไรติดใจคำตัดสินไหม?(ถามว่ากล้าติดใจไม๊?จะดีกว่านะท่าน) โลกเราก็เป็นแบบนี้เอง บางครั้งเราไม่ได้ทำผิดแต่ก็ต้องยอมรับผิด-ยอมเสียเงินให้คนที่เขาบาดเจ็บไป เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำมาหากิน...ฯลฯ"
    คนขับรถยนต์ตอบว่า "ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจดี โลกเราก็เป็นแบบนี้เอง"(คิดในใจ...รวมทั้งศาลด้วย ภายใน ๒ ปีถ้ากูเผลอไปทำผิดอาญา กูอาจจะต้องติดคุก ๑ ปี ตามที่โดนรอลงอาญา...เฮงซวยเลย)
    เสร็จกระบวนการพิจาณาคดี คนขับรถยนต์ไปขอรับเงินประกันและเงินบรรเทาความเสียหายคืน แต่กลายเป็นว่า เจ้าหน้าที่คลังบอก "ตามระเบียบแล้วเงินบรรเทาความเสียหายจะขอรับคืนไม่ได้ หากคู่กรณีไม่ประสงค์จะรับเงินนี้ ต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไม่ใช่ทางโทรศัพท์ ถึงจะทำในขั้นตอนพิจารณาคดีก็ใช้ไม่ได้ แล้วเงินก็จะตกเป็นของแผ่นดินไม่ใช่คืนให้คุณ คุณอยากวางเงินเองทำไมละ"
    คนขับรถก็แย้งว่า "ผมวางเงินตามที่ศาลบอก แล้วศาลเพิ่งยื่นเงื่อนไขคืนเงินฯลฯ เพื่อให้ผมยอมรับสารภาพในชั้นพิจารณาคดีเมื่อกี้นี้เอง..." เจ้าหน้าที่คลังก็เอาเรื่องไปถามผู้พิพากษาหัวหน้าศาล
    แล้วก็ถือบันทึกกลับมา เขียนด้วยลายมือชนิดที่ดูยังไงก็แค่คล้ายๆตัวอักษรไทย(แต่เจ้าหน้าที่คลังสามารถอ่านออก) ว่า "ให้เจ้าหน้าที่ส่งหมายให้คู่กรณีมารับเงินภายใน ๗ วัน...ฯลฯ"
    คนขับรถยนต์ก็อ้างคำพิพากษา โต้แย้งกับเจ้าหน้าที่คลังอยู่อีกนาน ว่าแบบนี้มันขัดกันกับคำพิพากษา...ฯลฯ เจ้าหนาที่คลังก็บอกว่า "ระเบียบเป็นแบบนี้ ใครให้คุณไปรับสารภาพละ ทำไมไม่สู้คดีไปเลย หัวหน้าศาลสั่งมาแบบนี้ คุณไปเถียงเองสิ...ฯลฯ"
    คนขับรถยนต์ก็ได้แต่ส่ายหัวว่า "ขนาดผู้พิพากษาหัวหน้าคณะผมยังไม่กล้า แล้วใครจะไปกล้าขัดใจหัวหน้าศาล...คำพูดของคนในศาลกะล่อนแบบนี้ทุกคนหรือไง? เชื่อไม่ได้เลย..."(เวรจริงๆ)
    สุดท้าย คนขับรถยนต์ที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ก็ต้องกลับมานอนเอามือก่ายหน้าผากต่อไปอีก ๒ ปี จนกว่าจะครบกำหนดเวลารอลงอาญา และเสียความรู้สึกสุดๆที่โดนหลอก..ไม่อยากเชื่อถ้าไม่เจอกับตัวเองฯ

    *เรื่องเล่า อย่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง*
  
๒๓ มกราคม ๒๕๕๙ 

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

วิกฤติโลก 2016 : โคลงสี่สุภาพ



วิกฤติโลก 2016 : โคลงสี่สุภาพ

. เศรษฐกิจ..โลกร่วมสร้าง......................ปัญหา
การบริโภคชะลอพา...............................พลาดเป้า
การส่งออก-(ค่า)เงินตรา.........................ตกต่ำ
สงครามกระหน่ำเข้า...............................เครียดซ้ำเติมหนุนฯ

. ทารุณเภทภัยแล้ง...............................พลอยระกำ
หมู่ชนตาดำๆ........................................เดือดร้อน
เหน็ดเหนื่อยหน่ายตรากตรำ.....................อดอยาก
หากหาเหตุผลย้อน.................................ย่อมเข้าใจดีฯ

. (ก่อนนี้)เพลินกับการก่อหนี้....................ยืมสิน
จ่ายเกินตัวเคยชิน...................................ฟุ้งเฟ้อ
ทำเยี่ยงเศรษฐีกิน...................................เป็น-อยู่
ไม่มุมานะเพ้อ.........................................(อยากได้)งานน้อยเงินดีฯ

. แทนที่จะเสริมสร้าง...............................เงินออม
ประหยัดจับจ่ายยอม.................................ยากแม้
สิ่งของไม่คิดถนอม(ใช้).............................จนเก่า
เมาแต่(ความ)ทันสมัยแล้...........................เชิดหน้าตากระหายฯ

. ทำลายสิ่งแวดล้อม................................โลกา
ผลาญสารพัดทรัพยา-................................กรสิ้น
สมดุลธรรมชาติหา-....................................ยนะเกิด
เพราะละเมิดรนดิ้น.....................................ล่วงล้ำระยำเห็นฯ

. กลายเป็นกลับมาต้อง..............................ขัดสน
การกระทำของคน......................................ทั่วหล้า
เหตุนำมาซึ่งผล.........................................วิกฤติ
พินิจภัยภาคหน้า........................................จากนี้มืดมนฯ

. ข่าวคราวโจรผู้ร้าย...................................ชุกชุม
ปัญหาประดารุม..........................................รุกเร้า
โลกเหลือจะควบคุม.....................................สาเหตุ
กิเลสตัณหากุมเกล้า.....................................ใครเข้าใจหรือ?

๒๒ มกราคม ๒๕๕๙

ผู้ว่าฯแบงก์ชาติระบุ ระบบสถาบันการเงินไทยในปี’58 ต้องแบกรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เหตุเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้ารายย่อย ทั้งภาคครัวเรือน และธุรกิจขนาดเล็ก ส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อ กดดันกำไรแบงก์ ขณะที่ดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง จึงเกิดพฤติกรรม การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เพราะจำเป็นต้องสร้างผลตอบแทน
http://www.naewna.com/business/198688

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

ความดีไม่มีขาย : กลอนหก



ความดีไม่มีขาย : กลอนหก

    อโณทัย ไอเย็นแผ่.....................ดาลดวงแด แลผ่องศรี
นอนหัวค่ำ นำกายี..........................ตื่นเช้ามี สิริมงคล

    ระหว่างกาล กลับบ้านค่อย...........ช่วยเด็กน้อย เดินข้ามถนน
ทานเล็กๆ เสกสรรดล......................ให้ชีพชนม์ สุขหนทาง

    กรรมปัจจัย ใกล้ๆตัว....................มิหมองมัว ชั่วเหินห่าง
ทำดีไว้ ไม่เว้นวาง...........................สุขสล้าง อย่างง่ายดาย

    คิดใคร่ครวญ ให้ถ้วนถี่..................คุณความดี ไม่มีขาย
ต้องอุตส่าห์ อย่าดูดาย......................กำลังกาย ใจพร้อมพลี

    คำเคยคุ้น ส่วนบุญแผ่...................ทำได้แน่ (หรือ)แค่วิถี?
แต่การพร่ำ แผ่ความดี.......................เป็นวิธี สุขนิรันดร์

    ส่วนบาปแล แผ่ได้ไหม?................นึกสงสัย ไม่เพ้อฝัน
กรรมของใคร กรรมของมัน.................ไม่มีวัน ปันบาป-บุญ

    ทำความชั่ว ทั่วพสุธา....................คู่อัตตา หาเสื่อมสุญ
ต้องชดใช้ ให้สมดุล..........................กับความสถุล ที่เคยทำ

    เงินฤาอาจ กำจัดบาป.....................ให้สิ้นสาบ นับขบขำ
พิธีทาง ล้างเวรกรรม..........................ล้วนเท็จทำ จำจิตเทอญฯ

๒๑ มกราคม ๒๕๕๙

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

บัวใต้น้ำ : กลอนคติสอนใจ



บัวใต้น้ำ : กลอนคติสอนใจ

    ธรรมชาติ ของชน....................เอ่อล้น กิเลส ตัณหา
มนุษย์ มนา.................................กร้าวแก่น แน่นหนา อกุศล
ไม่รู้ สึกตัว..................................ไม่รู้ ดี/ชั่ว มัวกมล
ไม่รู้ ว่าตน...................................โฉดฉล วนเสาะ ก่อเวร

    ชอบทำ ตามใจ........................ชอบใช้ อุรา อารมณ์
เขลาโง่ โสมม..............................ทับถม ทำให้ ไม่เห็น
ความดี ศีลธรรม............................(คือสิ่ง)เลิศล้ำ สำนึก ตรึกเป็น
กำหนัด จัดเจน..............................มืดดำ ทำเข็ญ มิเว้นวาง

    เหมือนบัว ใต้น้ำ.........................ล้อมรอบ ครอบงำ ดำดิ่ง
สารพัด สัตว์;สิ่ง..............................สกปรก รกยิ่ง;ทิ้งร้าง
นภา พิสุทธิ์...................................อวิรุทธ์ จุดหมาย ปลายทาง(อวิรุทธ์=อิสระ)
ปราศแสง สว่าง..............................กระจ่าง ชีวิต จิตใจ

    เผชิญ ชะตา..............................อยู่ใน มายา คติ
อธรรม ดำริ....................................อุปธิ วิปริต พิสมัย
แหวกว่าย วังวน..............................ประจญ ฉลชั่ว นัวเนียใน
เทวษ เภทภัย.................................บ่เห็น หนให้ คลายคลอน

    กิเลส ตัณหา..............................ผูกมัด อัตตา อคติ
ประเดิม เริ่มริ..................................ลดละ จะมิ เดือดร้อน
กุศล ดลดั่ง.....................................พลัง สร้างสร บวร(สร อ่าน สอระ=แกล้วกล้า)
พิบุล สุนทร....................................สงบสุข สโมสร พรพินทุ์ฯ(พินทุ=จุด)

๒๐ มกราคม ๒๕๕๙

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

ปมด้อย : กลอนเจ็ด



ปมด้อย : กลอนเจ็ด

    ชีวิต อิดหนา ทุกข์ระทม..................ปรารมภ์ ปมด้อย พร้อยบาดแผล
เจ็บปวด รวดร้าว น้าวดวงแด.................คิดแส่ แคะไส ใคร่บรรเทา

    ตราตรึง ซึ้งติด จิตสดับ....................อาภัพ สรรพโศก วิโยคเศร้า
ชดเชย อดีต พิษนองเนา......................ถือเอา (เป็น)เป้าหมาย ณ ปลายทาง

    เพราะความ เขลาใจ ในสัจจะ.............ผิดคำ ธรรมะ ไม่กระจ่าง
ชะตา ชีวิต พินิจพราง...........................ล้วนสร้าง ต่างสนอง ต้องกรรมเวร

    วิบาก หนักหนา อย่ายึดติด................(ชด)ใช้กรรม ตามผิด อดีตเห็น
ย่อมสูญ สิ้นไคล ไร้ลำเค็ญ....................ว่างเว้น เป็นบาป อัประมาณ

    เวรกรรม ทำไว้ (จง)ใช้ให้หมด...........อย่าสลด หดหู่ อุราหาญ
(การ)สะสม (เป็น)ปมด้อย คอยรำคาญ.....ดักดาน การณ์ล่วง กรีดดวงแด

    จดจำ อดีตไว้ อย่าไปเจ็บ..................ควรเก็บ ประสบการณ์ ปัญญาแผ่
อนาคต สดใส ไม่เชือนแช.....................ขอแค่ รู้คิด เลือกกิจกรรม

    ไม่ต้อง ข้องขบ (คอย)ลบปมด้อย.......เมื่อไม่ ใจน้อย พร้อยแผลส่ำ
ใครจะ ประจาน พาลประจำ....................อย่านำ ทำปลูก ผูกเป็นปม

    ทำดี ได้ดี วิริยะ...............................ธรรมจะ บังเกิด ประเสริฐสม
ไร้ทุกข์ ฤทัย ใจภิรมย์...........................สุขชื่น รื่นชม สมบูรณ์เอยฯ

๑๙ มกราคม ๒๕๕๙

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

ธรรมะศึกษา : กาพย์สุรางคนางค์๒๘



ธรรมะศึกษา : กาพย์สุรางคนางค์๒๘

    ..................................ชีวา มนุษย์
ประเสริฐ เกิดผุด..................พิสุทธิ์ อุตส่าห์
ค้นหา ความจริง...................ข้ามสิ่ง ลวงตา
มิหลง มายา........................โลกา ระวัง

    ....................................ธรรมะ ศึกษา
ปรมัตถ์ สัจจา......................ปัญญา ปลูกฝัง
กำจัด โมหะ........................อาสวะ ประดัง
โสภี สติตั้ง..........................หยั่งรู้ อุดม

    ....................................จักต้อง เริ่มต้น
แสวงหา ด้วยตน(เอง)............(คือ)หนทาง สั่งสม
พระไตร ปิฎก........................สาธก เปี่ยมปม
วิชชา อาคม..........................สมบูรณ์ สุนทร(อาคม=การมาถึง)

    ......................................พระหลาก มากหลาย
กิเลส เลศร้าย.......................ขยาย คำสอน
เขลาตาม ความคิด.................พิสดาร บัญชร
ลวงปอก หลอกป้อน...............ภาษิต อวิชชา

    ......................................คนโง่ มักง่าย
ตัณหา กระหาย......................ไม่ระวัง กังขา
ปรีดี ปฏิบัติ............................สารพัด ประหลาดพา
ชื่นชู บูชา..............................โสมนัส อลัชชี

    .......................................ไม่อยาก เป็นเหยื่อ
อย่า งง หลงเชื่อ......................บอดเบื้อ วิถี
เมินข้าม คำอ้าง.......................(มันเป็น)แบบอย่าง ประเพณี
เสียสติ พิธี..............................มากมี หลอกลวงฯ

๑๘ มกราคม ๒๕๕๙

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

บรรลุนิติภาวะ : กาพย์ฉบัง๑๖



บรรลุนิติภาวะ : กาพย์ฉบัง๑๖

    บรรลุนิติภาวะ................ยั่วยวนชวนยุวะ
ปรารถนาทำตาม(ใจ)ประสงค์

    บุหรี่-สุรา-ยา(เสพย์ติด)ฯลฯนิยม.............ผับบาร์อภิรมย์
ชื่นชมอยากย่างทางอบาย

    คบคู่สู่สิงหญิงชาย................ราคะระหาย
ทำลายคุณธรรม(ก่อ)กรรมสถุล

    หลงผิดคิดว่าพาพิบุล................พ้นจากวัยรุ่น(พิบุล=กว้างขวาง)
เป็นคุณค่าของผู้ใหญ่

    มิต้องทำตามคำ(สั่งสอน)ใคร................สุขกายสบายใจ
ได้รับอิสรเสรี

    (เป็น)มิจฉาทิฏฐิวิถี...................โง่เขลาสิ้นดี
ไม่มีประโยชน์(แต่มี)โทษอนันต์

    ในการดำรงชีวัน................จะสนุกสุขสันติ์
ต้องหมั่นรับคำ(อบรม)สั่งสอน

    จากผู้อยู่มานานก่อน.................ผ่านหนาวผ่านร้อน
เก็บบทเรียนย้อนสอนเยาว์

    โลกีย์มีโทษโฉดเขลา................สิ่งชั่วมัวเมา
เท่าๆกับที่มีคุณ

    เชื่อฟังพ่อแม่แล ดรุณ.................ทำให้เคยคุ้น
จะพาไพบูลย์พูนสุขเอยฯ(ไพบูลย์=ความเต็มเปี่ยม)

๑๗ มกราคม ๒๕๕๙

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559

ทำบุญที่บ้าน : โคลงสี่สุภาพ



ทำบุญที่บ้าน : โคลงสี่สุภาพ

. ตกดึกควานห่มผ้า.........................สามผืน
หนาวกระหน่ำหนุนคืน.......................ค่ำสะท้าน
ไอกรุ่นอุ่นกายกลืน...........................สัมผัส
โสมนัสอยู่ในบ้าน.............................บ่ต้องอิดหนาฯ

. ทาน-ศีล-ภาวนาสร้าง.....................บุญผล
สมัครใจหมายสถล............................ก่อเกื้อ
บุญย่อมบันดาลหน............................ทางสิริ
มิแก่งแย่งแข่งเคื้อ.............................เปรียบผู้ใดเขาฯ

. ทุกสถานที่อาจน้อม........................นำบุญ
โดยสะดวกสบายสุนทร์.......................คือบ้าน
กิจวัตรประจำจุน................................เจือเจตน์
เผด็จความเกียจคร้าน.........................ไป่ค้างเป็นกุศลฯ

. ช่วยเหลือคนรอบบ้าน......................ดูแล
ไม่เบียดเบียน;ดวงแด.........................เพริศพร้อย
เมตตาปราณีแปร...............................เปี่ยมสุข
บำบัดทุกข์คอยถ้อย...........................ทีถ้อยอาศัยฯ

. ไม่ละเมิดศีลด้วย............................เจตนา
ต่างคนต่างปองอุรา............................นอบน้อม
ครอบครัวย่อมปรีดา............................ประสบ
สงบสุขสนุกพร้อม..............................ด้วยรักสามัคคีฯ

. อบรมดวงฤดีให้...............................วิเศษ
กำจัดมวลกิเลส..................................หลากพ้น
บาปปวงปฏิเสธ..................................ประสาธน์(ประสาธน์=ทำให้สำเร็จ)
สามารถสมมาดท้น..............................ที่บ้านธรรมดาฯ

. อย่ารอทำบุญเพี้ยง...........................พระ-วัด
อย่าวาดหวังทางลัด.............................บุญล้น
อย่ามิจฉาปฏิบัติ..................................เขลาโฉด
ประโยชน์จะพรากพ้น............................ผิต้องเสียดายฯ

๑๖ มกราคม ๒๕๕๙