ภาพประกอบ ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์จริง
ความยุติธรรมของกาฬประเทศ...ไม่อยากเชื่อถ้าไม่เจอกับตัวเอง
: เรื่องเล่า(อย่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง)
*ขอย้ำ กาฬประเทศไม่มีอยู่จริง*
เจ้าของเรื่องเล่าพอคร่าวๆว่า
ตัวเองขับรถยนต์ไปหยุดที่ปากซอยที่มีรถจอด ตั้งแต่มุมถนนทั้งด้านซ้าย-ด้านขวาทอดยาวไปจนสุดถนน เขาต้องการจะเลี้ยวขวา
จึงสอดสายตามองซ้ายมองขวาเพื่อดูสภาพการจราจร เพราะกลัวว่าหากประมาทจะเกิดอุบัติเหตุ พอมองไปทางขวาเป็นรอบที่ ๓
สายตาก็ประสานกับรถจักรยานยนต์ Fino ที่วิ่งตรงมาเรื่อยๆ
โดยที่คนขับรถจักรยานยนต์มัวแต่หันไปมองด้านขวามือตามที่คนซ้อนท้ายชี้พร้อมๆกับการพูดคุยกัน
ไม่หันมาทางข้างหน้าที่มีรถยนต์ที่จอดอยู่ริมถนน
ทันใดนั้นคนขับรถยนต์ก็ตระหนักว่า รถจักรยานยนต์พุ่งตรงมาที่รถของเขา เขาจึงกดแตรไป ๑ ครั้ง เสียงแตรรถยนต์ดังกังวาน แต่นั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถจักยานยนต์วิ่งมาถึงด้านหน้าของรถยนต์ ด้วยเสียงแตรคนขับรถจักรยานยนต์หันมาเห็นแล้วรีบหักรถเบี่ยงไปด้านขวา ทำให้ขอบกระบังหน้ารถจักรยานยนต์เฉี่ยวกับกันชนด้านหน้ารถยนต์ก่อนจะเสียหลักล้มลงไป ทั้งคนขับและคนนั่งซ้อนล้มไปพร้อมกับรถ แขนขาถลอกมีบาดแผลเล็กน้อย คนขับรถยนต์ก็ออกมาจากรถ ร่วมกับคนเห็นเหตุการณ์ช่วยพาคนเจ็บไปพักบนทางเท้า
ทันใดนั้นคนขับรถยนต์ก็ตระหนักว่า รถจักรยานยนต์พุ่งตรงมาที่รถของเขา เขาจึงกดแตรไป ๑ ครั้ง เสียงแตรรถยนต์ดังกังวาน แต่นั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถจักยานยนต์วิ่งมาถึงด้านหน้าของรถยนต์ ด้วยเสียงแตรคนขับรถจักรยานยนต์หันมาเห็นแล้วรีบหักรถเบี่ยงไปด้านขวา ทำให้ขอบกระบังหน้ารถจักรยานยนต์เฉี่ยวกับกันชนด้านหน้ารถยนต์ก่อนจะเสียหลักล้มลงไป ทั้งคนขับและคนนั่งซ้อนล้มไปพร้อมกับรถ แขนขาถลอกมีบาดแผลเล็กน้อย คนขับรถยนต์ก็ออกมาจากรถ ร่วมกับคนเห็นเหตุการณ์ช่วยพาคนเจ็บไปพักบนทางเท้า
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง
ตำรวจก็มาตรวจที่เกิดเหตุตามที่มีคนแจ้ง ยึดใบขับขี่จากคนขับรถยนต์ บอกให้ขับรถไปจอดที่สถานีตำรวจพร้อมยึดกุญแจรถไว้ ขณะที่คนขับรถจักรยานยนต์และคนซ้อนท้ายได้ถูกพาตัวไปรักษาโดยรถกู้ภัย
ต่อมาอีกประมาณ ๒ เดือน กลายเป็นว่าคนขับรถยนต์ถูกตำรวจแจ้งข้อหาขับรถประมาท
ทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส
เพราะคนขับรถจักรยานยนต์ดันได้รับใบรับรองแพทย์ว่าหน้าแข้งซ้ายหัก(หักได้ยังไง?ตอนช่วยกันอุ้มไม่เห็นว่าจะหัก)
และคนขับรถจักรยายนต์กล่าวหาว่า รถยนต์ขับเลี้ยวขวามาหยุดกะทันหัน
ทำให้รถจักรยานยนต์หยุดไม่ทันจึงเกิดการเฉี่ยวชนขึ้น
แถมตำรวจยังไม่รับแจ้งความจากคนขับรถยนต์ ที่พยายามต่อสู้คดีว่ารถจักรยานยนต์วิ่งมาเฉี่ยวชนรถยนต์ที่จอดอยู่ โดยอ้างว่าเป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน
คนขับรถยนต์ถามตำรวจว่า
มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อะไรที่พิสูจน์ว่าเขาทำผิดตามข้อกล่าวหา ตำรวจบอกว่าไม่มี...แต่สันนิษฐานเอา คนขับรถยนต์ก็แย้งว่า "ผมเรียนกฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามา การจะเอาข้อสันนิษฐานมาฟ้องคนในความผิดอาญา
เป็นวิธีที่ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความอาญา...ฯลฯ" ตำรวจก็อ้างว่า ตำรวจมีอำนาจทำได้ (??? เอากะมัน)
อีก ๑ เดือนต่อมา คนขับรถยนต์โดนตำรวจส่งให้อัยการส่งฟ้องต่อศาล โดยอัยการบรรยายฟ้องใส่ร้ายให้รุนแรงกว่าเดิม เพิ่มเติมว่า "...ขับรถเลี้ยวขวาโดยไม่ชะลอความเร็ว-ปราศจากสำนึก ทั้งที่ควรจะรู้ว่า...บลาๆๆๆ ฯลฯ" คนขับรถยนต์ถูกส่งฟ้องโดนกักขังที่ใต้ถุนศาลครึ่งวัน กว่าจะรับการประกันตัวด้วยยื่นเงินสด ๖ หมื่นบาท
อีก ๑ เดือนต่อมา คนขับรถยนต์โดนตำรวจส่งให้อัยการส่งฟ้องต่อศาล โดยอัยการบรรยายฟ้องใส่ร้ายให้รุนแรงกว่าเดิม เพิ่มเติมว่า "...ขับรถเลี้ยวขวาโดยไม่ชะลอความเร็ว-ปราศจากสำนึก ทั้งที่ควรจะรู้ว่า...บลาๆๆๆ ฯลฯ" คนขับรถยนต์ถูกส่งฟ้องโดนกักขังที่ใต้ถุนศาลครึ่งวัน กว่าจะรับการประกันตัวด้วยยื่นเงินสด ๖ หมื่นบาท
เข้าเดือนที่ ๖ ศาลนัดมาเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์ ๒ ครั้ง เพราะคนขับรถจักรยานยนต์ที่รู้ตัวว่าผิดไม่รับหมายศาล-ไม่มาศาล
ส่วนคนขับรถยนต์รับหมายและมาศาลตามนัดทุกครั้ง พร้อมทั้งปฏิเสธข้อกล่าวหา
ผู้พิพากษากล่าวกับจำเลย(คนขับรถยนต์)โดยอ้างข้อกฎหมายว่า คนขับรถทุกคนทำผิดกฎจราจรไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง
ดังนั้น จำเลยควรรับสารภาพ แล้วศาลจะลดโทษให้
พร้อมทั้งชักแม่น้ำทุกสายที่คิดได้(ไม่ใช่แค่ ๕ สาย) ทั้งข่มขู่ว่าถ้าไม่สารภาพ
เมื่อเข้าสู่การพิจารณาคดี หากศาลไม่เชื่อคำให้การของจำเลย
ศาลจะลงโทษจำเลยให้ชดใช้ค่าเสียหายและสั่งจำคุกโดยไม่รอลงอาญา
คนขับรถก็ปฏิเสธเหมือนเดิมเพราะตัวเองหยุดรถอยู่เฉยๆ ไม่ได้เลี้ยวตามที่อัยการบรรยายฟ้อง หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตามฟ้องก็ไม่มี มีแต่รอยสีรถจักยานยนต์ที่ครูดไปบนกันชนของรถยนต์ที่แสดงว่ารถจักยานยนต์เฉี่ยวชนรถยนต์ อีกทั้งหากรับสารภาพ คู่กรณีจะใช้เป็นเหตุผลฟ้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายเป็นเรือนแสนได้ สุดท้ายผู้พิพากษาซึ่งออกอาการหัวเสียมาก สรุปว่า "...ตามใจ ที่ผ่านมาศาลไม่ได้บังคับให้รับสารภาพนะ" คนขับรถยนต์ก็ได้แค่คิดในใจว่า "เออ มึงไม่ได้บังคับ แต่หลอกล่อและข่มขู่กูให้รับสารภาพเลยละ"
คนขับรถก็ปฏิเสธเหมือนเดิมเพราะตัวเองหยุดรถอยู่เฉยๆ ไม่ได้เลี้ยวตามที่อัยการบรรยายฟ้อง หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตามฟ้องก็ไม่มี มีแต่รอยสีรถจักยานยนต์ที่ครูดไปบนกันชนของรถยนต์ที่แสดงว่ารถจักยานยนต์เฉี่ยวชนรถยนต์ อีกทั้งหากรับสารภาพ คู่กรณีจะใช้เป็นเหตุผลฟ้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายเป็นเรือนแสนได้ สุดท้ายผู้พิพากษาซึ่งออกอาการหัวเสียมาก สรุปว่า "...ตามใจ ที่ผ่านมาศาลไม่ได้บังคับให้รับสารภาพนะ" คนขับรถยนต์ก็ได้แค่คิดในใจว่า "เออ มึงไม่ได้บังคับ แต่หลอกล่อและข่มขู่กูให้รับสารภาพเลยละ"
ผ่านไปอีกเดือน มาถึงขั้นตอนนัดพร้อม
คู่กรณีคือคนขับรถจักรยานยนต์ที่ไม่รับหมายศาลก็ไม่มาศาลเหมือนอย่างเคย
ผู้พิพากษาคนใหม่ก็เริ่มด้วยอธิบายว่าถ้าไม่มีหลักฐานว่าจำเลยทำผิด
ศาลก็จะยกฟ้องจำเลย พูดไปได้ไม่กี่คำก็มาแนวทางเดียวกันกับผู้พิพากษาชั้นสมานฉันท์
คือบอกว่าคนขับรถทุกคนทำผิดกฎจราจร...ฯลฯ คนขับรถยนต์ก็ไม่ยอมรับ
ผู้พิพากษาซึ่งไม่รู้ว่ามีหน้าที่อะไรกันแน่ก็ใช้วิธีใหม่
พูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า "ขอให้จำเลยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม ไม่ต้องสนใจว่าใครถูก-ใครผิด
ยอมรับสารภาพแล้ววางเงินบรรเทาความเสียหายตามสมควร
แล้วศาลจะตัดสินลดโทษให้..." และยังขู่สำทับว่า ถ้าศาลไม่เชื่อคำให้การของจำเลย
ศาลจะตัดสินลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา
คนขับรถตอบว่าเขามีมนุษยธรรม-มีน้ำใจ แต่ไม่ค่อยมีเงินและต้องซ่อมรถตัวเองไปหมื่นกว่าบาทแล้วด้วย จึงขอวางเงิน ๕,๐๐๐บาท แล้วรับสารภาพไป ก่อนจะออกไปธนาคารถอนเงินมาวางเป็นค่าบรรเทาความเสียหายกับศาล พร้อมกับเล่าให้พนักงานธนาคารฟังถึงสิ่งที่ประสบมา พนักงานธนาคารก็เล่าประสบการณ์ว่า ตัวเองกับญาติก็เคยโดนข่มขู่มาแบบเดียวกัน นี่แหละศาลกาฬประเทศ
คนขับรถตอบว่าเขามีมนุษยธรรม-มีน้ำใจ แต่ไม่ค่อยมีเงินและต้องซ่อมรถตัวเองไปหมื่นกว่าบาทแล้วด้วย จึงขอวางเงิน ๕,๐๐๐บาท แล้วรับสารภาพไป ก่อนจะออกไปธนาคารถอนเงินมาวางเป็นค่าบรรเทาความเสียหายกับศาล พร้อมกับเล่าให้พนักงานธนาคารฟังถึงสิ่งที่ประสบมา พนักงานธนาคารก็เล่าประสบการณ์ว่า ตัวเองกับญาติก็เคยโดนข่มขู่มาแบบเดียวกัน นี่แหละศาลกาฬประเทศ
ศาลสั่งให้จำเลยไปรายงานตัวที่สำนักงานคุมประพฤติ
คนขับรถยนต์โดนถ่ายรูปทำประวัติอาชญากร โดนสอบปากคำ
สุดท้ายก็บอกว่าที่รับสารภาพเพราะกลัวอาจจะติดคุกได้ถ้าไปทำให้ศาลไม่พอใจ
แล้วเล่าให้เจ้าหน้าที่สำนักงานคุมประพฤติฟังว่าผู้พิพากษาพูดยังไง?
เจ้าหน้าที่คุมประพฤติก็ทำหน้าแปลกใจว่า ศาลพูดแบบนั้นหรือ?
เป็นเขาก็คงต้องรับสารภาพเหมือนกัน ไม่กล้าเสี่ยง
พอถึงนัดวันรับฟังคำพิพากษา
ผู้พิพากษาที่ไม่รู้ไปโดนใครตำหนิมา ขึ้นบัลลังก์ก็ถามจำเลยว่า
ที่สารภาพเพราะกลัวศาลจะไม่พอใจหรือ?
คนขับรถยนต์ครุ่นคิดอยู่นานเพราะไม่แน่ใจว่าถ้าตอบไม่ถูกใจ ภัยอันใดจะเกิดขึ้น?
สุดท้ายก็ยืดอกยอมรับว่าใช่ครับ ผู้พิพากษาก็รำพึงรำพันว่า "ถ้าไม่พูดว่า หากศาลไม่เชื่อคำให้การของจำเลยจะไม่บรรเทาโทษให้ แล้วจะให้พูดยังไง?
เพราะการที่ศาลไม่เชื่อคำให้การ แสดงว่าจำเลยกระทำผิด"
ฝ่ายคนขับรถยนต์บอกว่า " ถ้าท่านจำได้
ตอนเรียนมหา'ลัยปีแรก
เราจะต้องเรียนวิชาตรรกวิทยา ตัวอย่างหนึ่งที่ตำรายกมาอ้างคือ ฝนตกถนนเปียก แต่ถนนเปียกอาจไม่ใช่เพราะฝนตก
ศาลไม่เชื่อคำให้การของจำเลยก็เป็นดุลพินิจในใจของศาล
ส่วนข้อเท็จจริงจำเลยอาจไม่ได้กระทำผิด" (คิดในใจว่า ประเด็นสำคัญคือคำพูดว่า
"ไม่ต้องสนใจว่าใครถูก-ใครผิด" ต่างหาก แล้วจะมีศาลไว้ทำไม?
ผู้พิพากษาได้รับเงินเดือนเป็นแสนได้ยังไง?) แล้วศาลก็สั่งนัดพร้อมใหม่อีกครั้ง ใน ๒ เดือนข้างหน้า
แล้วคดีก็ข้ามถึงปีถัดไป กว่าจะเริ่มกระบวนการก็ปาเข้าไป ๑๐:๓๐ น. (ตามนัดหมายคือ ๙:๐๐ น.)
คราวนี้มีผู้พิพากษาหัวหน้าคณะมาร่วมด้วย(จึงมีผู้พิพากษาเพิ่มเป็น ๒ คน)
คนขับรถจักรยานยนต์ก็ไม่รับหมายและไม่มาศาลเหมือนเช่นทุกครั้ง
ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะเกริ่นด้วยการถามจำเลย(คนขับรถยนต์)ว่า
การเป็นคดีความนี่เสียเวลาประกอบอาชีพใช่ไหม? ยามนอนต้องเอามือก่ายหน้าผากใช่ไหม?...ฯลฯ
คนขับรถยนต์ก็บอกว่าใช่ กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาผมกังวลมาก เพราะไม่ได้ทำผิดแต่ถูกฟ้อง
คนทำผิดกลับไม่ถูกฟ้อง...ฯลฯ
ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะก็บอกว่า "คนขับรถทุกคนต้องทำผิดกฎจราจรไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง...ศาลไม่ได้บังคับนะ...ฯลฯ(มาแนวเดียวกันอีกละ) เมื่อคู่กรณีไม่มาศาลอาจไม่ใช่ว่าเพราะเขาทำผิด" คนขับรถยนต์พูดว่า "แต่เขาไม่เคยมาศาลสักนัดเลยนะครับ แถมยังไม่ยอมรับหมายศาลด้วย"
ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะบอกว่า "การพิจารณาคดีลับหลังคู่กรณีอาจมีข้อโต้แย้งได้ แต่ว่ามีวิธียุติคดีแบบง่ายๆและไม่เสียเวลา(เพราะคู่กรณีไม่มาศาล ๖ นัดแล้ว) แต่จำเลยต้องรับสารภาพ แล้วให้ตำรวจโทรศัพท์ขอคำยืนยันจากคู่กรณีว่า ไม่ติดใจเอาความเรื่องโทษทางอาญาและความเสียหายทางแพ่ง ศาลจะตัดสินให้จำเลยเสียค่าปรับแค่หลักร้อยหลักพัน ไม่ต้องถูกติดคุก-ไม่ต้องคุมประพฤติ-ไม่ต้องเสียเงินชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนเงินประกันตัวกับเงินบรรเทาความเสียหายที่เคยวางไว้ ก็ทำเรื่องขอรับคืนไปในวันนี้เลย ตกลงไหม? หรือจะสู้คดีต่อไป? แต่ถ้าศาลเห็นว่าทำผิดคุณต้องติดคุกนะ...ฯลฯ"(ขู่อีกละ)
คนขับรถยนต์ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดแน่นอน พร้อมแสดงหลักฐานที่เตรียมมา และจะยอมรับสารภาพแต่ขอให้ศาลปรับหลักร้อย ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะแสดงความไม่พอใจ บอกว่า "อย่ามาละเมิดอำนาจศาล..."(อ้าว?)
คนขับรถยนต์บอกว่า "เมื่อกี้นี้ท่านเพิ่งบอกว่าเสียค่าปรับแค่หลักร้อยหลักพัน ผมจึงขอให้ท่านปรับหลักร้อยเพราะผมไม่ได้ทำผิด แต่ยอมรับสารภาพเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาทุกฝ่าย" ผู้พิพากษาฯบอกว่า "นี่ศาลนะ ไม่ใช่ร้านขายของ จำเลยไม่มีสิทธิ์มาต่อรอง..."(เออ..เอากะมันสิ)
ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะก็บอกว่า "คนขับรถทุกคนต้องทำผิดกฎจราจรไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง...ศาลไม่ได้บังคับนะ...ฯลฯ(มาแนวเดียวกันอีกละ) เมื่อคู่กรณีไม่มาศาลอาจไม่ใช่ว่าเพราะเขาทำผิด" คนขับรถยนต์พูดว่า "แต่เขาไม่เคยมาศาลสักนัดเลยนะครับ แถมยังไม่ยอมรับหมายศาลด้วย"
ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะบอกว่า "การพิจารณาคดีลับหลังคู่กรณีอาจมีข้อโต้แย้งได้ แต่ว่ามีวิธียุติคดีแบบง่ายๆและไม่เสียเวลา(เพราะคู่กรณีไม่มาศาล ๖ นัดแล้ว) แต่จำเลยต้องรับสารภาพ แล้วให้ตำรวจโทรศัพท์ขอคำยืนยันจากคู่กรณีว่า ไม่ติดใจเอาความเรื่องโทษทางอาญาและความเสียหายทางแพ่ง ศาลจะตัดสินให้จำเลยเสียค่าปรับแค่หลักร้อยหลักพัน ไม่ต้องถูกติดคุก-ไม่ต้องคุมประพฤติ-ไม่ต้องเสียเงินชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนเงินประกันตัวกับเงินบรรเทาความเสียหายที่เคยวางไว้ ก็ทำเรื่องขอรับคืนไปในวันนี้เลย ตกลงไหม? หรือจะสู้คดีต่อไป? แต่ถ้าศาลเห็นว่าทำผิดคุณต้องติดคุกนะ...ฯลฯ"(ขู่อีกละ)
คนขับรถยนต์ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดแน่นอน พร้อมแสดงหลักฐานที่เตรียมมา และจะยอมรับสารภาพแต่ขอให้ศาลปรับหลักร้อย ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะแสดงความไม่พอใจ บอกว่า "อย่ามาละเมิดอำนาจศาล..."(อ้าว?)
คนขับรถยนต์บอกว่า "เมื่อกี้นี้ท่านเพิ่งบอกว่าเสียค่าปรับแค่หลักร้อยหลักพัน ผมจึงขอให้ท่านปรับหลักร้อยเพราะผมไม่ได้ทำผิด แต่ยอมรับสารภาพเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาทุกฝ่าย" ผู้พิพากษาฯบอกว่า "นี่ศาลนะ ไม่ใช่ร้านขายของ จำเลยไม่มีสิทธิ์มาต่อรอง..."(เออ..เอากะมันสิ)
คนขับรถยนต์ทั้งโดนขู่โดนหลอกล่อก็คิดว่า
ระดับผู้พิพากษาหัวหน้าคณะลงทุนมาพูดเองแบบนี้ เห็นทีจะไม่รับสารภาพไม่ได้แล้ว
เพราะท่าทางเอาจริงเอาจังและวางอำนาจมาก การแสดงออกนั้นชัดแจ้งว่า ไม่ต้องการพิจารณาคดีตามปกติ ขืนสู้คดีต่อไปจะทำให้ผู้พิพากษาหมั่นไส้ไม่พอใจ ผลร้ายจะตามมาจึงไม่อยากเสี่ยง จำใจยอมรับสารภาพไป
รอเสร็จกระบวนการระหว่างผู้พิพากษากับพนักงานพิมพ์คำพิพากษา ผู้พิพากษาก็อ่านคำพิพากษาว่า "จำเลยรับสารภาพผิดตามฟ้อง ศาลตัดสินลงโทษจำคุก ๒ ปี ปรับ ๖ พันบาท แต่จำเลยรับสารภาพศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก ๑ ปี ปรับ ๓ พันบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา ๒ ปี...ฯลฯ"(อ้าว??? ไหนเมื่อกี้ตอนตกลงกัน มึงบอกว่าจะไม่มีโทษจำคุก??? เวรละ...)
รอเสร็จกระบวนการระหว่างผู้พิพากษากับพนักงานพิมพ์คำพิพากษา ผู้พิพากษาก็อ่านคำพิพากษาว่า "จำเลยรับสารภาพผิดตามฟ้อง ศาลตัดสินลงโทษจำคุก ๒ ปี ปรับ ๖ พันบาท แต่จำเลยรับสารภาพศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก ๑ ปี ปรับ ๓ พันบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา ๒ ปี...ฯลฯ"(อ้าว??? ไหนเมื่อกี้ตอนตกลงกัน มึงบอกว่าจะไม่มีโทษจำคุก??? เวรละ...)
เสร็จแล้วผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ(ยังมีหน้า)ถามว่า
"จำเลยมีอะไรติดใจคำตัดสินไหม?(ถามว่ากล้าติดใจไม๊?จะดีกว่านะท่าน) โลกเราก็เป็นแบบนี้เอง
บางครั้งเราไม่ได้ทำผิดแต่ก็ต้องยอมรับผิด-ยอมเสียเงินให้คนที่เขาบาดเจ็บไป
เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำมาหากิน...ฯลฯ"
คนขับรถยนต์ตอบว่า "ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจดี โลกเราก็เป็นแบบนี้เอง"(คิดในใจ...รวมทั้งศาลด้วย ภายใน ๒ ปีถ้ากูเผลอไปทำผิดอาญา กูอาจจะต้องติดคุก ๑ ปี ตามที่โดนรอลงอาญา...เฮงซวยเลย)
คนขับรถยนต์ตอบว่า "ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจดี โลกเราก็เป็นแบบนี้เอง"(คิดในใจ...รวมทั้งศาลด้วย ภายใน ๒ ปีถ้ากูเผลอไปทำผิดอาญา กูอาจจะต้องติดคุก ๑ ปี ตามที่โดนรอลงอาญา...เฮงซวยเลย)
เสร็จกระบวนการพิจาณาคดี
คนขับรถยนต์ไปขอรับเงินประกันและเงินบรรเทาความเสียหายคืน แต่กลายเป็นว่า
เจ้าหน้าที่คลังบอก "ตามระเบียบแล้วเงินบรรเทาความเสียหายจะขอรับคืนไม่ได้
หากคู่กรณีไม่ประสงค์จะรับเงินนี้ ต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไม่ใช่ทางโทรศัพท์ ถึงจะทำในขั้นตอนพิจารณาคดีก็ใช้ไม่ได้ แล้วเงินก็จะตกเป็นของแผ่นดินไม่ใช่คืนให้คุณ คุณอยากวางเงินเองทำไมละ"
คนขับรถก็แย้งว่า "ผมวางเงินตามที่ศาลบอก แล้วศาลเพิ่งยื่นเงื่อนไขคืนเงินฯลฯ เพื่อให้ผมยอมรับสารภาพในชั้นพิจารณาคดีเมื่อกี้นี้เอง..." เจ้าหน้าที่คลังก็เอาเรื่องไปถามผู้พิพากษาหัวหน้าศาล
คนขับรถก็แย้งว่า "ผมวางเงินตามที่ศาลบอก แล้วศาลเพิ่งยื่นเงื่อนไขคืนเงินฯลฯ เพื่อให้ผมยอมรับสารภาพในชั้นพิจารณาคดีเมื่อกี้นี้เอง..." เจ้าหน้าที่คลังก็เอาเรื่องไปถามผู้พิพากษาหัวหน้าศาล
แล้วก็ถือบันทึกกลับมา
เขียนด้วยลายมือชนิดที่ดูยังไงก็แค่คล้ายๆตัวอักษรไทย(แต่เจ้าหน้าที่คลังสามารถอ่านออก)
ว่า "ให้เจ้าหน้าที่ส่งหมายให้คู่กรณีมารับเงินภายใน ๗
วัน...ฯลฯ"
คนขับรถยนต์ก็อ้างคำพิพากษา โต้แย้งกับเจ้าหน้าที่คลังอยู่อีกนาน ว่าแบบนี้มันขัดกันกับคำพิพากษา...ฯลฯ เจ้าหนาที่คลังก็บอกว่า "ระเบียบเป็นแบบนี้ ใครให้คุณไปรับสารภาพละ ทำไมไม่สู้คดีไปเลย หัวหน้าศาลสั่งมาแบบนี้ คุณไปเถียงเองสิ...ฯลฯ"
คนขับรถยนต์ก็ได้แต่ส่ายหัวว่า "ขนาดผู้พิพากษาหัวหน้าคณะผมยังไม่กล้า แล้วใครจะไปกล้าขัดใจหัวหน้าศาล...คำพูดของคนในศาลกะล่อนแบบนี้ทุกคนหรือไง? เชื่อไม่ได้เลย..."(เวรจริงๆ)
คนขับรถยนต์ก็อ้างคำพิพากษา โต้แย้งกับเจ้าหน้าที่คลังอยู่อีกนาน ว่าแบบนี้มันขัดกันกับคำพิพากษา...ฯลฯ เจ้าหนาที่คลังก็บอกว่า "ระเบียบเป็นแบบนี้ ใครให้คุณไปรับสารภาพละ ทำไมไม่สู้คดีไปเลย หัวหน้าศาลสั่งมาแบบนี้ คุณไปเถียงเองสิ...ฯลฯ"
คนขับรถยนต์ก็ได้แต่ส่ายหัวว่า "ขนาดผู้พิพากษาหัวหน้าคณะผมยังไม่กล้า แล้วใครจะไปกล้าขัดใจหัวหน้าศาล...คำพูดของคนในศาลกะล่อนแบบนี้ทุกคนหรือไง? เชื่อไม่ได้เลย..."(เวรจริงๆ)
สุดท้าย คนขับรถยนต์ที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ก็ต้องกลับมานอนเอามือก่ายหน้าผากต่อไปอีก ๒ ปี จนกว่าจะครบกำหนดเวลารอลงอาญา และเสียความรู้สึกสุดๆที่โดนหลอก..ไม่อยากเชื่อถ้าไม่เจอกับตัวเองฯ
*เรื่องเล่า อย่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง*
๒๓ มกราคม
๒๕๕๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น