๏ ฝนตก ตั้งแต่เช้า...................................เมฆคลุมเคล้า ราวหน้าฝน
สิ้นศรี สุริยน......................................ฟ้ามืดมน พ้น(สุด)สายตา
๏ เข้าสู่ สัปดาห์สุดท้าย.............................ปีใหม่หมาย ใคร่โหยหา
(วัน)สิ้นปีเก่า ปรี่เข้ามา.......................เหมือนไร้ค่า อยากคลาไคล
๏ ลูกแมว(วัด) เพิ่งผ่านฝน(แรก).................(บางตัว)มิอาจทน ความหนาวได้
ล้มหาย ตายจากไป...........................บ้างเจ็บไข้ (อนาคต)ไม่แน่นอน
๏ จะมี สักกี่ตัว..........................................รอดพันพัว ถึงหน้าร้อน?
(จาก)สถิติ หลายปีก่อน......................(แมววัด)ค่อนข้างจะ อายุสั้น
๏ แต่จะมี (ลูก)แมวตัวใหม่.........................ถูกทิ้งไว้ ทดแทนกัน
เติบกล้า ก่อนอาสัญ...........................เห็นหลักธรรม์ เกิดปัญญา(ความรู้ความเข้าใจ)
๏ อนิจจัง แห่งสังขาร................................จะทรมาน (ผู้มี)เสน่หา
เกิด-แก่ แล(เจ็บป่วย)มรณา.................เป็นสัจจา ตลอดไป
๏ (แม้)ปรารถนา ละความทุกข์...................(จง)อย่าเป็นสุข กับ(การ)หลงใหล
ต่อสัง ขารใดๆ....................................ที่(มีความ)เสื่อมไป เป็นธรรมดา
๏ สร้างบุญ กุศลเจต..................................สละกิเลส และตัณหา
ระงับ สรรพเวทนา...............................สิ้นโศกา สงบเทอญฯ
๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๔
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
๓. มหาปรินิพพานสูตร (๑๖)
[๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ อีกหมวดหนึ่ง แก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับ- *พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบการงาน ไม่ยินดีแล้ว ในการงาน ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบการงาน อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่ง ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบการคุย ไม่ยินดีแล้ว ในการคุย ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบการคุย อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่ง ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบการนอนหลับ ไม่ยินดี แล้วในการนอนหลับ ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบการนอนหลับ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้ชอบคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ยินดี แล้วในความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ประกอบตามซึ่งความเป็นผู้ชอบความคลุกคลีด้วย หมู่ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ไม่ ลุอำนาจแก่ความปรารถนาอันลามก อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ ๖. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักเป็นผู้ไม่มีมิตรชั่ว ไม่มีสหายชั่ว ไม่คบคนชั่ว อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ ๗. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่ถึงความนอนใจในระหว่าง เพราะ การบรรลุคุณวิเศษเพียงขั้นต่ำ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ จักตั้งอยู่ในหมู่ภิกษุ และ หมู่ภิกษุจักสนใจในอปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ นี้ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญ อย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
.....
[๑๓๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์จะพึงปฏิบัติในมาตุคาม อย่างไร ฯ การไม่เห็น อานนท์ ฯ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อการเห็นมีอยู่ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ฯ การไม่เจรจา อานนท์ ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อต้องเจรจา จะพึงปฏิบัติอย่างไร ฯ พึงตั้งสติไว้ อานนท์ ฯ....[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น