ความงามที่มองเห็น ผ่านการมองด้านที่ตรงข้าม
ณ บัดนี้
ยามสนธยาได้มาเยือนแล้ว......
ใครต่อใครล้วนแน่วแน่ชะแง้ชะเง้อเหม่อมองไปยังปัฉฉิมทิศ
ซึ่งดวงอาทิตย์กำลังแสดงจินตลีลาแห่งรังสีศิลป์
ในวาระที่ท้องนภาผาดผ่องยองใย.....ด้วยไร้ริ้วรอยของปุยปอยเมฆ
การสรรเสกอเนกอนันต์แห่งสันสีรวีรงค์จึงดำเนินไปอย่างราบรื่น
สุวรรณรังสีมิเพียงมีเอกรงค์
แต่หากยังคงคลี่คลายกระจายแจกซึ่งสีแสงแตกต่างอย่างอลังการจากพื้นพสุธา......สู่ท้องฟ้าเบื้องบน
ณ จุดตัดระหว่างขอบฟ้าและปถพี
มีม่านฉากจากการมาร่วมสโมสรสันนิบาตของจามจุรีวนาลี
แสงทองที่ส่องสอดลอดรูฉลุที่มีลวดลายวิจิตรบรรจง
ส่งรงครังสีระยิบระยับไปตามจังหวะแห่งความเคลื่อนที่ของสุริยงศิลป์
ช่างงดงามเกินคำบรรยายใดๆ.....อันอาจจะพรรณนาขึ้นมาได้ในยามนี้
ที่เหล่าพ่อค้าวาณิชอาจนำมาประกอบการสรรเสริญเยินยอซึ่งอัญมณีของตน.....ต่อหน้าลูกค้า
เหนือขึ้นไปยังท้องนภาเบื้องบน
คือท้องฟ้าสีฟ้าสดใสไร้ละอองธุลีหรือสีแสงแรงรัตน์จากพระสุระ
ดั่งหนึ่งท้องพระโรงสูงส่งของทิพยวิมานเทวัญธานี
หากแม้นอาจมีผู้ซึ่งมิได้ติดต้องใจในมนตร์เสน่ห์แห่งสายัณห์สมัย
ได้หันกายและส่งสายตามองไปยังบูรพาทิศ
หรือหันหลังให้กับคณาบุคคลทั้งหลาย
กลับจะได้เยี่ยมยลซึ่งสถลศิลป์ศรีที่มิได้คาดหมายใดๆมาก่อน
คือ เมฆก้อนมหึมาอันปรากฏจากทิศทักษิณไปจวบจรดจนทิศอุดร
ทะลึ่งทะยานจากมวลไม้ชายป่า.....ขึ้นสูงตระหง่านปานกำแพงแห่งวรรษาฤดู
ฟ่องฟูดูราวกับเหล่าปุยปอยขาวของฝ้ายบริสุทธิ์.....อันแสนจะอ่อนนุ่ม
เมฆฝนที่คนเคยคุ้นว่ามีสีเทา-ดำ-ฉ่ำชุ่ม.........รุมเร้าด้วยสายฟ้าแลบแปรบปร่ากระแทกกระทั้น
หากเมื่อมองไปยังด้านข้างที่สั่งสมความมหึมา...หาใดเทียบเทียม
กลับปรากฏเป็นฉากขาวบริสุทธิ์สะอาดสดใส.....ปานประหนึ่งการเพิ่งย่างเข้าสู่วัย ๑๖ ขวบปีของดรุณีผู้สิริโฉม
ยิ่งยามเมื่อรงครังสีแห่งสายัณห์สมัยฉายฉาดพาดส่องต้องกระทบ
ยิ่งประสบสยบย่อต่อความบรรเจิดเพริศพราว.....ของสีชมพูสาวสวยรวยเสน่ห์
อ่อนหวานปานประหนึ่งนารีเพศผู้ปฏิเสธซึ่งการสัมผัสรัดร้อยจากเหล่าบุรุษผู้พรั่งพร้อมมายอมสยบ
เป็นสีชมพูแห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ความหมองหม่น..........จากมลทินใดๆในโลกียภพ
ความอัศจรรย์แห่งจินตลีลาของสุรียะรังสีนี้ ช่างวิจิตรงดงามเกินการจินตนาบรรยาย
เมื่อหวลหันมาถึงรำลึกถึงการสรรค์สร้างพรรณนา..........ซึ่งความงามแห่งสายัณห์สมัย
ของเหล่ากวีผู้นิพนธ์ไว้จากอดีตสมัยจนจวบปัจจุบัน
มิเคยเลยที่จะพบว่ามีกวีท่านใดได้สนใจใฝ่ฝันจะบรรยายความงดงามแห่งบูรพาทิศในยามสายัณห์สมัย
ฉันใดก็ฉันนั้น
คนเราทั้งหลายมักหมายมองส่องหาแต่ความงาม........แห่งความสุขสมหวังดังประสงค์
คนเราทั้งหลายมักหมายมองส่องหาแต่ความงาม........แห่งความสุขสมหวังดังประสงค์
ความสำเร็จเสร็จลงแห่งความอุตสาหพยายาม.......อันทำให้ได้บรรลุเป้าหมายที่ใฝ่ปอง
ยกย่องข้องติดรสชาติและความงดงาม...ปานประหนึ่งว่าหาใดเปรียบมิได้
หลงใหลใส่ใจในความภาคภูมิใจในความสามารถของตน.....อันส่งผลไปสู่ชัยชนะเหนืออริทั้งปวง
ใครเลยจะได้เคยจินตนาการสรรค์สร้าง
ถึงความงามของสิ่งตรงข้ามความสุขสมหวัง-ความสำเร็จและชัยชนะ
นั่นคือความงามของความอดทนอดกลั้น....จิตใจ-อารมณ์-ความรู้สึกและความปรารถนา
ในยามที่ต้องฟันฝ่าปัญหาอุปสรรค-ความยากลำบาก-ความขัดข้องหมองไหม้
ที่ทิ่มแทงหัวใจดุจเข็มแสนเล่มล้านเล่มอย่างไม่เต็มใจ
ใครเลยจะเคยยกย่องคุณค่าของความงามแห่งความอดทนอดกลั้น ข่มตนข่มใจ
เพื่อพาตนผ่านพ้นเภทภัยและอุปสรรคนานัปการ
เพื่อพาตนผ่านพ้นเภทภัยและอุปสรรคนานัปการ
จนสามารถขับดันศักยภาพแห่งตน...........ไปสู่ยอดสุดของผลสำเร็จเด็ดขาดและชัยชนะ
ใครเลยจะเคยสรรเสริญความปล่อยวาง....อาสวะ-ตัณหาและความกระหายใคร่อยาก...ในยามคับขัน
ปานประหนึ่งจะฉุดกระชากลากจูงวิญญาณ.....ออกไปเสียจากสังขารอันอ่อนแอนี้
ปานประหนึ่งจะฉุดกระชากลากจูงวิญญาณ.....ออกไปเสียจากสังขารอันอ่อนแอนี้
จนสามารถผ่านพ้นม่านหมอกที่มืดมิด.....ไม่เห็นวิถีหนทางข้างหน้าแม้ห่างเพียงเอื้อมมือ
แม้จะมิได้มีการประกาศเกียรติคุณแห่งพลานุภาพของความอดทนอดกลั้นอันยิ่งยวดนี้
แต่ก็ยังมีบางผู้บางคนที่สนใจใฝ่คิดถึงคุณูปการแห่งอุปการะของคุณธรรม.....ที่ยังคงถูกลืมอยู่บ้าง
ว่าเป็นความภาคภูมิใจของชีวิตที่ได้มีพลังดังกล่าวนี้....มาช่วยนำพาให้ผ่านพ้นวิกฤติชีวิตมาได้
และยืนหยัดอยู่ด้วยหัวใจเข้มแข็ง............จนมายืนอยู่บนสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ...กล่าวคือความสำเร็จ
ใครเลยจะได้เคยยกย่องชัยชนะเหนือจิตใจและตัวตนได้
ว่าสูงส่งประเสริฐ....เหนือชัยชนะใดๆทั้งหลายทั้งปวงในชีวิตหรือสากลโลก
นอกจาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ว่า
การชนะข้าศึกในสนามรบ พันของพันคน...จะประเสริฐอะไร
ชนะตนเพียงคนเดียวได้ นั้นจึงประเสริฐกว่า ฯ
๑๙ กันยายน ๒๕๕๓
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น