ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ความงามที่มองเห็น ผ่านการมองด้านที่ตรงข้าม

                            

ความงามที่มองเห็น ผ่านการมองด้านที่ตรงข้าม

ณ บัดนี้
ยามสนธยาได้มาเยือนแล้ว......
ใครต่อใครล้วนแน่วแน่ชะแง้ชะเง้อเหม่อมองไปยังปัฉฉิมทิศ
ซึ่งดวงอาทิตย์กำลังแสดงจินตลีลาแห่งรังสีศิลป์
ในวาระที่ท้องนภาผาดผ่องยองใย.....ด้วยไร้ริ้วรอยของปุยปอยเมฆ

การสรรเสกอเนกอนันต์แห่งสันสีรวีรงค์จึงดำเนินไปอย่างราบรื่น
สุวรรณรังสีมิเพียงมีเอกรงค์
แต่หากยังคงคลี่คลายกระจายแจกซึ่งสีแสงแตกต่างอย่างอลังการจากพื้นพสุธา......สู่ท้องฟ้าเบื้องบน

ณ จุดตัดระหว่างขอบฟ้าและปถพี
มีม่านฉากจากการมาร่วมสโมสรสันนิบาตของจามจุรีวนาลี
แสงทองที่ส่องสอดลอดรูฉลุที่มีลวดลายวิจิตรบรรจง
ส่งรงครังสีระยิบระยับไปตามจังหวะแห่งความเคลื่อนที่ของสุริยงศิลป์
ช่างงดงามเกินคำบรรยายใดๆ.....อันอาจจะพรรณนาขึ้นมาได้ในยามนี้
ที่เหล่าพ่อค้าวาณิชอาจนำมาประกอบการสรรเสริญเยินยอซึ่งอัญมณีของตน.....ต่อหน้าลูกค้า

เหนือขึ้นไปยังท้องนภาเบื้องบน
คือท้องฟ้าสีฟ้าสดใสไร้ละอองธุลีหรือสีแสงแรงรัตน์จากพระสุระ
ดั่งหนึ่งท้องพระโรงสูงส่งของทิพยวิมานเทวัญธานี

หากแม้นอาจมีผู้ซึ่งมิได้ติดต้องใจในมนตร์เสน่ห์แห่งสายัณห์สมัย
ได้หันกายและส่งสายตามองไปยังบูรพาทิศ
หรือหันหลังให้กับคณาบุคคลทั้งหลาย

กลับจะได้เยี่ยมยลซึ่งสถลศิลป์ศรีที่มิได้คาดหมายใดๆมาก่อน
คือ เมฆก้อนมหึมาอันปรากฏจากทิศทักษิณไปจวบจรดจนทิศอุดร
ทะลึ่งทะยานจากมวลไม้ชายป่า.....ขึ้นสูงตระหง่านปานกำแพงแห่งวรรษาฤดู
ฟ่องฟูดูราวกับเหล่าปุยปอยขาวของฝ้ายบริสุทธิ์.....อันแสนจะอ่อนนุ่ม

เมฆฝนที่คนเคยคุ้นว่ามีสีเทา-ดำ-ฉ่ำชุ่ม.........รุมเร้าด้วยสายฟ้าแลบแปรบปร่ากระแทกกระทั้น
หากเมื่อมองไปยังด้านข้างที่สั่งสมความมหึมา...หาใดเทียบเทียม
กลับปรากฏเป็นฉากขาวบริสุทธิ์สะอาดสดใส.....ปานประหนึ่งการเพิ่งย่างเข้าสู่วัย ๑๖ ขวบปีของดรุณีผู้สิริโฉม
ยิ่งยามเมื่อรงครังสีแห่งสายัณห์สมัยฉายฉาดพาดส่องต้องกระทบ
ยิ่งประสบสยบย่อต่อความบรรเจิดเพริศพราว.....ของสีชมพูสาวสวยรวยเสน่ห์
อ่อนหวานปานประหนึ่งนารีเพศผู้ปฏิเสธซึ่งการสัมผัสรัดร้อยจากเหล่าบุรุษผู้พรั่งพร้อมมายอมสยบ
เป็นสีชมพูแห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ความหมองหม่น..........จากมลทินใดๆในโลกียภพ

ความอัศจรรย์แห่งจินตลีลาของสุรียะรังสีนี้    ช่างวิจิตรงดงามเกินการจินตนาบรรยาย

เมื่อหวลหันมาถึงรำลึกถึงการสรรค์สร้างพรรณนา..........ซึ่งความงามแห่งสายัณห์สมัย
ของเหล่ากวีผู้นิพนธ์ไว้จากอดีตสมัยจนจวบปัจจุบัน
มิเคยเลยที่จะพบว่ามีกวีท่านใดได้สนใจใฝ่ฝันจะบรรยายความงดงามแห่งบูรพาทิศในยามสายัณห์สมัย

ฉันใดก็ฉันนั้น
คนเราทั้งหลายมักหมายมองส่องหาแต่ความงาม........แห่งความสุขสมหวังดังประสงค์
ความสำเร็จเสร็จลงแห่งความอุตสาหพยายาม.......อันทำให้ได้บรรลุเป้าหมายที่ใฝ่ปอง
ยกย่องข้องติดรสชาติและความงดงาม...ปานประหนึ่งว่าหาใดเปรียบมิได้
หลงใหลใส่ใจในความภาคภูมิใจในความสามารถของตน.....อันส่งผลไปสู่ชัยชนะเหนืออริทั้งปวง

ใครเลยจะได้เคยจินตนาการสรรค์สร้าง
ถึงความงามของสิ่งตรงข้ามความสุขสมหวัง-ความสำเร็จและชัยชนะ

นั่นคือความงามของความอดทนอดกลั้น....จิตใจ-อารมณ์-ความรู้สึกและความปรารถนา
ในยามที่ต้องฟันฝ่าปัญหาอุปสรรค-ความยากลำบาก-ความขัดข้องหมองไหม้
ที่ทิ่มแทงหัวใจดุจเข็มแสนเล่มล้านเล่มอย่างไม่เต็มใจ

ใครเลยจะเคยยกย่องคุณค่าของความงามแห่งความอดทนอดกลั้น ข่มตนข่มใจ
เพื่อพาตนผ่านพ้นเภทภัยและอุปสรรคนานัปการ
จนสามารถขับดันศักยภาพแห่งตน...........ไปสู่ยอดสุดของผลสำเร็จเด็ดขาดและชัยชนะ

ใครเลยจะเคยสรรเสริญความปล่อยวาง....อาสวะ-ตัณหาและความกระหายใคร่อยาก...ในยามคับขัน
ปานประหนึ่งจะฉุดกระชากลากจูงวิญญาณ.....ออกไปเสียจากสังขารอันอ่อนแอนี้
จนสามารถผ่านพ้นม่านหมอกที่มืดมิด.....ไม่เห็นวิถีหนทางข้างหน้าแม้ห่างเพียงเอื้อมมือ

แม้จะมิได้มีการประกาศเกียรติคุณแห่งพลานุภาพของความอดทนอดกลั้นอันยิ่งยวดนี้

แต่ก็ยังมีบางผู้บางคนที่สนใจใฝ่คิดถึงคุณูปการแห่งอุปการะของคุณธรรม.....ที่ยังคงถูกลืมอยู่บ้าง
ว่าเป็นความภาคภูมิใจของชีวิตที่ได้มีพลังดังกล่าวนี้....มาช่วยนำพาให้ผ่านพ้นวิกฤติชีวิตมาได้
และยืนหยัดอยู่ด้วยหัวใจเข้มแข็ง............จนมายืนอยู่บนสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ...กล่าวคือความสำเร็จ

ใครเลยจะได้เคยยกย่องชัยชนะเหนือจิตใจและตัวตนได้
ว่าสูงส่งประเสริฐ....เหนือชัยชนะใดๆทั้งหลายทั้งปวงในชีวิตหรือสากลโลก

นอกจาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ว่า
การชนะข้าศึกในสนามรบ พันของพันคน...จะประเสริฐอะไร
ชนะตนเพียงคนเดียวได้ นั้นจึงประเสริฐกว่า ฯ

๑๙ กันยายน ๒๕๕๓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น