ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้อความถึงหญิงคนรัก ๒ เรื่อง บริจาคโลหิต

               


ข้อความถึงหญิงคนรัก ๒ เรื่อง บริจาคโลหิต
ผู้เขียนขอนำเสนอผลงานอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเดินเรื่องในรูปของการส่งข้อความ ของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งส่งถึงหญิงสาวคนรัก ที่ต้องจากกันไปอยู่ต่างแดนเพื่อปฏิบัติภารกิจ (เอาเหตุการณ์จริงมาเรียบเรียงใหม่ให้อ่านเพลินๆ)

ที่รัก...จ้ะ

        น้องคงไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว......
        คงมีความสุขกับการทำงานเช่นเดิมนะจ้ะ เพราะ ท่านพุทธทาส ได้สอนเอาไว้ว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม จ้ะ
        ส่วนพี่..วันนี้ ขออู้งาน...(ล้อเล่น...) วันนี้พี่ไปบริจาคเลือดที่โรงพยาบาลจ้ะ ซึ่งอันที่จริง ครบกำหนดที่พี่จะต้องไปบริจาค มา ๒-๓ วันแล้วล่ะจ้ะ
        แต่เพราะ ๒-๓ วันที่ผ่านมา พี่นอนไม่ค่อยหลับ  คิดถึงน้องไงจ้ะ..คนดี....แล้วตัวเองคิดถึงเค้ารึเปล่า?
(ล้อเลียน แต่เนียนจริงจ้ะ....)
        เมือคืนนี้ พี่นอนเต็มอิ่มเลยล่ะ นอนตั้งแต่ ๓ ทุ่ม เพราะตั้งใจเอาไว้ว่า จะอย่างไรเสีย วันนี้ พี่ต้องไปบริจาคเลือดให้ได้  ไม่อยากเลื่อนเวลาอีกแล้ว
         พี่รู้ดีจ้ะ ว่า แม่คุณทูนหัวของตัวข้านี้(ลิเกเลย) เป็นห่วงพี่มาก แต่พี่ไม่ประมาทหรอกจ้ะ เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ว่า การนอนไม่พอ แล้วดันทุรังไปบริจาคเลือด รังแต่จะทำให้สุขภาพของเราทรุดโทรม เลือดที่ได้ให้ไป ก็ใช้ไม่ได้ (ยังไม่เข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ เอาไว้วันหลัง พี่จะถามมาให้จ้ะ)
         ไปถึงโรงพยาบาลตอน ๒ โมงครึ่ง วันนี้ ที่ตึกอุบัติเหตุ คนเต็มเช่นเคยจ้ะ ตึก OPDคนก็แน่นเอียด นี่แหละคือ ผลของนโยบายประชานิยม ที่นักการเมืองนำมาใช้ในประเทศไทย แต่คนต้นคิดเป็นหมอนะจ้ะ เห็นว่า ชื่อ "หมอหงวน" ท่านไปดูงานมาจากประเทศทางแถบยุโรป เลยนำมาเสนอให้นักการเมือง นักการเมืองพอเอาไปใช้ ก็อ้างว่า เป็นความคิดของตัวเอง ประชาชนที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ก็รักนักการเมืองเป็นการใหญ่ ชื่นชมยินดี ประหนึ่งเทพยดา ส่วนคนต้นคิดจริงๆ ปิดทองหลังพระ
         "หมอหงวน"นั้นได้ยินว่า ท่านเคยมาประจำโรงพยาบาลอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดของเรา ตั้งแต่ตอนจบใหม่ๆนะจ้ะ ....เฮ้อ...เห็นข่าวว่าท่านป่วยหนัก-อาจเสียชีวิตแล้ว...เสียดายจัง
        ที่ผ่านมา ก่อนจะมีนโยบายสุขภาพดีถ้วนหน้า หรือ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค หรือ บัตรทอง จำนวนหมอที่ลาออกไปทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนก็มากอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมีนโยดบายนี้ ยิ่งทำให้หมอลาออกมากยิ่งขึ้น ก็น้องลองคิดดูสิจ้ะ คนไข้แน่นยังกะมีงานเทศกาลทุกๆวัน หมอต้องดูแลคนไข้วันละนับไม่ไหว มีเวลาซักถามอาการแค่ไม่ ๒ นาที ก็ต้องตัดสินใจให้การวินิจฉัยโรคแล้ว ไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้ จะส่งผลถึงคุณภาพของการรักษาพยาบาลอย่างไรบ้างเหมือนกันจ้ะ
         พี่ยังตั้งข้อสังเกตว่า หมอที่มาให้การรักษาผู้ป่วยนอก เป็นหมอจบใหม่เสียเกือบทั้งหมด ไม่รู้หมอเก่า ไปทำอะไรเหมือนกัน? (ไอ้เรานี่ก็ประเภทเห็นอะไร เป็น..อดวิเคราะห์ไม่ได้)
          พอพี่ไปถึงห้องคลังเลือด วันนี้เป็นอีกวันที่ไม่มีคนมาบริจาคเลยจ้ะ ทั้งๆที่ ความต้องการเลือดมีมาก แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ไม่ใส่ใจที่จะมาบริจาคเลือด (ต่างจากประเทศตะวันตก) พี่ยังจำได้ว่า เมื่อครั้งที่พี่เริ่มบริจาคเลือดใหม่ๆ ตอนนั้น การมารับการรักษาโรค ต้องเสียเงิน เขาจึงล่อใจให้คนมาบริจาคเลือด โดยกำหนดเอาไว้ว่า ถ้าบริจาคเลือดถึง ๔ ครั้ง ก็มารับการรักษาโรคฟรี (โรงพยาบาลตามอำเภอถึงกับมีการแจกผ้าเช็ดตัวให้อีกด้วย)
          นอกจากนั้น ใครที่บริจาคถึง ๒๐ ครัง (ถ้าจำไม่ผิด) เมื่อต้องการนอนพักรักษาในห้องพิเศษ จะได้รับการลดค่าห้องอีก ๒๐ %ด้วย แต่ตอนนั้น คนก็ยังมาบริจาคเลือดน้อยอยู่ดี นั่นมันเป็นอดีตไปแล้วจ้ะ เดี๋ยวนี้ไม่มีนโยบายเช่นนั้นอีกแล้ว
          ในการบริจาคเลือด เราต้องชั่งน้ำหนักตัวก่อนจ้ะ แล้วก็ไปให้เจ้าหน้าที่วัดความดันเลือด-วัดชีพจร
แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะทำการบันทึกลงในสมุดประวัติของเราและบันทึกของแผนกคลังเลือดด้วยจ้ะ
           จากนั้น เราก็ต้องถูกเจาะที่ปลายนิ้วมือ แต่ก่อนเขาใช้เข็มชนิดที่ใช้เจาะเลือด แต่เดี๋ยวนี่ใช้เป็นเครื่องยิงเข็มแทน เพราะน้ำหนักมือของคนแทง ไม่ค่อยจะมาตรฐาน เมื่อเจาะปลายนิ้วมือแล้ว เจ้าหน้าที่จะเค้น ต้องใช้คำว่าเค้นเลยล่ะจ้ะ เค้นเอาเลือดให้หยดลงในขวดซึ่งบรรจุของเหลวสีฟ้าเข้ม (พี่ไม่ได้ถามว่าคืออะไร เดี๋ยวจะขอไปถามมาให้อีกครั้งจ้ะ ) ความเร็วของเลือดที่ตกลงสู่ก้นขวด จะบ่งบอกว่าเลือดของเรามีความเข้มข้นเพียงพอที่จะบริจาคหรือไม่? เพราะถ้าเข้มข้นไม่พอ ไม่เอาไปถ่ายให้คนป่วยนะจ้ะ
           สิ่งที่ส่งผลโดยตรงต่อความเข้มข้นของเลือดคือ การนอนหลับที่เพียงพอจ้ะ พี่ก็ไม่รู้เหตุผลทางวิชาการ ถามเจ้าหน้าที่ ก็ตอบไม่ได้ หรือขี้เกียจจะตอบก็ไม่ทราบ เพราะเบื่อคนบริจาคคนนี้เหลือเกิน ถามเก่งเป็นเด็กเพิ่งหัดพูดยังไงยังงั้น ถามกระทั่ง ระบบการบริหารจัดการเลือดในสต็อค (นี่ขนาดคนถามหล่อๆ เจ้าหน้าที่ยังขี้เกียจตอบ ถ้าเป็นตาสีตาสา มิโดนดุหรือนี่...?)
           พอผ่านการตรวจแล้ว เราก็ไปนอนเอกขเนก...รอหมอนวด เอ้ย...ไม่ใช่ (ล้อเล่นจ้ะตัวเอง เค้าไม่เคยเลยจริงๆ กับหมอนวดนั้น พี่ไม่กินเส้นอยู่แล้วจ้ะ โดนจับเส้นไม่ได้......?)
           เจ้าหน้าที่จะให้เลือกว่า จะเจาะที่แขนข้างไหน? พี่ให้เจาะที่แขนข้างซ้ายจ้ะ เพราะพี่ตีเทนนิสด้วยมือขวา เจาะข้างขวาไม่ได้ เดี๋ยวแผลหายช้า
            เจ้าหน้าที่จะเจาะที่ข้อพับด้วยเข็มสำหรับถ่ายเลือด เป็นเส้นเลือดดำจ้ะ เขาไม่เจาะเส้นเลือดแดง เพราะเลือดจะฉีดแรงเกินไป พอเจาะแล้ว เขาจะมีลูกบอลยาง ขนาดเท่าไข่ไก่มาให้เราบีบเป็นจังหวะ ประมาณว่า กระตุ้นให้เลือดไหลเร็วขึ้นจ้ะ
            ถุงเลือดที่ใช้ในประเทศไทย จะมีขนาด ๓๐๐ cc.จ้ะ ถ้าที่ประเทศตะวันตก เขาใช้ขนาด ๔๐๐ cc.จ้ะ เพราะคนตะวันตก มีขนาดตัวใหญ่กว่าคนไทย ต้องการเลือดมาก สามารถให้เลือดได้มาก แต่เจ้าหน้าที่เค้าก็บอกเหมือนกันว่า คนที่สูง ๖ ฟุตอย่างพี่ เป็นนักกีฬาเทนนิส บริจาดเท่าฝรั่งได้สบายๆจ้ะ นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไม พี่จึงเคยไปบริจาคทุก ๒ เดือนครึ่งไงจ้ะ
            ก็อย่างที่เคยเล่าให้น้องฟังมาก่อนว่า พี่คิดว่า อยากช่วยชีวิตคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ พี่จึงไปบริจาคทุกๆ ๒ เดือนครึ่งอยู่พักใหญ่ (ปกติ รอบการบริจาคคือ ๓ เดือนจ้ะ) จนเจ้าหน้าที่เขามารู้ว่า พี่บริจาคเกินกว่าที่กำหนดไว้ เลยห้ามพี่บริจาคก่อน ๓ เดือน วันเดียวก็ไม่ยอม พี่เป็นคนเดียวที่ทำอะไรห่ามๆอย่างนั้น ไม่เคยเจอมาก่อน เจ้าหน้าที่เขาบ่น
            การที่พี่ตั้งใจรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทั้งด้วยหลักโภชนาการ ทั้งการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ ทั้งการเล่นเทนนิส ทั้งฟิตเนสเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเม็ดเลือดแดง ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์แก่ตัวพี่เองเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยขน์แก่ผู้อื่นด้วย
            ชีวิตพี่...ไม่ได้มุ่งที่จะทำประโยขนืเพื่อตัวพี่และคนใกล้ชิดเท่านั้น แต่พี่ยังมีความมุ่งมั่น ที่จะให้ชีวิตของพี่นี้ เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่เพื่อนร่วมโลก แก่เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วย
            อุดมการณ์อันนี้ของพี่นี้เอง ที่ทำให้น้องประทับใจ และรักพี่ไงจ้ะ พี่จำได้ไม่รู้ลืมจ้ะ
            ธรรมชาติของร่างกาย จะสำรองเลือดไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยเก็บไว้ที่ม้าม การบริจาคเลือดนั้น เป็นการแบ่งเลือดในส่วนที่สำรองนั้น ให้คนอื่นไปใช้ช่วยชีวิตเขา เพราะถึงอย่างไร เราก็ยังไม่ได้ใช้ในขณะนั้น
             ธรรมดา การให้สิ่งของเป็นทาน ก็เป็นบุญ เป็นกุศลอยู่แล้ว นี่เราให้อวัยวะของเรา เพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น ยิ่งเป็นบุญเป็นกุศลมากกว่าการให้สิ่งของนัก
             แต่ผู้บริจาคเลือด ควรที่จะไม่ประมาท ควรดูแลสุขภาพของตนให้ดี ให้แข็งแรงเสียก่อน ก่อนที่จะคิดไปช่วยคนอื่น
             มาดูเวลา ดูเหมือนจะสายมากแล้ว เอาไว้คราวหน้า พี่จะนำเรื่องดีๆ มาเล่าให้แม่คุณทูนหัวสุดที่ love ได้รับฟังอีกนะจ้ะ
              ดูแลสุขภาพให้ดีนะจ้ะ ช่วงนี้ ที่นี่กำลังเปลี่ยนผ่านฤดูกาล จากฤดูฝน ไปสู่ฤดูหนาวอยู่จ้ะ ไม่มีใครมาคอยถามสุขภาพของพี่อย่างที่ผ่านมาเลย คิดถึงน้องจัง........คนดี.....
              ดูแลตัวเองให้ดีนะ......เค้าเป็นห่วง

                                                                  รักจ้ะ .....จุ้บๆๆๆ
                                                         
                                                         จาก คนเดิม  แต่ดีกว่าเดิม ๓๐๐ cc.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น