ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กลอนเปล่า : ในห้วงแห่งภวังค์ ท่ามกลางสายฝนในยามสนธยา




กลอนเปล่า : ในห้วงแห่งภวังค์ ท่ามกลางสายฝนในยามสนธยา


ดึกดื่นของคืนค่ำ............
.................................
นี่เป็นเวลาใดแล้ว...........?
มารูสึกตัวตื่น
ก็ด้วยคลื่นความชื้นระรื่นเรื่อ....
ไหลหลั่งอย่างเอื้อเฟื้อต้องเนื้อหนัง.....
เป็นพลังแห่งความเย็นชื้นรื่นรมย์ พรมพรายเข้ามาในห้องนอน....
ละอองไออ่อนชโลมไล้ใบหน้าชวนร่าเริง

เสียงซ่าๆกระทบโสต
เสียงฝนโจษกระทบใจ
จนการหลับใหลคลายจางห่างหายไปกับสายฝน
กลายเป็นรู้ตน รู้ตัว ทั่วพร้อมน้อมสติ
ตื่นขึ้นมาท่ามกลางราตรี พิรุณโรย.........
สายฝนประโปรยโรยรินไม่รุนแรง...........
ไม่มีแม้แสงสายฟ้า
ไม่มีแม้เสียงคำรามของท้องฟ้า

ท่ามกลางความมืดของคืนค่ำดำมืดอันเงียบสงัด
มีแต่เพียงเสียงสายฝน.....ปรนโปรย...โรยริน....จากห้วงนภา
สู่พื้นพสุธามิขาดสาย....................

ปล่อยใจให้ลอยไปกับสายฝน..........
ปล่อยตนให้จลไปกับสายน้ำ............
ปล่อยความรู้สึกนึกคิด ให้ติดไปกับสายลม..........
ปล่อยอารมณ์ให้อภิรมย์รื่นกับคืนค่ำอันฉ่ำชื้น
ปล่อยไป........ปล่อยไป........ปล่อยไป..............
จนหลับใหลลงไปอีกครั้ง..........


.........................................
เสียงครืนโครมที่โถมถา
ทำให้สติกลับคืนมาอีกครั้ง
เสียงฟ้าร้อง กึกก้อง ก้องกึก ครีกโครม
ประโลมประสานกังวานไกลไปกับเสียงสายฝน

ฝนยังไม่หยุดตกหรือนี่.....?
เสียงฟ้าร้องก้องมาถี่ๆ.....ถี่ๆ.....
ไหลจากขวาไปซ้าย.....
จากขวาไปซ้าย...........
จากขวาไปซ้าย...........
สำราญใจอย่างไม่อนาทรไปกับกาลเวลา
ว่าเป็นเวลา ตีสี่...ตีห้า...?
หรือเวลาใดแล้ว............

รับรู้แต่เพียงเสียงเจื้อยแจ้วแว่วหวานกังวานใส
ของนกอีแพรดแถบอกดำ ที่กำลังบรรเลงเพลงหวานเอ่ยเอื้อนแก่เพื่อนนก
ให้เพื่อนๆทั้งหลายได้รับรู้ว่า.....
เวลาฟ้าสางกำลังดำเนินมาใกล้จะถึง ณ ที่นี้แล้ว

เพียงหัวใจที่ล่องลอยไปอย่างไม่ใยดีต่อกาลเวลา..........
เสียงสกุณาสารพันธุ์ ต่างรื่นเริงบันเทิงบรรเลงเพลงโปรด........
สอดแทรกผสานกับเสียงหยดของหยาดฝน.......
ปะปนกับเสียงร่ำร้องก้องกึกคึกโครมโจมจากฟ้า....

ละอองชื้นเป็นคลื่นโถม ระดมไหลเข้ามาในห้องนอน
จนต้องฝืนซอนกายค่อยๆเคลื่อนไปปิดกระจกหน้าต่างอย่างขัดขืน
แล้วกลับคืนมานอนอ่อนกายปล่อยใจให้ไหลไปกับคามมืดชืดสงัด
ปราศจากความกระตือรือร้น........
ปล่อยตน....ปล่อยสำนึก....ปล่อย.....ผล็อยหลับไปอีกครั้ง

............................
ฟ้าสางแล้วหรือ......?
ฟ้าสางแล้วหรือ......?
แม้ยังหลับตา..........
แต่ก็กลับมามีสติสมประดี.....
อินทรีย์ที่สมบูรณ์ ย่อมจุนเจือเอื้อเฟื้อต่อการรับรู้.....
รับรู้ถึงอณูแห่งการเปลี่ยนผ่านของกาลเวลา...........
แม้ไม่ลืมตา.......

แม้ไม่ลืมตา.......
แต่ก็สามารถรู้ว่า....
ราตรีกำล้งอำลาอาลัย จากไปอย่างช้าๆ......

แม้ไม่ลืมตา.......
แต่สามารถรู้ว่า มีแสงอ่อนๆสีม่วงได้ล่วงล้ำค้ำคลุมเข้ากุมโลก....

แม้ไม่ลืมตา.......
แต่สามารถรับรู้ว่ารังสิมากำลังมาเยือนเพื่อนๆ......
เพื่อนสกุณา...เพื่อนพฤกษา...เพื่อนเมฆา....เพื่อนนภา......เพื่อนพสุธา.....

ได้เวลาตื่นนอนแล้ว....
แต่ใยสายพิรุณกลับรุนแรงขึ้นเล่า....?
สายฟ้าแลบแปลบปร่า
เสียงฟ้าคำรามครืนโครมประโคมก้องกึก
ท้องนภาก็ยิ่งฮึกโหมระดมฝน..............
จนเสียงสกุณาเหล่าวิหคเงียบหาย........
เหลือไว้แต่เพียงเสียงใสๆของเจ้านกอีแพรดน้อยผู้ไม่เคยถอยหนี
ยังคงปรีดีที่จะร่ำเพลงบรรเลงบันเทิงเถลิงศกโศลกสร้อยร้อยรสหวาน......

ตื่นนอนดีไหมหนอ....?
ตื่นนอนดีไหมหนอ.....?

...............................
ขอนอนต่ออีกสักครู่...เพื่ออยู่รับรู้ธรรมชาติวิถีก่อน......

นี่วันอะไร...?
นี่วัน..........?
วันจันทร์.....
หมดเวลานอนแล้ว.....

คืนนี้ค่อยมานอนต่อ...
และนอนในอีกหลายๆคืน.....ต่อๆไป.....ฯ

๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น