ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความสงบ ณ ริมห้วย ช่วยสร้างสติปัญญา



ความสงบ ณ ริมห้วย ช่วยสร้างสติปัญญา

      ยามเย็น...มาเยี่ยมเยือน.....
ดวงอาทิตย์เคลื่อน....เลื่อนคล้อยลอยลงต่ำ
เสร็จจากงานประจำผ่านไปอย่างไรข้อผิดพลาด
เดินเข้าวัด..ปฏิบัติสาธารณประโยชน์
แต่ยังไม่หมดเวลา ยังพอมีเพื่อแสวงหาความสงบ
ผ่อนคลายจากการไปท่องชายหาดริมห้วย.....

      เดินลัดเลาะลงไปตามทางที่เอียงลาดลงสู่หาด.....
ทางเดินดินลูกรังค้างขาดเพราะโดนน้ำฝนประดังหลั่งไหลจนดินกร่อนหายกลายเป็นร่อง
หินลูกรังเม็ดกลมๆเล็กๆไหลกอง เอกเขนกรวมกันที่ปลายทาง
สายฝนได้ฝากฝังจารึกรอยคลื่นดื่นเด่นแลเห็นเป็นรอยลอน ขจรแล

      สองข้างทางสะพรั่งแผ่....
แลเห็นใบหญ้าและยอดวัชพืชขึ้นดื่นดกรกเรื้อ
มวลหมู่แมลงต่างแข่งขันประชันกันอย่างเอื้อเฟื้อต่อเสียงดนตรีขับกล่อม
เหล่าปักษีวิหคพร้อมเพรียงเรียงล้อมซ้อมเสียงประสานกังวานก้องตามริมท้องห้วยด้วยซ่อนตนในป่าทึบ
เสียงมโหรีมีสืบคืบคลานตามกาลเวลาที่ลาลี

      ป่าจามจุรี มีมากมายหลายต้นจนนับไม่ไหว
เรียงเลาะเกาะห่างไกลไปตามสันดินริมห้วย ด้วยความมีอิสระเสรี งามสง่าสุดตาสาย
แม้ว่าหลายต้นจะยืนตายไร้เปลือก-ใบ ปรากฏกายขาวโพลนยามย่างสนธยา
แต่ทว่าต้นที่ยังยงเป็นอยู่ต่อไป ยังแผ่กิ่งก้านสานใบสยายออกไปอย่างไม่ยี่หระ
จามจุรียามนี้แม้มากมีน้ำฝน....ใยกิ่งใบยังคล้ายผลิบางห่างหนหายอย่างยามแล้ง....??
จนเมื่อเดินเข้าไปยืนอยู่ใต้ต้นยลแยงมองส่องขึ้นไปบนฟากฟ้า
เห็นเป็นช่องร่องรูอยู่กระจายระดาษดา จนเห็นสีแห่งท้องฟ้าระยับย้ายไปตามกิ่งใบที่หายห่าง...

      พระจันทร์ ณ วันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑
เล็ดลอดสอดส่องยองใยใสสีมีให้เห็นเป็นรูปเกือบกลม
ระดมประกายระยิบระยับลอดไล้ไปกับกิ่งใบของจามจุรี
แสงสว่างดั่งแววมณีสีสันตระการใสวาบวับจับจิตจับใจไกลกว่ายอดเพชรมงกุฎ
แสงจันทร์ใกล้วันเพ็ญเย็นดุจแสงเงินเกินกว่าท้องนภายามย่างสู่ราตรีจะหวงแหนเอาไว้เชยชมเองได้
ยิ่งยามที่ท้องนภาเร้นไร้ซึ่งปุยปอยสร้อยสายเมฆาอย่างสนธยาคืนนี้
ดวงจันทร์ช่างงามเยี่ยงแก้วมณีที่สรรค์สร้างจากห้วงสรวงสวรรค์

      แสงแห่งจันทร์นั้นแสนจะเยือกเย็นยิ่งนัก
จนเป็นเหตุให้เหล่ากวีต่างตกหลุมรักและภักดีมิเสื่อมคลายมาแต่ครั้งในอดีตจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
และอนาคต....มิเคยเปลี่ยนแปลงไป
ยิ่งในยามที่ดวงเดือนเคลื่อนคล้อยลอยกรายแฝงผ่านไปตามยอดไม้ใบพฤกษานานาพันธุ์
ยิ่งดลบันดาลนิรมิตให้ติดตาตรึงใจชวนไหลหลงและจงรักในความงดงามเย้ายวนใจยิ่ง

      ลำธารห้วยดูสวยงามสดใสในยามน้ำหลาก
ปีนี้มีน้ำมาก ฝนหลากไหล...........
แม้ยามนี้น้ำยังมิล้นหลั่งฝั่งตลิ่ง.......
แต่ก็เชี่ยวกรากยิ่งไกรจนใจสะพรั่น.....
กระแสชลข้นไหลไหวเลื่อนเคลื่อนละคนจนเกิดเกลียวคลื่นมื่นมุดผุดผันดันดูดสุดจะพรรณนา
รวดเร็วกรากกล้าเคว้งคว้างอย่างรุนแรง......

      กระแสน้ำได้ย้ำใจให้สำนึก ตรึกตรองถึงครรลองของสัจธรรมตามธรรมชาติ
......นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่คนเดียวข้างริมหาด......
จิตใจไหลไปกับคลองธรรมที่กระแสน้ำได้นำเสนอ.....
เผยเผยอให้ตระหนักฝักใจใฝ่คิดถึงสรรพชีวิตที่เคยเกิดมาบนผืนพิภพแห่งนี้
ต่างกรีดกราย-แก่-เจ็บ-ตาย-สุข-ทุกข์...ได้-สูญเสีย ฯลฯ เคลียคลอไปกับโลกธรรม
กี่รายต่อกี่ราย
กี่ล้านต่อกี่ล้าน
กี่ล้านล้านต่อกี่ล้านล้าน
ต่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อย่างไร้แก่นสารสาระ

      แต่โลกเท่านั้นที่ยังคงอยู่....และจะคงอยู่ตลอดไป....
อยู่เพื่อรองรับชีวิตใหม่ที่จะย่างกรายผ่านมา.....เพื่อผ่านไป....
คนแล้วคนเล่า.....รุ่นแล้วรุ่นเล่า.....
ตราบเท่าที่กาลเวลาและชีวิตยังไม่หยุดว่ายเวียนเปลี่ยนไปในกระแสวัฏฏ์
แม้แต่ตอนนี้ที่มีใครคนหนึ่งซึ่งมานั่งขีดเขียนบทกวีอยู่ที่ริมชายหาด...
ก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งยั้งวัยมิให้เหือดหายไปได้
ใกล้ความตายเข้าไป...ทีละน้อย...ทีละน้อย...

      อาทิตย์อัศดงแล้ว....
แสงสว่างวาวแววจากดวงไฟหลายๆดวงที่ถูกจุดจากบ้านเรือนที่ห่างไกล
เล็ดลอดพงไพรพุ่มไม้ริมห้วยด้วยความบรรเจิดเพริศแพร้วราวกับแก้วมณี
หลากสีสันทั้ง ส้ม,แดง,เหลือง,ขาว,นวล ฯลฯ
ราวกับจะจงใจตกแต่งพงไพรให้งดงามในยามสนธยา

      อากาศเย็นชื่นรื่นรมย์ชโลมกายให้สบายเข้าไปถึงในอุรา
สุริยาลับหายไปแล้ว.....
แสงเดือนยิ่งพราวแพรวแวววาวโดดเด่นเป็นศรีสง่างดงามยิ่งขึ้น
ท่ามกลางผืนนภาสีกรมท่าเข้ม

      ธรรมชาติที่สะอาดสงบ...
กลบกล่อมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านร่านรนทุรนทุรายให้สงบเย็น
อารมณ์ที่สงบ...ผ่อนคลาย...
ช่วยชำระจิตใจให้สงบ...งาม....

      ในยามที่อารมณ์และจิตใจใสสงบ...เย็น...
จนประสบพบเห็นว่า มลทิน-กิเลสทั้งหลายที่เคยดิ้นรน อลหม่านพลุ่นพล่าน
พลอยตกตะกอนนอนแน่นิ่งไปด้วย.....
ช่วยอำนวยอวยชัยให้ปัญญาได้จุดบรรเจิดเกิดความโชติข่วงล่วงกระจ่าง
เกื้อกูลต่อการพินิจพิจารณ์สรรค์สร้างจินตนาการอันพิสุทธิ์.....

      จิตใจที่ใสสุดได้จุติสมาธิให้ผลิบานทะยานแข็ง
เป็นสมาธิที่กล้าแกร่ง...ปราศจากการแต่งปรุงอารมณ์
ย่อมเหมาะสมแก่การวิปัสสนา-พิจารณาธรรม
ความถูก / ผิด , ควร / ไม่ควร ,จริง / เท็จ , เหตุ - ผล ฯลฯ
สรรพปัญหาที่เคยอับจนหม่นใจมาหลายเวลาหาทางออกไม่ได้.....
พลันคลี่คลายลงไปในทันที

      ความสงบช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย....
ความสงบสร้างสมาธิ.....
ความสงบเสริมสติ....
ความสงบสร้างปัญญา.....
ความสงบชวนเสน่หา...
ความสงบควรเสพตามเวลา.....
ความสงบช่างประเสริฐยิ่งนัก.....

      สมควรแล้วที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้เป็นคาถาว่า
"...ความสงบ เป็น สุขอย่างยิ่ง..."

๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น