ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้อความถึง หญิงคนรัก (เรื่อง ประสบการณ์ ด้านจิตวิญญาน ตอนที่ ๑)



ข้อความถึง หญิงคนรัก (เรื่อง ประสบการณ์ ด้านจิตวิญญาน ตอนที่ ๑)

ที่รักจ้ะ....

      งานยุ่งไม๊เอ่ย....?
      อีกไม่กี่วัน ไม่ถึง ๒ อาทิตย์ ก็จะออกพรรษาแล้ว เมื่อเช้า มีคนรู้จักกัน เอาซองกฐินมาให้ ก็เพื่อนพี่คนที่เค้าเป็นนักการเมืองระดับชาติ นั่นแหละจ้ะ เลยต้องใส่ไป ๑ พันบาท ใส่น้อยกว่านั้นได้ไงจ้ะ?(เดือนนี้ พี่ขอใช้เงินเพิ่มอีกนะจ้ะ จำเป็นจ้ะ นะ...นะ...คนสวย)
      ที่รักจ้ะ....
      พี่จำไม่ได้ว่า เคยเล่าเรื่องประสบการณ์ด้านจิตวิญญาณของพี่ ให้น้องฟังมาละเอียดเพียงใด เพราะเมื่อเราอยู่ด้วยกัน เรามักพูดคุยแต่เรื่องความสวยงามของชีวิต หลักศีลธรรม วิเคราะห์สังคมและสิ่งแวดล้อม ซะเป็นส่วนใหญ่ เราไม่ค่อยคุยเรื่องความตาย การพลัดพรากเอาเสียเลย เวลาคนเรามีความรักก็เป็นซะอย่างนี้แหละจ้ะ
      พี่เลยคิดว่า คราวนี้ พี่จะเล่าถึงประสบการณ์ด้านจิตวิญญาณของพี่ให้น้องฟัง โดยจะแบ่งเป็น ๓-๔ ตอน ตามเหตุการณ์ที่พี่ได้เคยประสบมากับตัวเอง จะเล่าเท่าที่จะละเอียดได้ แต่ไม่ให้เลอะเทอะ เอาที่เป็นข้อเท็จจริง นะจ้ะ
      ประสบการณ์ด้านจิตวิญญานครั้งแรกในชีวิตของพี่ เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์จ้ะ
      น้องคงจำได้ ถึงวัดที่พี่พาน้องไปกราบไหว้พระพุทธรูปที่เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเรานะจ้ะ พระพุทธรูปองค์นั้นแหละ ที่เป็นผู้จุดประกายให้พี่หันหน้ามาสนใจ ชีวิต การเวียนว่านตายเกิด และพุทธศาสนา
      ที่รักจ้ะ....
      เมื่อครั้งที่พี่เรียนอยู่ระดับ ม.ปลาย พี่สนใจที่จะเป็นนักถ่ายภาพที่มีฝีมือ (บ้ากล้องถ่ายรูป) ในวันหยุด พี่จะเอากล้องรีเฟลกส์เลนส์เดี่ยว ใส่ย่าม สะพายหลัง แล้วปั่นจักรยานเสือหมอบคันเก่ง เที่ยวตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อเก็บภาพสวยๆ เก๋ๆ เด่นๆ เลียนแบบนักถ่ายภาพมืออาชีพ ถ่ายตั้งแต่กรวดหินดินทราย ท้องฟ้า เมฆ พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก วัวควายหมาแมว ฯลฯ แล้วแต่จะคิดได้
      สมัยนั้น กล้องยังต้องใช้ฟิล์มอยู่ การถ่ายภาพเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่ทำให้พี่เพลิดเพลินใจไปกับชีวิต
      ที่รักจ้ะ.....
      มาวันหนึ่ง พี่ถ่ายภาพไปได้สัก ๑๐ ภาพแล้ว หมดมุข ไม่รู้จะถ่ายอะไร? ก็เกิดบันดาลใจขึ้นมาว่า ใกล้ๆบ้านเรา มีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอยู่ อายุท่านก็เกือบๆ ๒๐๐ ปีแล้ว น่าจะไปถ่ายรูปไว้ แต่ด้วยความที่พี่คนนี้ เป็นคนสนุกสนาน ชอบคิดอะไรแปลกๆ สร้างสรรค์จินตนาการใหม่ๆ พี่เลยคิดว่า จะถ่ายรูปพระพุทธรูปธรรมดา ก็ไม่น่าสนใจนัก ลองพิสูจน์เรื่องศักดิ์สิทธิ์ดีกว่า ว่ามีจริงหรือไม่?
      น้องก็รู้ว่า พี่เรียนสาย คณิต-วิทย์มา อยู่ห้องเด็กเรียนเก่งด้วย จะให้เชื่ออะไร...มันต้องมีการพิสูจน์
      ตอนวัยรุ่น พี่ไม่เคยเข้าวัดเลย ตอนที่คุณครูพานักเรียนไปฟังเทศน์ พี่ยังนั่งหลับต่อหน้าพระซะงั้น จนพระเทศน์จบ นักเรียนกราบขอบคุณ พี่จึงตื่น นี่แหละ อดีตที่แท้จริงของคนธัมมะธัมโมคนนี้
      ในวันที่เข้าไปในวิหาร ไม่มีใครอยู่เลย เวลานั้น ประมาณ ๔ โมงเช้า แสงสว่างในวิหารที่ส่องเข้ามาจากช่องหน้าต่างขนาดใหญ่รอบวิหาร เพียงพอที่จะถ่ายภาพโดยไม่ต้องใช้แฟลช จะได้เล่นแสงและเงาได้
      พี่ไปยืนอยู่หน้าพระพุทธรูปองค์นั้น ท่านสูงประมาณ ๕ เมตร ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย พี่มองท่านแล้วคิดในใจว่า "หลวงพ่อครับ คนทั่วบ้านทั่วเมือง ต่างก็มากราบไหว้หลวงพ่อ หลวงพ่อมีความศักดิ์สิทธิ์จริงหรือครับ? ถ้าหลวงพ่อมีความศักดิ์จริง ขอให้ผมถ่ายภาพหลวงพ่อไม่ติดนะครับ โดยผมจะถ่ายหลวงพ่อจำนวน ๒ ภาพ ขอให้ภาพแรกถ่ายไม่ติด ส่วนภาพที่ ๒ ถ่ายติด ถ้าภาพแรกถ่ายไม่ติดจริง ผมจะมาขอเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ จะนำรูปที่ ๒ ไปกราบไหว้บูชาตลอดชีวิต "
      คิดดังนี้แล้ว พี่ก็ปรับแสง ตั้งความเร็วชัตเตอร์ เล็งกล้องไปที่องค์ของท่าน ปรับโฟกัส กดชัตเตอร์ แชะ เลื่อนฟิล์ม.... แชะ เลื่อนฟิล์ม.....
      แล้วก็คำนับท่าน (ไม่ได้ไหว้เสียด้วยซ้ำ) เดินมองหานกในวัด.....
      หลังจากนั้น ๒ วัน ฟิล์มม้วนนั้นก็ถูกถ่ายถาพจนหมด พี่ก็เอาไปให้ร้านล้าง-อัดภาพของรุ่นน้องที่รักการถ่ายภาพเหมือนกัน เค้านัดว่าวันรุ่งขึ้นให้มาดูฟิล์มที่ล้าง แล้วค่อยเลือกรูปที่จะอัด
       พอพี่ไปดูฟิล์ม ก็ปรากฏสิ่งที่ทำให้ชีวิตของพี่ต้องเปลี่ยนไป เพราะช่องภาพพระพุทธรูปช่องแรก ที่พี่อธิษฐานว่า ไม่ให้ติด ปรากฏเป็นสีนำตาลดำ เต็มทั้งช่อง โดยตรงขอบจะมัวๆเล็กน้อย ส่วนช่องภาพพระพุทธรูป ข่องถัดไป ภาพคมชัดดี พี่ขนลุกวาบทั้งตัวเลย
      ถามน้องเค้าดูว่า ปัยหาของภาพแรกเกิดจากความบกพร่องขณะถ่ายภาพหรือไม่? น้องเค้าก็บอกว่า..ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จะว่าไม่เปิดหน้ากล้องก็ไม่ใช่แบบนี้ ...จะว่า แสงเข้ามากไป ก็ต้องมีภาพอยู่บ้าง แต่นี่ เหมือนฟิล์มเสีย แล้วเสียเฉพาะช่องนั้นช่องเดียว...แปลกมากๆ
      ที่รักจ้ะ.....
      ออกจากร้านถ่ายภาพ พี่ก็ตรงดิ่งไปวัดเลยล่ะจ้ะ ไปกราบขอขมาพระพุทธรูปองค์นั้น แล้วสัญญากับท่านว่า จะขอเป็นลูกศิษย์ของท่านไปตราบชั่วชีวิต
      เรื่องนี้ พี่เล่าให้คนอื่นฟัง ๓-๔ คน ไม่มีใครกล้า-บ้าบิ่นแบบพี่ เค้าบอกว่า พี่มันบ้า...ที่ไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
      นี่แหละจ้ะ จุดเปลี่ยนเริ่มต้น ของคนที่ต่อมาทิ้งทรัพย์สินเงินทอง ไปบวชเป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน เดินทางศึกษาธรรมะ ฝึกสมาธิไปตามสำนักต่างๆหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย คนที่เคยใช้ชีวิตตามอย่างที่ชาวบ้านเรียกว่า พระธุดงค์ คนที่เคยเข้าไปทำสมาธิในป่าแถบผืนป่าตะวันตก-ป่าห้วยขาแข้ง ก่อนจะลาสิกขาบท เพราะชะตาลิขิตให้ต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
      ที่รักจ้ะ....
      ครั้งต่อไป พี่จะเล่าเรื่องวิญญาณแล้วละนะ ไม่มีผีหรอกจ้ะ...ไม่ต้องกลัว

                                              รักจ้ะ.....

                                 จาก    คนเดิม รักเดียวใจเดียวเหมือนเดิม

                                             ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น