ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พร้อม....สำหรับ"ความรัก"....หรือ....ยัง..?


                            

พร้อม...สำหรับ"ความรัก"....หรือ....ยัง..?

บทความนี้ เป็นทัศนคติส่วนตัว ที่มีพื้นฐานมาจากการศึกษาปรัชญาและศาสนา
ทั้งของตะวันออก และตะวันตก
ผสมผสานกับการศึกษาชีวิตรักจริงๆ ของคนอื่น
ผู้เขียน ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักแต่อย่างใด....

อาจจะกล่าวได้ว่า
คนทั่วไป ต่างขวนขวายทีจะรัก และถูกรัก...
ด้วยความพยายามต่างๆ....
ด้วยวิธีการต่างๆ....
แต่จะมีใครสักกี่คน ที่คิดจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า
"พร้อม....สำหรับความรักหรือยัง..?"

เพียงคำสั้น ง่ายๆ
ถ้ามี"ความจริง"......  ก็พร้อมแล้ว...
เป็นคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่ต้องขยายความ..ว่า
"ความจริง"อะไร..?
"ความจริง" อย่างไร..?

"ความจริง"ที่เป็นสัญญานของความพร้อม สำหรับ"ความรัก" ประกอบด้วย ๓ หัวข้อ ดังจะกล่าวต่อไปนี้

๑.รู้"ความจริง"
๒.มีความ"จริงใจ"
๓.มีความ"จริงจัง"

๑.รู้ความจริงอะไร..?
      ได้แก่ ๑.รู้ความจริงของคน...๒.ความจริงของชีวิตคู่...๓.ความจริงของความรัก...๔.ความจริงของคนรัก-ความจริงของตน

๑.๑ ความจริงของคน
      คนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ประกอบด้วย ร่างกายและจิตใจ
      ร่างกายของคน จะเจริญเติบโตด้วยการกิน-การใช้-การอุปโภค-การบริโภค เติบโตขึ้นตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงอายุ ๒๕ ปีโดยประมาณ แล้วเริ่มร่วงโรยลงทีละน้อยๆ ไปเรื่อยๆจนตาย ร่างกายจะเป็นที่อาศัยของจุลินทรีย์-โรคภัยไข้เจ็บต่างๆนานา ตั้งแต่เจ็บไข้ธรรมดา จนถึงพิการ และตาย ...ไม่ได้อยู่คงทน สวยงามตลอดไป และไม่คงอยู่อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
      ร่างกายของคน ก็มิได้สวยงามตามที่ปรากฏทางสื่อสารมวลชน ที่มีการแต่งเติมเสริมขึ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นด้วยการใช้เครื่องสำอาง เครื่องประดับ เสื้อผ้าอาภรณ์ การศัลยกรรม เทคโนโลยีฯลฯ เพิ่มสิ่งที่ขาด ตัดสิ่งที่เกิน เพื่อให้คนที่ปรากฏในภาพ มีความสวยงาม
      แม้แต่รูปร่างของคนที่ดูดีได้นั้น ก็ต้องใช้ความพยายามทั้งด้านการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย ฯลฯ หากละเว้นความพยายามดังกล่าว รูปร่างที่ดูดีนั้น ย่อมไม่มีอะไรเหลือพอที่ดีให้ดู
      สิ่งที่เป็นความจริงที่สุดของคน ไม่ว่าจะสวยงาม / ขี้เหร่ปานใดก็คือ ร่างกายจะผลิตและขับถ่ายสิ่งปฏิกูลออกมาภายนอก เป็นการขับถ่ายของเสียจากกระบวนการทางเคมีภายในเซลล์ต่างๆทิ้งออกไป คนจึงมีของโสโครก ของเสีย มีกลิ่นเหม็น ตั้งแต่ ศีรษะจรดปลายเท้า ...
      อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีส่วนใดๆของร่างกายคน ที่ไม่มี" ขี้ " ตั้งแต่ขี้รังแคจนถึงขี้เล็บ คนจึงมีความจำเป็นต้องชำระล้างสิ่งปฏิกูล-ของเสีย-เหม็น ตลอดเวลา
      ที่ต้องกล่าว เพื่อให้ผู้ที่ริจะรัก "คน" จงตระเตรียมใจไว้ว่า คนรักจะต้องมีวันที่เจ็บป่วย-ตายจากไป ร่างกายคนรักไม่ได้สวยงาม มีกลิ่นหอมหวนอย่างที่ภาพยนตร์ / กวีได้ร้อยกรองขึ้น เพราะนั่นเป็นการสร้างจินตนาการจากความสุนทรียภาพทางอารมณ์ของกวี ...อย่าได้หลงใหลในมายาภาพใดๆเกี่ยวกับ"คน" ....มันไม่จริง
     
      จิตใจของคนเรา (ขออธิบายแบบไม่เป็นวิชาการ)ประกอบด้วยการปรุงแต่งทางความคิดและอารมณ์ ซึ่งในบางครั้งในบางคน ก็เลือกเองตัดสินใจเอง ในบางครั้งในบางคน ก็ขาดสติปล่อยใจให้เป็นไปตามอะไรอะไรก็สุดแล้วแต่ ที่เข้ามากระตุ้นและโน้มน้าวใจ ซึ่งจะไม่ขออธิบายยาว มิเช่นนั้นจะต้องเขียนเป็นหนังสือ แทนที่จะเป็นบทความ
      จิตใจของคนนั้น ผันผวน-ปรวนแปร-ไม่แน่นอน...เป็นธรรมชาติ
      ยกเว้นเสียแต่ว่า จะได้รับการศึกษาอบรมกล่อมเกลาอย่างเอาจริงเอาจังเป็นเวลาพอสมควร นั่นแหละ จึงจะมีความสามารถควบคุมจิตใจของตนเองได้ ไม่ใช่ถูกจิตใจควบคุม
      ความรู้เกี่ยวกับจิตใจ ทำให้คนที่ริจะรัก ต้องตระเตรียมใจที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงใดๆที่ไม่คาดฝันจากคนที่ตนรัก หรือแม้แต่จากจิตใจของตนเอง ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการ-ควบคุมจิตใจให้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตนเองและคนรัก ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม แล้วก็มานั่งเช็ดน้ำตา...

๑.๒ความจริงของชีวิตคู่
      ชีวิตคู่ของคน ๒ คน (ไม่กล่าวมากกว่านั้น) เป็นความผูกพันทางจิตใจ ส่งผลต่อชีวิตโดยตรง มีพื้นฐานที่ตั้งอยู่บนสิ่งที่เป็นแกนของจิตใจ คือ ทัศนคติ ค่านิยม รสนิยม ความเชื่อ...ฯลฯ
      หากสิ่งเหล่านี้สอดคล้อง-เข้ากันได้ ความสัมพันธ์ก็จะแนบแน่น แต่ถ้าแตกต่างกัน ความสัมพันธ์ก็จะคลอนแคลน เกิดการกระทบกระทั่งกัน ทะเลาะวิวาท จนถึงขาดสัมพันธ์สะบั้นลง แม้จะมีห่วงโซ่ใดๆมาผูกไว้ ก็มัดไม่อยู่
      หากความผูกพันทางจิตใจแข็งแรง ชีวิตคู่ก็มั่นคง ไม่ว่าจะตกอยุ่ในสถานการณ์ใดๆ เช่น อยู่ไกลกัน มีมือที่สาม ฯลฯ ก็ไม่อาจสั่นคลอนความสัมพันธ์ลงได้

๑.๓ความจริงของความรัก
      ความรักเป็น"อารมณ์ "ที่จิตใจปรุงแต่งขึ้น-สร้างขึ้นในความรู้สึกนึกคิด ไม่ได้เกิดที่ร่างกาย ไม่ได้เกิดจากร่างกาย ไม่ใช่วัตถุที่มาจากภายนอกจิตใจ / ภายนอกโลก ไม่ใช่มรดกจากคน / เทพยดาองค์ใด รับฝากของใครไม่ได้ ฝากไว้กับใครก็ไม่ได้ ไม่มีใครช่วยได้ / ช่วยใครได้...ต้องดูแลรักษาเอง เอาใจใส่ด้วยตัวเอง
       แม้เห็นความรักของเขาช่างสวยงาม ไปแย่งเอาของเขามาเป็นของตัวก็ไม่ได้ ความรักของตัวเองบิดๆบูดๆเบี้ยวๆ จะไปให้ใครตกแต่งให้ / ทำความสะอาดให้ก็ไม่ได้ ตัวเองต้องปรุงแต่งเองด้วยจิตใจของตัวเอง
      คนที่จิตใจดีงาม ก็จะมีความรักที่ดีงาม คนที่จิตใจเสื่อมทราม ความรักก็เสื่อมทรามคล้อยตามไปกับสภาวะจิตใจ ไม่ต้องไปยกย่องใครที่ทำให้ความรักของตนสวยงาม ไม่ต้องไปโทษใครที่ความรักของตนเสื่อมสลาย
      ไม่ต้องไปพึ่งคน / เทพยดา / สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้มาช่วยสร้าง-ช่วยดูแลรักษา-ช่วยทำให้ความรักเจริญงอกงาม แต่ต้องพึ่งตนเองและคนรักเท่านั้น
      นี่คือสิ่งที่คนที่ริจะรักต้องตระหนักให้ดีๆก่อน จะได้ไม่เสียใจในความผิดพลาดบกพร่องของตนและคนรักในภายหลัง ซึ่งเมื่อถึงตอนั้น ไม่มีอะไรที่จะหลงเหลือ นอกจากความทรงจำและน้ำตา

๑.๔ความจริงของคนรัก-ความจริงของตน
      ในที่นี่ขอกล่าวถึงเพียงเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า "อัตตลักษณ์ "หมายถึงสิ่งต่างๆที่ประกอบขึ้นเป็น"ตัวตน"ของคน อันได้แก่ บุคลิกลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เพศ รูปร่าง หน้าตา อุปนิสัยใจคอ อารมณ์ ความคิด สติปัญญา ค่านิยม ทัศนคติ ความสามารถ ความชำนาญ ศักยภาพต่างๆ  อาชีพ ฐานะ ครอบครัว ประสบการณ์..ฯลฯสิ่งที่เรียกว่า "อัตตลักษณ์ "นี้ เป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้แก่บุคคลหนึ่ง ให้แตกต่างจากคนอื่น
      ความเข้าใจในความจริงข้อนี้ ทำให้คนที่ริจะรัก ต้องประเมินตัวเองก่อนว่า มีคุณสมบัติที่เพียงพอ-เหมาะสม / แตกต่าง ระหว่างตนกับคนรักอย่างไร.... จะได้ปรับตัว-ปรับใจ-ปรับเปลี่ยน อย่างไรให้เข้ากันได้ -ไปด้วยกันได้ ไม่ให้ขัดแย้ง / กระทบกระทั่งกัน ...เพียรพยายามลดความแตกต่างให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความสมานฉันท์-ความสมบูรณ์-แข็งแรงของความรัก

๒.มีความ "จริงใจ"
      เป็นความสุจริต ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ใจ ซื่อตรง ปรารถนาดี หวังดี ห่วงใย ดูแลเอาใจใส่ เอื้ออาทร ฯลฯ ไม่ใช่การทุจริต คิดคด เสแสร้ง หลอกลวง ตลบตะแลง ฯลฯ
      เป็นความรักเดียวใจเดียว ไม่มีคนอื่น ไม่คิดนอกใจ ไม่ตีตัวออกห่างแม้เพียงชั่วขณะ ไม่ทอดทิ้ง มีคนที่รักเพียงคนเดียวอยู่ในหัวใจตลอดไป
      สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาดี ที่จะทำเพื่อความรัก-คนรัก ก็พร้อมที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจ-ทำให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง เช่น อุปนิสัยใจคอ ความเคยชิน พฤติกรรม ความคิด ค่านิยม...แม้แต่ความศรัทธาในศาสนา
      แม้ในบางครั้งในบางคน ก็ยอมเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตที่เคยตั้งไว้ เคยฝันไว้ ว่าในชีวิตนี้จะไปให้ถึง แต่เพื่อความรัก เพื่อคนรัก ก็ยินยอม-ยินดีที่จะแลก-สละความใฝ่ฝันนั้นไปอย่างไม่เสียดาย
      เห็นความรัก-คนรักเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคนสำคัญ ไม่ใช่เป็นเพียงวัตถุ-สิ่งของ / ของเล่นของประดับ / เครื่องสนองกิเลสตัณหา / แสวงหาผลประโยชน์ใดๆ
      พร้อมที่จะเสียสละเวลา-ทรัพย์สิน-สมบัติ- หรือแม้แต่อวัยวะและชีวิตของตน เพราะความคิดที่รักคนรักมากกว่าตน ....ไม่ใช่รักเพื่อตนเอง ไม่ใช่เห็นคนรักเป็นเพียงเครื่องมือที่จะนำพาตนให้สมปรารถนา ประสบความสำเร็จ ฯลฯ ....อย่างนี้ไม่เรียกว่า "ความจริงใจ"
     
      อีกมุมหนึ่งของความจริงใจคือ การมองไปข้างหน้า มองอนาคตเพื่อความสุข-ความมั่นคงของความรักของคนรัก ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ สถานะทางเศรษฐกิจ สภาพความเป็นอยู่ การป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ฯลฯ จะต้องมีการคิด มีการวางแผน มีการสร้างสรรค์ สร้างรากฐานเอาไว้ให้มีพื้นฐานที่มั่นคงเสียก่อน ไม่ใช่มารักกันเพื่อ"กัดก้อนเกลือกิน" อย่างนี้ แสดงถึงการขาดภาวะความรับผิดชอบต่อบทบาทและหน้าที่....
       ความรัก-คนรัก ต้องการการดุแลเอาใจใส่ ตนเองก็ต้องสร้างเสริมความแข็งแรง-มั่นคงให้มีเสียก่อน ไม่ใชว่า เอาตัวเองยังไม่รอด แล้วยังริรัก-อยากจะมีคนรัก เอามาทำให้ร่วมทุกข์-ไร้สุข อย่างนี้ไม่เรียกว่า "ความจริงใจ" แต่ควรเรียกว่าเป็น "ความไม่เจียมตัวเจียมใจ" เพราะสุดท้ายจะไปไม่รอด ความรักก็ไม่เหลือ คนรักก็กลายเป็นคนเกลียดชังกัน เป็นศัตรูกันในที่สุด

๓.มีความ"จริงจัง"
      ความจริงจังต่างจากความเคร่งเครียด
      ความจริงจังคือการทำจริง-พูดจริง-เอาจริง ไม่เหลาะแหละ-ไม่ย่อหย่อน-ไม่ละเลย-ไม่ละทิ้ง มีความสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย ตลอดเวลาตลอดไป ซึ่งจะต้องอาศัยความเป็นคนที่มีพื้นฐานทางด้านจิตใจ-พื้นฐานทางด้านอารมณ์ ต้องเป็นคนมีวุฒิภาวะ ต้องเป็นคนมีหลักศีลธรรม-จริยธรรมในการดำเนินชีวิต มีการฝึกฝนอบรมตนเองมานาน ได้รับการอบรมศึกษาให้รู้จักความมีจิตสำนึกในด้านความถูกต้อง ความดีงามของการกระทำความดีงามของความคิด ความถูก-ผิด,ความดี-ชั่ว,สิ่งที่ควรทำ-ไม่ควรทำ ฯลฯ
      คนที่ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น น้อยคนนักที่จะมีความจริงจังกับความรัก-คนรัก เพราะจะต้องรักที่จะรักกันเพียงคู่เดียว รักที่จะคบกันเพียงคู่เดียว รักที่จะคลุกคลีกันเพียงคู่เดียว รักที่จะอยู่เคียงคู่กันเพียงคู่เดียว ร่วมชีวิตกัน แบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้แก่กัน-เพื่อกันและกัน ฯลฯ....อย่างมั่นคง-ถาวร ตลอดไป
      ไม่ใช่การละเล่นอย่างเด็กๆ สนุกสนานเพลิดเพลินชั่วครู่ชั่วคราว อย่างมีเวลาจำกัด / มีขอบเขต..
     
       แน่นอนว่า ความจริงจังที่ปรากฏชัดเจนที่สุด คือการให้ความสำคัญกับความรักและคนรัก เหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต ให้การใส่ใจ ขวนขวายที่จะพัฒนาความคิด-จิตใจ-ความเป็นอยู่-สถานภาพของตนเอง สร้างความเจริญรุ่งเรือง-ก้าวหน้าให้กับชีวิต เพื่อความเป็นปึกแผ่นที่มั่นคง-ยั่งยืน-แข็งแกร่งของความรักและคนรัก
      คนที่มีความจริงจัง ย่อมไม่ใช่ชีวิตอย่างไร้สาระ แสวงหาแต่ความบันเทิงเริงรมย์ เที่ยวกลางคืน เสพสิ่งเสพติด หมกมุ่นมัวเมากับอบายมุข ทำตัวเหลวไหลไม่อยู่กับร่องกับรอย ใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพียงเพื่อความท้าทายสนุกสนาน
      ไม่ประมาท..จนทำให้ตัวเองบาดเจ็บพิการ ไม่ทำสิ่งที่จะทำให้ฐานทางเศรษฐกิจของครอบครัวล้มละลาย ไม่ทำการทุจริตประพฤติมิชอบซึ่งสุดท้ายก็ต้องติดคุกติดตะราง การกระทำเหล่านี้มีแต่จะทำให้ครอบครัวและคนรักเดือดร้อนลำบาก
      คนที่มีความจริงจัง ต้องยินดีที่จะอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบากทั้งหลายทั้งปวง อันอาจจะต้องเผชิญเพื่อรักษาความความสุขสวัสดีให้แก่ความรักและคนรัก
      คนที่มีความจริงจัง ต้องพร้อมที่จะอดทนอดกลั้นต่อการปฏิบัติหน้าที่-ความรับผิดชอบที่มีต่อความรักและคนรัก ต้องยอมอดทนอดกลั้นต่อความปรารถนาส่วนตัว เพื่อความรักและคนรัก
      คนที่มีความจริงจัง ต้องยอมอดทนอดกลั้นที่จะพัฒนา-ปรับปรุง-เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อความดีขึ้น-งามขึ้น-สะดวกสบายขึ้นของความรักและคนรัก
      ............ฯลฯ............
       เวลา และสถานการณ์........ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงทั้งมวล

บทสรุป

      สำหรับผู้ที่มีความพร้อมตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ความรักที่ประสบ ก็เปรียบเสมือนดั่งสนามเด็กเล่น ที่มีแต่ความสุข ความเพลิดเพลิน ไม่มีภัยอันตรายใดๆมากล้ำกราย
     
      แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความพร้อมดังที่ได้กล่าวมา ประสบการณ์ของความรัก ก็ไม่ต่างจากการก้าวเข้าสู่สนามรบ ที่เต็มไปด้วยปัญหาอุปสรรคขวากหนาม ความทุลักทุเล ความขัดสน ความยากลำบาก และภัยอันตรายนานาชนิดที่อาจทำลายทรัพย์สิน-อนาคต ทำร้ายจิตใจ ร่างกาย หรืออาจถึงกับสูญเสียอวัยวะและชีวิต
      
      หวังว่า บทความนี้ จะช่วยให้ทุกท่านได้ประสบกับสวรรค์ของการได้รักและถูกรัก.....
      ไม่ใช่นรก....

๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น