ข้อความ ถึงหญิงคนรัก ๑ เรื่อง คุยกับแม่ ส.ส.
ผู้เขียนขอนำเสนอผลงานอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเดินเรื่องในรูปของการส่งข้อความ ของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งส่งถึงหญิงสาวคนรัก ที่ต้องจากกันไปอยู่ต่างแดนเพื่อปฏิบัติภารกิจ (เอาเหตุการณ์จริงมาเรียบเรียงใหม่ให้อ่านเพลินๆ)
ที่รักจ้ะ.....
กลับถึงที่พักหรือยังเอ่ย......?
พี่เพิ่งกลับมาถึงบ้านได้สักครู่ ดูเวลาตอนนี้ ก็ใกล้จะ ๒ ทุ่มแล้วล่ะจ้ะ ฝนเพิ่งหยุดตกเมื่อสักครู่นี้เอง หลังจากที่เทกระหน่ำอย่างไม่นำพาอยู่นานเกือบชั่วโมงได้จ้ะ
ที่พี่กลับเข้าบ้านค่ำ (ขอรายงานครับผม) เพราะไปติดฝนอยู่ที่บ้าน คุณแม่ ส.ส. ที่เราเป็นลูกค้าซื้อน้ำดื่มของท่านไงจ้ะ พี่ขับรถเอาถังไปเปลี่ยนตั้งแต่ ๖ โมงครึ่งแล้วล่ะจ้ะ ไปถึง จ่ายเงินเสร็จ ยังไม่ทันได้น้ำดื่มเลย ก็เป็นต้องมารับน้ำฝนเสียก่อน
ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก พี่ก็เลยจำเป็นต้องหลบฝนอยู่ใน ออฟฟิส ซึ่งคุณแม่ ส.ส. ท่านก็มีเมตตาเรียกพี่ให้ไปนั่งคุยกับท่านอย่างเป็นกันเอง
ที่รักจ้ะ.....คุณแม่ ส.ส. ท่านเรียกตัวเองว่า "ยาย" ท่านมีเมตตามาก มองดูพี่เหมือนมองหลานชายตัวเอง พี่เพิ่งรู้ว่าท่านอายุ ๘๗ ปีแล้ว ก็ท่านดูยังแข็งแรงอย่างที่น้องเคยเห็นนั่นแหละจ้ะ
ท่านไว้ผมยาวประบ่า ผมสีดอกเลาแซมดำของท่านถูกหวีอย่างเรียบร้อย มีกิ๊บเล็กๆติดอยู่ซ้าย-ขวา ข้างละอัน เป็นทรงผมที่หญิงสาวสมัยก่อนๆไว้กัน (แต่น้องก็ไว้ผมทรงนี้นี่นา...ล้อเล่นจ้ะ...อย่าเคืองสิจ้ะ..) ผมทรงนี้ทำให้ผู้หญิงดูเป็นคนเรียบร้อย สดใส สะอาด และบริสุทธิ์
ใบหน้ารูปไข่ของท่านเอิบอิ่ม แม้จะมีริ้วรอยที่กาลเวลาได้ฝากเอาไว้ก็ตาม หน้าผากของท่านเกลี้ยงเกลา คิ้วเรียวเล็ก ดวงตาของท่านเรียวรี แม้ไม่กลมโตแต่ก็เปี่ยมด้วยเมตตา จมูกของท่านตรง-ยาว-สวย ไม่โด่ง พอดีๆ ปากรูปเรียวเล็กของท่านมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา คางกลมมนแสดงถึงชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข
น้องอย่าหัวเราะเยาะพี่ เหมือนหนึ่งพี่เป็นซินแสดูโหงวเฮ้งนะจ้ะ พี่ดูโหงวเฮ้งเป็นซะที่ไหนกัน พี่คนนี้ดูเป็นแต่ลายมือจ้ะ แต่ดูเหมือนเจ้าของหมอดูคนนี้จะคอยจ้องเขม็ง จนหมอดูคนนี้ไม่กล้าจับมือสาวๆแล้วล่ะจ้ะ..อ๋อ......ไม่ได้กล้วใคร...ไม่เคยกลัว...กลัวใครที่ไหนกัน....โอ้ย!...กลัวแม่คุณคนเดียวนี่แหละจ้ะ
วันนี้คุณยายท่านใส่เสื้อม่อฮ่อมสีน้ำเงินทับอีกชั้นหนึ่ง ในห้องที่เปิดแอร์เย็นๆ มีเสมียนนั่งทำงานอยู่อีก ๒ คน นอกนั้นกลับบ้านกันหมดแล้วล่ะจ้ะ คุณยายท่านนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวแรกที่ใกล้กับประตู มือขวาของท่านถือปากกา ที่อยู่ตรงหน้าท่าน คือสมุดบัญชี ท่านกำลังนั่งทำบัญชีอยู่จ้ะ
ไม่น่าเชื่อเลยนะจ้ะ ที่หญิงชราอายุ ๘๗ ปี ยังสามารถทำบัญชีได้ แสดงถึงความเป็นคนมีสมองที่เปี่ยมประสิทธิภาพ พี่ไม่รู้ว่า พอพี่อายุ ๖๐ ปี จะมีความสามารถทำบัญชีได้อย่างท่านหรือเปล่า? ถ้าพี่เป็นโรค อัลไซม์เมอร์ จะมีใครคอยดูแลไม๊น๊า....? ว่าไงจ้ะ...คนสวย?
ท่านชวนพี่นั่งคุยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เป็นกันเอง โอบอ้อมอารี มีเมตตา น้ำเสียงของท่านช่างประทับหัวใจพี่มากเหลือเกิน เป็นน้ำเสียงที่นุ่มนวล อ่อนโยน แต่ลุ่มลึก มั่นคง และทรงพลัง ท่านพูดด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน ช้าๆ เบาๆ แต่พี่ต้องพูดดังๆ เพราะท่านบอกว่า หูของท่านไม่ค่อยจะดี ได้ยินไม่ชัด บางที่พี่พูดจบ ท่านต้องหันไปถามเสมียนที่นั่งข้างๆว่า พี่พูดอะไร?
พี่ถามท่านว่า ทำไม? อายุปูนนี้แล้วยังต้องมานั่งทำบัญชีอีก น่าจะพักผ่อน-ปลดเกษียรไปตั้งนานแล้ว ท่านบอกว่า ท่านมีความสุขที่ได้ทำงาน มันทำให้คนมีคุณค่า มีชีวิตที่ภาคภูมิใจ ได้ใช้สมอง ได้ออกกำลังเบาๆ ทำให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพที่ดี ไม่ค่อยจะเจ็บไข้ได้ป่วย เวลากลางวันก็ดูแลคนงานให้รับ-ส่งน้ำดื่ม ตกเย็นมาก็นั่งทำบัญชีต่อ ทำถึง ๑ ทุ่ม ๒ ทุ่มทุกวัน ไม่มีวันหยุด พอพี่ได้ฟังท่านเล่ามาถึงตอนนี้แล้ว พี่รู้สึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก เราเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ภาคภูมิใจว่าตัวเองเป็นคนมีการศึกษาสูง แต่กลับชอบคอยดูนาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะเที่ยง เมื่อไหร่จะ ๕ โมงเย็น คอยดูปฏิทินว่าเมื่อไหร่จะวันเสาร์-อาทิตย์ เมื่อไหร่จะวันหยุด คนรุ่นใหม่อย่างเราเอาแต่เบื่อหน่ายการทำงาน ไม่มีความรัก-ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เอาแต่คิดแต่จะหาความสุขสนุกสนาน คิดแต่จะไปเที่ยวหาความบันเทิงไร้สาระไปวันๆ อย่างคนสิ้นคิด....(แต่น้องไม่ต้องเป็นห่วงนะจ้ะหน้าที่ ที่พี่มีต่อความรักของเรานั้น พี่ไม่เคยบกพร่องเลยจ้ะ ความรักของพี่ไม่เคยมีวันหยุดพักผ่อน ไม่มีวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่มีพักเที่ยง มีแต่ทำโอที ตลอดมาเลยจ้ะ....จุ้บๆๆๆ)
คุณยายท่านเล่าว่า สมัยก่อนท่านเคยเป็นครู กลางวันสอนเด็กจนเลิกเรียนแล้ว ตกเย็นยังต้องตามไปดูแลเด็กบางคนที่มีผลการเรียนอ่อน เรียนไม่ทันเพื่อน (ไม่ใช่ไปสอนพิเศษ หาเศษหาตังค์อย่างที่ทำกันเป็นธุรกิจทุกวันนี้นะจ้ะ) เด็กบางคนไม่มีข้าวมากินตอนกลางวัน ท่านก็ต้องเอาเงินตัวเองซื้ออาหารเลี้ยง อย่างกับว่าเป็นลูกของท่าน สมัยนั้นเงินเดือนครูแค่ ๑,๐๐๐ บาทเท่านั้นนะจ้ะ (ทำงานเกินเงินเดือนเยอะเลยอ่ะ)
ท่านเล่าว่า ท่านต้องปั่นจักรยานไปสอนทุกวัน หน้าฝนก็ลำบากหน่อย (ท่านบอกว่าลำบากหน่อย.. แต่พี่นึกดูแล้ว ผู้หญิงที่ต้องนุ่งกระโปรง ปั่นจักรยานด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างต้องถือร่มกันฝน ที่ตะกร้าหน้ารถมีหนังสือหนังหาอยู่เต็ม มันลำบากมากๆ ไม่ใช่ลำบากหน่อย...ท่านช่างเข้มแข็งจริงๆ)
เราได้คุยกันอยู่เกือบ ๑ ชั่วโมง ฝนจึงหยุดตก ท่านชวนพี่ว่า คราวหลังถึงฝนไม่ตก ก็ให้มาคุยกับท่านได้ พี่กราบขอบพระคุณท่าน เพราะพี่ได้แง่คิดในการดำเนินชีวิตจากท่านมากมายเหลือเกิน
(ที่เล่ามานี่แค่น้ำจิ้มนะจ้ะ ยังมีเรื่องการดูแลคนงาน-ศีลธรรมของคนสมัยก่อนกับสมัยนี้อีก เอาไว้พี่จะเล่าให้ฟังเพิ่มในคราวหลังนะจ้ะ)
ท่านนั้น นับได้ว่า เป็นผู้หญิงที่ทั้งเก่ง ฉลาด เข้มแข็ง สมควรแล้วที่เลี้ยงลูกจนได้ดิบได้ดี เป็นถึง ส.ส.
เออ...ว่าแต่ที่รักจ้ะ..แล้วเราจะมีเจ้าตัวเล็กกันสักกี่คนดีอ่ะจ้ะ? เห็นเค้าว่า การเลี้ยงลูกเป็นงานที่ยากที่สุด ในชีวิตคนเลยนะจ้ะ มาลองมีสักคนก่อนดีไม๊เอ่ย?..........โอ้ย! ไม่ได้ทะลึ่งนะจ้ะ....
น้องทานข้าวเย็นหรือยัง? อย่าอดนะจ้ะ เอวไม่เล็กไม่เป็นไร ขอให้สุขภาพแข็งแรง..สำคัญกว่าความสวยนะจ้ะ...
เค้าเป็นห่วงนะ...ตัวเอง
รักจ้ะ...
จาก....คนเดิม...แต่ดีขึ้นกว่าเดิม ๒ ขีด
๒ ตุลาคม ๒๕๕๓
๒ ตุลาคม ๒๕๕๓
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น