ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้อความถึงหญิงคนรัก(เรื่อง ประสบการณ์ด้านจิตวิญญาน ตอนที่ ๓ )

               
                   

ข้อความถึงหญิงคนรัก(เรื่อง ประสบการณ์ด้านจิตวิญญาน ตอนที่ ๓ )

ที่รักจ้ะ.....

      ประสบการณ์ด้านจิตวิญญาณครั้งที่ ๓ ของพี่ เป็นวิญญาณของพระรูปหนึ่งจ้ะ
      น้องรู้อยู่ว่า ช่วงเริ่มชีวิตวัยหนุ่มของพี่นั้น อุทิศให้กับ พระพุทธศาสนา ....เพื่อให้น้องเข้าใจในพฤติกรรมของพระ พี่อยากจะขอจำแนกพระออกเป็น ๒ กลุ่ม ตามวัตถุประสงค์ในการบวช (มีวิธีจำแนกได้หลากหลายวิธีจ้ะ)
      กลุ่มที่ ๑ บวชเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเอง
      กลุ่มที่ ๒ บวชเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน

      ที่รักจ้ะ....
      พระ กลุ่มที่ ๑ มีลักษณะคือ มักมาจากคนที่ทีฐานะทางเศรษฐกิจที่ไม่ดี มีการศึกษาต่ำ สถานะทางสังคมต่ำ  หรือมีปัญหาชีวิต(พวกนี้อาจมีสถานะที่ดีก็ได้) จึงต้องการบวชเป็นพระ เพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพที่ไม่พึงประสงค์นั้น
      พระในกลุ่มนี้ มักไม่สนใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จำนวนหนึ่งเข้าเรียนตามหลักสูตรของสถาบันสงฆ์ เพื่อผลทางวุฒิการศึกษา เพื่อยกสถานภาพของตัวเองให้สูงขึ้น
      ส่วนหนึ่งจะมุ่งความสนใจไปที่การศึกษาทางไสยศาสตร์ คาถาอาคม บางคนดั้นด้นไปศึกษาถึงประเทศเพื่อนบ้านเพื่อผลทางไสยศาสตร์ กลับมาก็ตั้งตนเป็นเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์ ผู้วิเศษมีอิทธิฤทธิ์
      แต่ส่วนใหญ่จะท่องจำบทสวดมนตร์ในหนังสือ"มนต์พิธี" เพื่อประกอบอาชีพทำพิธีทางศาสนา
      พระกลุ่มนี้ มักจะมักมากในลาภ ยศ สรรเสริญ อยากดีอยากเด่น อยากร่ำรวย มีอำนาจ มีลูกศิษย์ลูกหามากๆ อยากอยู่อย่างสุขสบายพรั่งพร้อมด้วยข้าวของเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างฆราวาส บางคนก็ทำเลยเถิดเกินความเป็นพระไปก็มีมาก
       พระกลุ่มนี้ มีจิตใจมากด้วย กิเลส มิจฉาทิฏฐิ อวิชชา เห็นแก่ตัว เล่นพรรคเล่นพวก หัวดื้อหัวรั้น แสดงธรรมตามอำเภอใจ ไม่สนใจความถูกต้องตามพุทธบัญญัติ
 
      พระกลุ่มที่ ๒ บวชเพื่อบรรลุ มรรคผลนิพพาน พระเหล่านี้ มักมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี มีการศึกษา มีความรู้ มีสติปัญญา เข้าใจความแตกต่างของวัฒนธรรม กับพระพุทธศาสนาดี เพราะจะอ่านพระไตรปิฎก และยึดถือเป็นหลักอ้างอิง
      พระกลุ่มนี้ จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง ย่อๆคือ หลัก ศีล สมาธิ ปัญญา พยายามลด ละ กิเลส อวิชชา .....คิดอย่าง"พุทธ" พูดอย่าง"พุทธ" ทำอย่าง"พุทธ"
      พระกลุ่มนี้ บางคนเลือกที่จะเป็นพระนักเทศน์ ผลคือ สูญเสียประโยชน์ทางสมาธิไป ส่วนพระที่มุ่งทำสมาธิ มักปลีกตัวออกจากสังคม แสวงหาสถานที่สงบ ปลีกวิเวก เพื่อหวังผลทางวิปัสสนากรรมฐาน
      พี่ก็เป็นพระในกลุ่มสุดท้าย พวกสุดท้ายนี่แหละจ้ะ

      ที่รักจ้ะ......
      วิญญาณของพระที่พี่มีประสบการณ์ด้วยคราวนี้ ท่านเป็นพระในกลุ่มแรกจ้ะ
       เรื่องของเรื่องเกิดเพราะช่วงแรกในชีวิตพระ พี่เลือกที่จะอยู่ศึกษาพระไตรปิฎก สอบนักธรรมให้ได้ถึงนักธรรมเอกก่อน (ซึ่งต้องสอบปีละครั้ง  เป็นเวลา ๓ ปี ถ้าสอบผ่านตลอด) อีกทั้งพี่ต้องการปรับตัว-เรียนรู้วัฒนธรรมของสังคมพระ จึงเลือกอยู่วัดชานเมือง ในจังหวัดของเราจ้ะ
      กุฏิที่พี่เข้าพัก เป็นกุฏิที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน เพราะพระเจ้าของกุฏิ(เรียกง่ายๆ) เป็นพระที่รักษาการเจ้าอาวาสมา ๒ ปีแล้ว
      หลังจากที่เจ้าอาวาสคนเก่าซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดมรณภาพ พระรูปนี้ก็ถือความเป็นลูกศิษย์ เข้ามารักษาการ เรี่ยไรเงินชาวบ้าน สร้าง"กุฏิอนุสรณ์..."ขึ้น แล้วตัวเองก็เข้าอยู่ซะเอง....
       แต่ด้วยความที่เจ้าอาวาสวัดนี้ ต้องเป็นเจ้าคณะจังหวัดด้วย และพระที่จะเป็นเจ้าคณะจังหวัด ยุคใหม่ถูกกำหนดว่าต้องเป็นเปรียญธรรมระดับสูง (แต่ถ้า มีเส้นสาย-มีอาวุโสมากๆ ก็อาจยกเว้นได้)
      แต่พระรูปนั้น ท่านไม่มีทั้งเปรียญ ไม่มีทั้งเส้นสาย
      ต่อมา พระที่มีคุณสมบัติ ก็ถูกเลือกมาเป็นเจ้าอาวาส
      ส่วนพระรักษาการรูปนั้น ก็ถูกอัปเปหิไปรักษาการเจ้าคณะอำเภอห่างไกล
      อย่างที่พี่เล่าตั้งแต่ต้น พระรูปนี้ ท่านอยากครองตำแหน่งฯ อยากอยู่กุฏิที่สร้างใหม่นี้ ท่านจึงยังถือวิสาสะแสดงการครอบครองกุฏิต่อไป เที่ยวมาพักทุกๆอาทิตย์ ..ท่านครองพื้นที่กุฏิชั้นบน ส่วนพี่ ได้รับมอบหมายให้ดูแลกุฏิ พักอยู่ชั้นล่าง
     
      ที่รักจ้ะ....
      ท่านไปรับตำแหน่งได้ ประมาณ ๒ เดือน
      วันหนึ่ง ก็มีคนมาแจ้งข่าวกับพี่ว่า ท่านเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพราะมีอาการความดันสูงจนหมดสติ พี่ก็ไปเยี่ยมเยียนท่าน ถามไถ่อาการ-สาเหตุที่เกิดอาการ จึงทราบว่า ท่านไปคลุกคลีช่วยงานศพชาวบ้านที่มาจัดงานที่วัดของท่าน อดหลับอดนอนแค่ไหนไม่รู้ จนเกิดอาการความดันสูง
      (แต่พี่เข้าใจว่า ท่านคงเครียดสะสม จากการไม่ได้ครองตำแหน่งเจ้าอาวาส มิหนำซ้ำยังถูกให้ไปอยู่อำเภอเล็กๆที่ห่างไกลอีก จนมีอาการของความดันโลหิตสูง)
      พี่เตือนท่านว่า ไม่ควรอดหลับอดนอนอีก หากเกิดความดันโลหิตสูงจนเส้นเลือดฝอยในสมองแตก อาจถึงกับเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ถ้าแย่กว่านั้น อาจถึงกับเสียชีวิต แต่ท่านไม่สนใจ บอกว่า พรุ่งนี้ เขาจะเผาศพแล้ว ต้องออกไปร่วมงาน...(ดื้อจริงๆ) แล้วท่านก็ออกไปจริงๆ โดยคืนนั้น ท่านไปค้างคืนที่กุฏิอนุสรณ์..
      พอผ่านไป ๓ วัน ก็มีคนมาส่งข่าวให้พี่ทราบว่า ท่านไปเกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตก ขณะร่วมงานศพ ต้องหามส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา (เฮ้อ..เตือนแล้วไม่ฟัง)
     
      ที่รักจ้ะ...
      ศพของท่าน ถูกนำมาจัดพีธีในวิหารวัดเดิมที่ท่านเคยรักษาการเจ้าอาวาส คือวัดเจ้าคณะจังหวัด ที่พี่อยู่นี่แหละจ้ะ
      การจัดงานศพของพระที่มีลูกศิษย์ลูกหามาก อาจกินเวลาเป็นปี โดยมีการสวดอภิธรรมทุกๆคืน
      สำหรับงานนี้ เริ่มไปได้เพียง ๓ คืน ก็เกิดปรากฏการณ์ ที่พี่ต้องจำไปจนตาย
      ตอนนั้เป็นช่วงกลางพรรษาพอดี ฝนตกได้ทุกวัน ทั้งลมก็พัด ฝนก็สาดเข้ามาในกุฏิ จนพี่ต้องปิดประตู-หน้าต่างก่อนนอนทุกคืน (พระนอน ใช้ศัพท์ว่า จำวัดจ้ะ แต่เราใช้ศัพท์ง่ายๆ กันดีกว่านะจ้ะ)
      คืนนั้น หลังจากพี่เข้านอนแล้ว มารู้สึกตัวอีกที ก็เพราะมีเสียงดัง "กึก....กึก...กึก...กึกฯลฯ" ดังมาจากชุดรับแขกไม้ ที่ตั้งติดกับผนังห้องของพี่
      เมื่อรู้สึกตัว พี่ก็คิดว่า สงสัยจะมีใครเข้ามานั่งโยกชุดรับแขก ที่ขาสูงต่ำไม่เท่ากัน พี่เลยเปิดประตูออกไปดูนอกห้อง ....ว่างเปล่า  ไหนลองไปจับชุดรับแขกซิ ตัวไหน ที่ขาไม่เสมอกัน จะได้จับไปติดฝาผนัง ให้ขยับไม่ได้
       จับไปจนครบทุกตัว...ไม่มีตัวไหน ที่ขาไม่เสมอกันเลย....งง???? ....ยังไง???.....นอนต่อดีกว่า...
       พี่กลับไปนอน กำลังเคลิ้มๆ มีเสียงอีกแล้ว "กึก...กึก...กึก....กึก...ฯลฯ" พี่ลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด ถามตัวเองว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ไม่เข้าใจ...ออกไปดูอีกทีซิ...
       แล้วพี่ก็ออกมาดูอีก...ว่างเปล่า...เอ......งง?????.....มันยังไง???....
        พี่กลับไปนอนต่อ คราวนี้ เปิดไฟในห้องไว้เลย ยังไม่ทันจะได้หลับตา ..มีเสียงอีกแล้ว "กึก..กึก..กึก...กึก...ฯลฯ" พี่พูดกับตัวเองว่า "กูไม่ออกไปแล้วโว้ย...."
         แล้วพี่ก็พนมมือขึ้นตรงหน้าอก แล้วหลับตา ตั้งจิตอธิษฐานว่า " อาจารย์ครับ ถ้าท่านมาส่งเสียงแบบนี้ ผมคงไม่ต้องหลับต้องนอนกันแล้วนะครับ...ในเมื่อท่านตายไปแล้ว อย่าห่วงกุฏินี้อยู่อีกเลยครับ...ไปผุดไปเกิดดีกว่าครับ...ผมกราบล่ะครับ..สงสารผมเถอะ ผมนอนหลับไม่ได้..."แล้วพี่ก็ยกมือที่พนมอยู่ขึ้นจรดหน้าผาก
         เสียงก็เงียบไปในบัดดล.....พี่รออยู่สักพักใหญ่ๆ....เงียบสนิท
         พี่จึงลุกขึ้นมาปิดไฟ...นอนดีกว่า.....
         แล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก...ตลอดมา

          ที่รักจ้ะ..
          คนที่ตายไปแล้ว แต่จิตใจยังผูกพันกับ คนรัก หรือทรัพย์สมบัติ มักไม่ยอมไปผุดไปเกิด  หรือว่า เลือกกันได้...?
          พี่ก็ไม่เข้าใจ เพราะยังไม่เคยมีคนตายที่ไหน กลับมาเล่าให้ฟังสักคน แม้แต่คุณพ่อของพี่เอง ตายแล้วก็หายจ้อย....ไม่มาหากันเลยจ้ะ

                                                     รักจ้ะ.....

                                         คนเดิม.............ติงต๊องเหมือนเดิม

๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น