รักอย่างไร?...ไม่อกหัก
บทความนี้นี้ เรียบเรียงขึ้นเพื่อผู้ที่ยังมีความปรารถนาในความสุขทางโลกย์
บทความนี้นี้ เรียบเรียงขึ้นเพื่อผู้ที่ยังมีความปรารถนาในความสุขทางโลกย์
จากประสบการณ์การศึกษาชีวิตจริง ผ่านมุมมองทางพุทธ หวังว่าจะช่วยให้จำนวนคนอกหักลดลงไปบ้าง แม้เพียงเล็กน้อย
ความรักคืออะไร?
ความรักคือ สิ่งปรุงแต่งของจิต โดยมี"ราคะ"เป็นมูลฐาน ทำให้เกิดความพึงพอใจในตัวบุคคล สัมผัส และความสัมพันธ์ ก่อให้เกิด"ตัณหา"อยากเป็นเจ้าของ อยากร่วมเรียงเคียงคู่ ตลอดจนเกิดความหวงแหน-หึงหวง
ความรักเกิดจากอะไร?ขอละไว้ไม่กล่าวถึง
ความรักมีกี่ระยะ?
แบ่งคร่าวๆได้เป็น ๓ ระยะ คือ
ระยะที่ ๑ ระยะ"honey moon/ข้าวใหม่ปลามัน" คู่รักเพิ่งพบกัน เกิดอาการ"รักแรกพบ"บางคนคิดไปว่าเป็นบุพเพสันนิวาส/เป็นเนื้อคู่กันมาแต่ชาติปางก่อน จิตใจของคู่รักจะมีแต่ความหลงใหล ขาดสติปัญญา จึงมักกล่าวว่า"ความรักทำให้คนตาบอด" เพราะมองไม่เห็นข้อบกพร่องของอีกฝ่าย คนรักทำอะไรก็ถูกไปหมดใครจะมาตำหนิติติงไม่ได้(แฟนข้าใครอย่าแตะ)ติดกันเป็นตังเม คู่รักจะแคร์กันมาก อยากได้อะไรก็จะตามใจหาให้-ทำให้ ชี้นกเป็นไม้ชี้ไม้เป็นแมว ข้อเสียใดๆของตนจะถูกปกปิดซ่อนเร้น นิสัยไม่ดีก็อดไว้ไม่ทำ คู่รักจะมีหัวใจที่ท่วมท้นไปด้วยความรักหวานหยดย้อย โลกทั้งใบเป็นสีชมพู ระยะนี้กินเวลา ๓ เดือน- ๑ ปี
ระยะที่ ๒ ระยะ"คุ้นเคยกัน" คู่รักใช้เวลาร่วมกันมาถึงจุดที่ความรักเริ่มอ่อนรสอ่อนแรงลงบ้าง ความคุ้นเคยทำให้เริ่มลดการเอาใจกัน เริ่มเป็นตัวของตัวเอง ผ่อนคลายความระมัดระวังตัว เริ่มทำตัวตามสบาย ข้อเสียที่เคยปกปิดซ่อนเร้นก็เริ่มปลดปล่อยออกมาให้ปรากฏ (ตาที่เคยบอดก็เริ่มมองเห็น) มองเห็นข้อเสียของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น จนอาจมีการตัดพ้อต่อว่าอีกฝ่ายว่าเปลี่ยนไป ระยะนี้กินเวลา ๓ เดือน-๖ เดือน
ระยะที่ ๓ ระยะ"เฉยๆ" ทั้งคู่คุ้นเคยกันจนเหมือนเป็นคนๆเดียวกัน นิสัยหลายๆอย่างก็เหมือนกัน รู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี ต่างเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ อะไรที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ถือว่ายุติแต่เพียงเท่านี้ และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ความหวานแทบไม่มีร่องรอยหลงเหลือ ความรู้สึกต่อกันเป็นเหมือนเพื่อนใจ-คู่ชีวิต ระยะนี้กินเวลาตราบเท่าที่คบกัน-ตลอดชีวิต
ธรรมชาติของความรัก
เพราะความรักเป็น"สิ่งปรุงแต่งของจิต/สังขาร" จึงมีธรรมชาติคือความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง ปรวนแปร เสื่อมสลายได้ ต้องมีการปรุงแต่งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาระดับความรักไว้
ธรรมชาติของจิต
จิตมีธรรมชาติที่กลับกลอกรวดเร็ว สาดส่ายอยู่เสมอ โดยเฉพาะจิตที่ตกอยู่ใต้อำนาจของราคะ โทสะ โมหะ จะแสวงหาสิ่งสวยๆงามๆใหม่ๆมาปรนเปรอตน รังเกียจของไม่สวยไม่งาม อยากกำจัดไปให้พ้น ธรรมชาติของความรักและธรรมชาติของจิตจึงเป็นที่มาของปัญหาแทบทุกอย่างในชีวิตคน
ทำไมถึงอกหัก?
การอกหักเกิดขึ้นได้ทั้ง ๓ ระยะของความรัก สาเหตุเกิดจาก
ประการแรก ความไม่จริงใจ เพราะโลกนี้มีทั้งคนดี-คนเลว คนซื่อสัตย์สุจริต-คนใจคดทุจริต คนมีสัจจะ-คนหลอกลวง คนเห็นแก่ตัวน้อย-คนเห็นแก่ตัวมาก คนจิตใจมั่นคง-คนเหลาะแหละเหลวไหล เมื่อคนชั่วเหล่านี้ปฏิบัติต่อผู้อื่นจึงยังผลให้อีกฝ่ายอกหัก/หักอกได้
อีกประการหนึ่งคือการปกปิดซ่อนเร้นข้อเสีย/นิสัยเสียของตนไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ เมื่อคบกัน-รักกันไปแล้วค่อยมาผ่อนคลายเปิดเผย ทำให้คุณสมบัติดีๆลดลง คุณสมบัติเลวๆเพิ่มขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงเปลี่ยนไป การเปลี่ยนใจจึงเกิดขึ้น
ประการที่สอง ความไว้วางใจผู้อื่น ด้วยคนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้หญิง คนอายุน้อยมองโลกในแง่ดี ยังอ่อนต่อโลก คนมีศีลธรรมจะมีจิตใจที่ใสซื่อบริสุทธิ์ มักคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนตน เมื่อเกิดไปรักกับคนชั่วเข้า ก็ถูกหลอกและอกหักในที่สุด
ประการที่สาม ธรรมชาติของจิต จิตมีธรรมชาติที่กลับกลอก ไม่มั่นคงถาวร คนที่แม้เป็นคนดีมีศีลธรรม หากไม่ควบคุม อดทนอดกลั้นจิตใจ ยอมปล่อยใจให้เป็นไปตามอำนาจกิเลส-ตัณหา คนดีๆเหล่านั้นอาจทำผิดศีลธรรม ย่อมสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่คู่ของตนได้ไม่ยาก
ประการที่สี่ ธรรมชาติของคน คนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้กำหนดให้ครองคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว แต่ค่อนข้างจะเป็นแบบผัวเดียวหลายเมีย ทำให้ฝ่ายหญิงถูกนอกใจ/ถูกทอดทิ้งได้ง่าย
อีกทั้งธรรมชาติทางสรีระที่ผู้หญิงจะโตเร็วกว่า-แก่เร็วกว่า-อ้วนง่ายกว่าผู้ชายในวัยเดียวกัน ประกอบกับผู้หญิงต้องตั้งครรภ์-คลอดลูก-เลี้ยงลูก สรีระของผู้หญิงจึงร่วงโรยอย่างรวดเร็วและกลับคืนสู่สภาพสวยงามได้ยาก (จึงมีคำพูดแบบคึกคะนองว่า แก่ง่าย-ตายยาก)
ประการที่ห้า วิบากกรรม ไม่ว่าจะทำดีที่สุดหรือพยายามมากสักเพียงใด ไม่ว่าใครก็หนีวิบากกรรมของตนไม่พ้น การสมหวัง/ผิดหวังในความรักก็เป็นส่วนหนึ่งของวิบากกรรมนั้น
ควรเริ่มสนใจความรักเมื่อไร?
โดยธรรมชาติแล้ว คนจะเริ่มสนใจความรักตั้งแต่เริ่มเป็นวัยเจริญพันธ์ แต่โดยธรรมชาติเช่นกัน สรีระของคนจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เมื่ออายุมากกว่า ๒๐ ปี แต่ถ้าคนๆนั้นยังมีหน้าที่ต้องศึกษาเล่าเรียนเพื่อสร้างอนาคตที่รุ่งเรือง สร้างชีวิตที่มั่นคง ความรักก็ควรเลื่อนเวลาออกไปก่อน เพื่อจิตใจจะได้มีสมาธิกับการเรียน เพื่อประสิทธิภาพประสิทธิผลทางการเรียน อีกทั้งเมื่อเรียนจบ คู่รักในวัยเรียนส่วนมากจะแยกทางกันไปหางานทำ/กลับภูมิลำเนา ทำให้ความรักมักขาดสะบั้นลง เวลาที่เหมาะสมที่จะสนใจความรักจึงควรเป็นวัยทำงานเท่านั้น
รักอย่างไร?ไม่อกหัก
เป็นคำแนะนำสำหรับคนที่มีโอกาสอกหักทุกคน ไม่ว่าชาย/หญิง มุ่งที่การป้องกันไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะเมื่อเกิดปัญหาอกหักแล้ว โอกาสแก้แทบเป็นศูนย์
ขั้นที่ ๑ เตรียมตัวเอง จะต้องอบรมตนให้เป็นคนมีจิตใจเข้มแข็ง มีสติสัมปชัญญะ มีสัมมาทิฎฐิ หมั่นศึกษาหาความรู้ธรรมชาติ-สัจจะธรรม-ชีวิต อบรมจิตใจไม่ให้อ่อนไหวไปตามอำนาจสัญชาตญาณ-กิเลส-ตัณหา
ดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามทำนองครองธรรม ไม่มักง่ายวู่วามหรือหลงใหลไปตามกระแสสังคม ที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอำนาจกิเลส-ตัณหา-วัฒนธรรมเสรีไร้การควบคุม
ขั้นที่ ๒ พิจารณาตัวเอง ไม่ใช่ทุกคนที่ควรมี/ไม่มีคู่ครอง ในที่นี้จะไม่ก้าวล่วงไปถึงสิทธิโดยธรรมชาติของบุคคลที่จะมีคู่ครอง(เพราะถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น เช่น คนทุพลภาพมีสิทธิ์มีคู่-มีลูกหรือไม่? คนจนมีลูกได้กี่คน?)
ขอให้พิจารณาและใช้วิจารณญาณของตัวเอง เมื่อเห็นว่าควร ก็ต้องกำหนดคุณสมบัติของคู่ครองขึ้นมา(ตามชอบใจ แต่ควรเป็นไปได้ด้วย) ไม่ควรไร้ขอบเขตโดยเฉพาะคุณสมบัติที่คนจะมีคู่ครองต้องมี ต้องไม่ขาดคือ ฆราวาสธรรม ได้แก่ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ต้องมีทุกคน ถ้ายังไม่มี/มีไม่ครบก็ต้องอบรมให้มีก่อน
ขั้นที่ ๓ วิธีการ เริ่มจากมองดู-มองหาคนในอุดมคติ ถ้าพบก็ดูไปสัก ๓-๖ เดือน ให้แน่ใจว่ามีคุณสมบัติตามที่เราต้องการ แล้วค่อยทำความรู้จักเอาไว้ก่อน อาจจะยอมให้เป็น"คนชอบพอกัน" เท่านั้น จับตาดู-เรียนรู้-ทำความเข้าใจกันไปสัก ๑ ปี เป็นอย่างน้อย เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการเสแสร้ง/ปิดบังอำพราง
ที่สำคัญ อย่าเพิ่งไปรัก/พลีกายพลีใจให้อย่างที่กำลังเสียสติกันไปทั่ว เพราะไม่ใช่วิถีชาวพุทธ
ขั้นที่ ๔ เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี มอบความรัก-ความไว้วางใจให้สัก ๒๐ % ไม่ควรมากกว่านั้น คบกันอย่าง"แฟน"ได้ แต่เป็น"แฟนหลวมๆ" ให้เวลาผ่านไปสัก ๑ ปี ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จะเข้าสู่ข้อต่อไป
ขั้นที่ ๕ เมื่อความรักงอกงาม โดยธรรมชาติ ความรักจะงอกงามด้วยตัวเอง ไม่ต้องขับเคลื่อนด้วยกลไกใดๆ ทั้งคู่จะรู้จักมักคุ้น เข้าใจ-รู้นิสัยใจคอกัน ถ้าอีกฝ่ายจริงใจ ไม่มีพฤติกรรมเสื่อมเสีย/หลอกลวง เอารัดเอาเปรียบ ลองปล่อยใจ(ไม่ปล่อยกาย) ให้รักได้ไม่เกิน ๕๐ % ให้เวลาอีก ๑ ปี
ขั้นที่ ๖ ความสัมพันธ์แนบแน่น ความรักสุกงอม (ที่จริง จะเริ่มคุ้นเคยกัน ผูกพันกันด้วยใจ มากกว่าอารมณ์รัก) มาถึงตอนนี้ หากคนรักเป็นคนจิตใจมั่นคง สม่ำเสมอ ร่วมทุกข์ร่วมสุขได้ ไว้วางใจได้ ฝากผีฝากไข้ได้ ค่อยมอบความรักให้สัก ๘๐ % และวางแผนแต่งงานได้แล้ว (เฮ้อ...โล่งอกซะที)
ไม่ว่าจะอย่างไร อย่าได้ชิงสุกก่อนห่าม การพลีกายพลีใจก่อนจะจดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เท่ากับเป็นการประกาศว่า"ประตูเปิดอยู่ จะเดินออกไปจากชีวิตฉันเมื่อไหร่ก็ได้"
บทสรุป
ทุกชีวิตถูกลิขิตไว้ด้วยวิบากกรรม อย่าได้คาดหวังอะไรใน"ความรัก"อย่าขาดสติ เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ความรักก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ น้ำตาของคนที่เสียใจเพราะความรัก รวมแล้วมีมากกว่าน้ำในมหาสมุทร
ไม่ว่าจะรักกันสักแค่ไหน การพลัดพรากย่อมจะต้องเกิดขึ้นเสมอ จะช้า หรือ เร็ว ก็ต้องพรากจากกัน จงตระหนักในความจริงนี้ให้ดี เสมือนยาแก้ป้องกันโรคเสียใจ
ไม่ว่าจะรักกันสักแค่ไหน การพลัดพรากย่อมจะต้องเกิดขึ้นเสมอ จะช้า หรือ เร็ว ก็ต้องพรากจากกัน จงตระหนักในความจริงนี้ให้ดี เสมือนยาแก้ป้องกันโรคเสียใจ
คนที่ไม่รู้จักรักคนอื่น นอกจากรักที่จะเป็นเจ้าของคนอื่น เห็นคนอื่นเป็นสิ่งของ มีอยู่มาก คนที่ไม่รู้จักแยกแยะระหว่าง"ความรัก"และ"ความหลงใหล" ก็มีไม่น้อยกว่ากัน โดยเฉพาะคนในวัยหนุ่มสาว จึงไม่ควรประมาทความรักเป็นอันขาด เพราะแม้จะไม่คมเหมือนมีด แต่กรีดหัวใจให้เจ็บปวดยิ่งนัก
ความรัก เป็นศิลปะของการสร้างอารมณ์........ด้วยสติปัญญา
ครอบครัว เป็นกิจการที่ต้องลงทุนด้วยชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไร...คือความรัก - ความอบอุ่น
อวิชฺชาภิกขุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น