ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแค่"พ้นทุกข์" : กลอนคติเตือนใจ




พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแค่"พ้นทุกข์" : กลอนคติเตือนใจ

    พระสัมมา สัมพุทธเจ้า.........................................สอนให้เรา เข้าใจวิถี
กฎแห่งกรรม อำนาจมี.................................เหนือชีวี ทุกๆคน

    คนทำดี ย่อมได้ดี.............................................(คน)ทำชั่วชี้ กาลีผล
เป็นพื้นฐาน ขั้นสากล.....................................หลักเบื้องต้น คิดก่อนทำ(กรรม)

    แม้นิพพาน อันอุกฤษฏ์........................................(ก็มี)กุศลจิต ประสิทธิ์ค้ำ(อุกฤษฏ์=สูงสุด)
ขจัดมลทิน(จากใจ) สิ้นบาปกรรม.....................คือหลักธรรม ต้องดำเนิน(ตามธรรมวินัย)

    ไม่ใช่ว่า (เหมือนบางคน)อ้าปากก็.........................."พ้นทุกข์"จ้อ บ่ขัดเขิน
(ดู)เหมือนฉลาด (แต่)ขาดๆเกินๆ......................คนสรรเสริญ ไหว้บูชา(แค่ไม่ยึดมั่นก็พ้นทุกข์ ง่ายดี)

    หากสังเกต ธรรมวินัย..........................................เอาใจใส่ ไตรสิกขา*
ศีล-สมาธิ และปัญญา..................................มีสาระ ว่ากระไร?

    ศีลรักษา คุมประพฤติ..........................................แรกหลักยึด พฤติกรรมให้
มีระเบียบ-กฎ-วินัย.........................................ไม่ละเมิด ประเสริฐเป็น

    สมาธิ=ใจตั้งมั่น.................................................(ใน)กุศลกรรม์ บรรเจิดเห็น
(ไม่)ใช่ดำริ(แค่) ตั้งสติเป็น..............................เช่นโฉดเขลา เฝ้าสอนคน(อื่น)

    ร่วมปัญญา วิชชาเกิด..........................................สะพรั่งเพริศ เลอเลิศผล
พุทธศาสนา พาผู้คน.......................................เป็นสาธุชน สนใจเทอญฯ(สาธุชน=คนดี)

๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓

*
กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์ ปรารถนาเพื่อจะตรัสรู้สันตบท พึงบำเพ็ญไตรสิกขา
กุลบุตรนั้นพึงเป็นผู้อาจหาญ เป็นผู้ตรง ซื่อตรง ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่ง สันโดษ เลี้ยงง่าย
มีกิจน้อย มีความประพฤติเบา มีอินทรีย์อันสงบแล้ว มีปัญญาเครื่องรักษาตน ไม่คะนอง ไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย
และไม่พึงประพฤติทุจริตเล็กน้อยอะไรๆ ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านผู้รู้เหล่าอื่นติเตียนได้.....
จาก <https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=7380&Z=7409

**
หลายๆสำนัก ที่เชิดชูตัวเองว่าเป็น "พุทธแท้" เป็นพุทธที่"ไม่งมงาย"
หลีกเลี่ยงที่จะสอน(บางแห่งปฏิเสธความมีอยู่) หลักธรรมเรื่อง ความดี-ความชั่ว,บาปบุญคุณโทษ,กฎแห่งกรรม,การเวียนว่ายตายเกิด,ภพ-ชาติฯลฯ
อ้างว่า "เป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้","ไม่เป็นวิทยาศาสตร์","ไม่ทันสมัย","ทั่วโลกไม่ยอมรับ","ไม่มีอยู่จริง"ฯลฯ
เน้นสอนแต่เรื่อง "พ้นทุกข์","นิพพานคือสภาพไม่มีความทุกข์ " (ไม่ใช่หยุดเวียนว่ายตายเกิด) ฯลฯ เข้าลักษณะ "จิตวิทยา" ไม่ใช่"ศาสนา"
เจ้าสำนักมักจะแสดงความเป็นคนที่มีอารมณ์ดี ยิ้ม-หัวเราะอย่างเป็นสุข-ไม่มีความทุกข์ ตลอดเวลา
โดยไม่ใส่ใจว่า เนื้อหาในพระไตรปิฎก "พระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้าง?"
หยิบยกมาอ้างเฉพาะสิ่งที่ตัวเองชอบ ส่วนใดที่ตัวเองไม่ชอบก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ทำราวกับเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง
ลูกศิษย์ลูกหาก็ชื่นชอบ คิดว่า ถ้าทำตามก็จะไม่มีความทุกข์-มีแต่ความสุข แค่นี้พอแล้ว ไม่สนใจเรื่องอื่น 
สำนักพุทธเหล่านี้
จึงเป็นตัวการหนึ่ง ที่ทำลายพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า สร้างพุทธศาสนาแบบใหม่ตามใจตัวเอง(ที่งมงายความไม่รู้จริง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น