ประสบการณ์ ณ
ห้วงหนึ่งของเวลา : กลอนคติชีวิต
เมื่อสิ้นแรงแห่งแสงสุรินทร์
ชีวินทั้งหลายในไพรสาณฑ์
ย่อมเข้าสู่กาลพักผ่อน
ราตรีคลี่คลุมกุมฟ้าอมร
แลอาภาก็รี่รอนซ่อนเว้น...
เร้นลับไป...
ณ เบื้องบูรพามหัตทิศ(มหัต=ยิ่งใหญ่)
วิจิตรสกาวด้วยดาวเต่าและดาวไถ
จากจินตนาการของบรรพชนคนไทย
ชาวกรีกไซร้มองเห็นเป็นภาพนายพราน
มิปรารมภ์ความนิยมของผู้คน
ดวงดาวเพราสกล
อยู่หนห่างต่างกันไป ณ
ไกลสถาน
ไม่เกี่ยวข้องไม่ต้องการ
ผสมผสานสัมพันธ์สื่อ
หรือยึดถือสิ่งอันใด....
เปรียบเสมือนดั่งชีวิตคน...
ต่างคนต่างผจญชะตา
วิจิตรจินตนาละลานตระการไฉน
วิจารณ์จากประจักษ์จล
แห่งเหตุและผลของตนไป
สร้างเป็นทัศนะคติ
ที่ชื่อว่า " ความหมายชีวิต "
ตามความคิดของใครของมัน
แต่ละช่วงแต่ละชนม์ระคนเคล้า
แต่ละคนแต่ละเหล่าเฝ้าสำรวจตรวจขัน
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น
แต่ละคนต่างหมายมั่น
ว่านี่เป็น " ชีวันของตน "
จึงได้เห็นความเป็น
เช่น " ธรรมดาของชีวิต "
ที่วิจิตร และ/หรือ
วิกฤติผลิตผล
ต่างก็สร้างต่างก็ก่อกรรมตามจิตคิดค้น
จนกระทั่งสิ้นแรงแห่งแสงชีวี
เมื่อวิญญาณละไปจากกายสังขาร
ย่อมถึงกาลแห่งความซ่านซึ้งซึ่ง " สัจจ์วิถี "
ว่า " ตัวเรา-ชีวิตของเรา "
ที่มัวเมานั้นมัน...ไม่มี
สิ่งทั้งหลายมากมาย
ใดๆที่ผ่านมาสู่เรานี้...
" ชีวี " ก็เป็นแค่เพียง...
" ประสบการณ์ ณ ห้วงหนึ่งของเวลา "
เท่านั้นเอง ฯ
๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น