ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ชายขอทานพิการ กับคนขายตะเกียงรั้ว

                                                                              Google 


ชายขอทานพิการ กับคนขายตะเกียงรั้ว
(แต่งจากเรื่องจริงที่เกิด ณ วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕)

      ณ รุ่งอรุณแห่งฤดูฝน ...
      หยาดพิรุณที่กระหน่ำลงมา สลับกับสายลมที่พัดโหมตลอดคืนยังไม่หยุดลง ทำให้อากาศยามเช้าวันนี้เย็นชื้นชวนเฉื่อยชา... แต่ทว่าทุกชีวิตได้ตื่นแล้ว
      ชายวัยใกล้กลางคน เดินหลังค่อมสะพายเป้เก่าๆใบหนึ่ง ฝ่าสายฝนมาเพียงลำพัง
      ภายใต้ผมเผ้าและหนวดเครารุงรัง คือดวงตาโตที่มีหนังตาปรือ หางตาตก แก้มตอบและผิวหน้ากรำแดด ร่างกายซูบผอมถูกสวมทับด้วยเสื้อยืดสีม่วงกางเกงขาสั้นสกปรกและสวมรองเท้ารัดส้น ไม่เพียงร่างกายซูบผอม แต่แขนขาข้างขวายังลีบเล็ก ทำให้เขาต้องใช้ไม้ค้ำยันพยุงตัวไปในยามเดิน
      ด้วยการเคลื่อนไหวทีไร้เรี่ยวแรง เขาได้พาร่างกายไปถึงร้านค้าที่ชายเจ้าของกำลังจัดสินค้าหน้าร้าน และโดยการยืนรอหน้าร้านและยกมือสั่นเทาข้างซ้ายขึ้นค้างไว้ ทำให้เจ้าของร้านรู้ว่าชายผู้นั้นเป็นขอทาน เขาจึงหยิบเหรียญมาให้ แล้ววางบนฝ่ามือของชายขอทาน แต่แล้วเขาก็ต้องผงะ รีบถอยหลังเล็กน้อยเพราะกลิ่นเหล้าปนกลิ่นเสื้อผ้าที่ไม่ซัก ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งมาจากชายขอทาน
      เมื่อได้เงินแล้ว ก่อนที่จะหันหลังจากไป ทันใดนั้นสายตาของชายขอทาน ก็เหลือบมองขึ้นไปเห็นตะเกียงรั้วที่เป็นสินค้าแขวนไว้ในบ้าน ดวงตาปรือกลับเบิกโพลงขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ริมฝีปาก พรางมองมาที่เจ้าของร้านสลับกับตะเกียงรั้ว พร่ำพูดเหมือนคนปัญญาอ่อนว่า “ อยากได้..อยากได้  “ซ้ำๆหลายครั้ง
       เจ้าของร้านมองตะเกียงรั้วสีเขียว โครงลวดสีทอง  อย่างครุ่นคิดด้วยเหตุและผลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาบอกชายขอทานว่า “ 300 บาท มีเงินซื้อไม๊ ? “ ชายขอทานที่เพิงยิ้มแย้มกลับมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักเหมือนกำรู้สึกมึนงง สมองไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้ เขาก้มลงมองมือขวาที่ยกขึ้นมาอย่างลำบาก มือขวานั้นสั่นเทาอย่างรุนแรง แล้วหันมามองหน้าเจ้าของร้านอย่างคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ
      เจ้าของร้านรอดูอยู่ครู่ใหญ่พร้อมสังเกตอากัปกิริยาของชายขอทาน พรางคิดคำนึงว่า เขากำลังเป็นอะไร ? ก่อนจะเดินไปหยิบเครื่องคิดเลขมากดตัวเลข 300 แล้วยื่นให้ชายขอทานดู
      ชายขอทานมองดูตัวเลข 300 แล้วก้มหน้ามองพื้น สีหน้าดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้ เวลาผ่านไปไม่นานนัก เขาก็เงยหน้ามาจ้องมองเจ้าของร้านด้วยดวงตาละห้อย เจ้าของร้านครุ่นคิดตีความหมายสีหน้านั้นสักครู่ ก่อนจะเอ่ยปากว่า “ ลดให้ 250 บาท  “ แล้วกดเลข 250 บนเครื่องคิดเลขยื่นให้ชายขอทานดู
      ชายขอทานมีรอยยิ้มขึ้นมาทันที เอานิ้วชี้เขียนเลข 250 ก้มตัวลงวางไม้ค้ำยันลงบนพื้น แล้วนั่งลงเหยียดขาทั้งสองข้าง พรางเอาเป้ออกจากหลังอย่างทุลักทุเล ก่อนจะล้วงเข้าในกระเป๋าช่องหนึ่ง พร้อมดึงธนบัตรใบ 20 บาทเก่าๆออกมา ธนบัตรนั้นถูกเก็บไว้มีพับละ 5 ใบ และไม่เป็นพับอยู่ส่วนหนึ่งถูกวางลงบนพื้นข้างชายขอทาน แล้วเขาก็เงยหน้ามามองเจ้าของร้านที่เข้าใจในทันทีว่า คงมีเงินแค่นี้
      เจ้าของร้านก้มลงหยิบเงินขึ้นมานับ ได้ธนบัตรใบ 20 บาทจำนวน  9 ใบ จึงได้บอกชายขอทานว่า “ เงินไม่พอ “ ชายขอทานก้มหน้ามองกางเกงขาสั้นที่สวมอยู่ แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ดึงเหรียญออกมาจ้องมองดูอยู่นานเหมือนคิดไม่ออก ในมือมีเหรียญบาท 6 เหรียญ เหรียญสิบ 1 เหรียญ ก่อนจะส่งสายตาละห้อยพร้อมรอยยิ้มเก้อๆมาที่เจ้าของร้าน
      เจ้าของร้านมองดูเงินทั้งหมด สลับกับมองขอทานที่ฉายแววตาเหมือนเด็กที่กำลังอ้อนวอนขอของเล่น เจ้าของร้านเม้มริมฝีปาก พร้อมขมวดคิ้วครุ่นคิดหลายแง่หลายด้านทั้งแง่จริยธรรม ความจำเป็น-ความปลอดภัยที่คนพิการจะใช้ตะเกียงรั้ว และธุรกิจ ก่อนจะตัดสินใจบอกชายขอทานไปว่า “ ไม่เป็นไร ให้ละกัน “
      ชายขอทานมองดูเจ้าของร้านด้วยใบหน้าของคนปัญญาอ่อนที่ยิ้มแย้ม ขณะที่มองเจ้าของร้านเอาไม้สอยตะเกียงรั้วลงมาส่งให้เขารับไปถือไว้ พรางพูดว่า “ ชอบมาก ชอบมาก “ ไม่ขาดปาก
      เจ้าของร้านเดินไปหยิบถุงมาใส่ตะเกียงรั้วแล้วยื่นให้ชายขอทานอีกครั้ง พรางคิดว่า ชายขอทานจะเอาไปได้อย่างไร ? แขนขาข้างขวาก็ลีบเล็กไม่มีแรง แขนข้างซ้ายก็จับไม้ค้ำยัน เป้สะพายไว้ที่หลังมีของอะไรไม่รู่อยู่ใส่ไว้เกือบเต็ม เขาจึงไปหยิบเชือกฟางยาว 2 ฟุตมาเส้นหนึ่ง แล้วเอาถุงตะเกียงรั้วจากชายขอทานที่มองดูอย่างหน้าเสีย เหมือนจะถูกเอาของคืน
      เจ้าของร้านผูกเชือกฟางกับถุง แล้วมัดติดกับสายหิ้วของเป้ ขณะที่ชายขอทานก็พูดซ้ำๆว่า “ มัดไว้ มัดไว้ “ เมื่อเจ้าของร้านมัดเสร็จ ชายขอทานก็ยังจับถุงตะเกียงรั้วมาดูพร้อมพูดว่า “ ชอบมาก ชอบมาก “ ไม่ขาดปาก ก่อนจะพยายามใช้มือซ้ายคล้องสายเป้เข้าที่แขนขวาที่ไม่ยอมขยับ ทำให้สายเป้ติดที่ข้อศอก ดึงเข้าไปพาดบ่าไม่ได้
      เจ้าของร้านมองดูสักพัก ก่อนจะเข้าไปช่วยจัดสายเป้ให้ผ่านแขนขวาที่ไม่มีแรงของชายขอทาน จนสามารถไปพาดบนบ่าได้สำเร็จ ชายขอทานคล้องสายเป้เข้าที่แขนซ้าย ทำให้เป้ที่สะพายเรียบร้อย หย่อนลงไปจนถุงตะเกียงรั้วกระทบพื้น
      เจ้าของร้านที่เฝ้ามองตลอด รีบคว้าถุงตะเกียงรั้วไว้เพราะกลัวแก้วของตะเกียงรั้วแตก ก่อนจะบอกชายขอทานให้รอสักครู่ แล้วเดินไปหยิบกระดาษมา 3 พับ เอาตะเกียงรั้วออกจากถุง ห่อด้วยกระดาษนั้นเพื่อกันกระแทก ก่อนจะเอาตะเกียงรั้วใส่กลับเข้าไปในถุงอีกครั้งหนึ่ง
      ชายขอทาน มองดูการกระทำนั้นด้วยความพึงพอใจ แล้วพยุงร่างที่ซูบผอมให้ลุกขึ้นด้วยขาซ้ายข้างเดียวได้อย่างไม่ยากเย็น ก้มลงคว้าไม้ค้ำยันอันเดียวนั้น แล้วหันมามองหน้าเจ้าของร้านอีกครั้ง มีรอยยิ้มล็กน้อยอย่างคนมีกำลังใจ ก่อนที่จะเดินฝ่าสายฝนที่ยังไม่หยุดไหลริน สายลมทียังไม่หยุดพัด และฝูงแมลงเม่าที่กำลังสะบัดปีกโผบินจากพื้นขึ้นสู่อากาศ
      เจ้าของร้านมองดูชายขอทานที่เดินจากไปจนลับตา เขาสัมผัสได้ถึงความสุขของคนๆหนึ่งที่ได้ครอบครองสิ่งของที่อยากได้สมใจ พรางก็คิดว่าชายขอทานจะเอาตะเกียงไปทำอะไร ? ไปใช้อย่างไร ? เพราะเจ้าของร้านใคร่ครวญแล้วจึงตัดสินใจไม่เติมน้ำมันให้ ด้วยกลัวว่าชายขอทานพิการอาจจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บ พิการมากขึ้น หรืออาจถึงกับเสียชีวิต โดยอุบัติเหตุจากการใช้ตะเกียงรั้วที่ผิดพลาด ฯ

๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น