ชายขอทานพิการ
กับคนขายตะเกียงรั้ว
(แต่งจากเรื่องจริงที่เกิด ณ วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕)
ณ รุ่งอรุณแห่งฤดูฝน ...
หยาดพิรุณที่กระหน่ำลงมา
สลับกับสายลมที่พัดโหมตลอดคืนยังไม่หยุดลง ทำให้อากาศยามเช้าวันนี้เย็นชื้นชวนเฉื่อยชา... แต่ทว่าทุกชีวิตได้ตื่นแล้ว
ชายวัยใกล้กลางคน
เดินหลังค่อมสะพายเป้เก่าๆใบหนึ่ง ฝ่าสายฝนมาเพียงลำพัง
ภายใต้ผมเผ้าและหนวดเครารุงรัง
คือดวงตาโตที่มีหนังตาปรือ หางตาตก แก้มตอบและผิวหน้ากรำแดด
ร่างกายซูบผอมถูกสวมทับด้วยเสื้อยืดสีม่วงกางเกงขาสั้นสกปรกและสวมรองเท้ารัดส้น
ไม่เพียงร่างกายซูบผอม แต่แขนขาข้างขวายังลีบเล็ก
ทำให้เขาต้องใช้ไม้ค้ำยันพยุงตัวไปในยามเดิน
ด้วยการเคลื่อนไหวทีไร้เรี่ยวแรง
เขาได้พาร่างกายไปถึงร้านค้าที่ชายเจ้าของกำลังจัดสินค้าหน้าร้าน
และโดยการยืนรอหน้าร้านและยกมือสั่นเทาข้างซ้ายขึ้นค้างไว้
ทำให้เจ้าของร้านรู้ว่าชายผู้นั้นเป็นขอทาน เขาจึงหยิบเหรียญมาให้
แล้ววางบนฝ่ามือของชายขอทาน แต่แล้วเขาก็ต้องผงะ
รีบถอยหลังเล็กน้อยเพราะกลิ่นเหล้าปนกลิ่นเสื้อผ้าที่ไม่ซัก ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งมาจากชายขอทาน
เมื่อได้เงินแล้ว ก่อนที่จะหันหลังจากไป
ทันใดนั้นสายตาของชายขอทาน
ก็เหลือบมองขึ้นไปเห็นตะเกียงรั้วที่เป็นสินค้าแขวนไว้ในบ้าน
ดวงตาปรือกลับเบิกโพลงขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ริมฝีปาก
พรางมองมาที่เจ้าของร้านสลับกับตะเกียงรั้ว พร่ำพูดเหมือนคนปัญญาอ่อนว่า “
อยากได้..อยากได้ “ซ้ำๆหลายครั้ง
เจ้าของร้านมองตะเกียงรั้วสีเขียว
โครงลวดสีทอง อย่างครุ่นคิดด้วยเหตุและผลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาบอกชายขอทานว่า “ 300 บาท มีเงินซื้อไม๊ ? “
ชายขอทานที่เพิงยิ้มแย้มกลับมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักเหมือนกำรู้สึกมึนงง
สมองไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้
เขาก้มลงมองมือขวาที่ยกขึ้นมาอย่างลำบาก มือขวานั้นสั่นเทาอย่างรุนแรง
แล้วหันมามองหน้าเจ้าของร้านอย่างคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ
เจ้าของร้านรอดูอยู่ครู่ใหญ่พร้อมสังเกตอากัปกิริยาของชายขอทาน
พรางคิดคำนึงว่า เขากำลังเป็นอะไร ? ก่อนจะเดินไปหยิบเครื่องคิดเลขมากดตัวเลข 300
แล้วยื่นให้ชายขอทานดู
ชายขอทานมองดูตัวเลข 300
แล้วก้มหน้ามองพื้น สีหน้าดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้ เวลาผ่านไปไม่นานนัก
เขาก็เงยหน้ามาจ้องมองเจ้าของร้านด้วยดวงตาละห้อย
เจ้าของร้านครุ่นคิดตีความหมายสีหน้านั้นสักครู่ ก่อนจะเอ่ยปากว่า “ ลดให้ 250 บาท “ แล้วกดเลข 250 บนเครื่องคิดเลขยื่นให้ชายขอทานดู
ชายขอทานมีรอยยิ้มขึ้นมาทันที เอานิ้วชี้เขียนเลข 250 ก้มตัวลงวางไม้ค้ำยันลงบนพื้น แล้วนั่งลงเหยียดขาทั้งสองข้าง พรางเอาเป้ออกจากหลังอย่างทุลักทุเล
ก่อนจะล้วงเข้าในกระเป๋าช่องหนึ่ง พร้อมดึงธนบัตรใบ 20 บาทเก่าๆออกมา ธนบัตรนั้นถูกเก็บไว้มีพับละ 5 ใบ และไม่เป็นพับอยู่ส่วนหนึ่งถูกวางลงบนพื้นข้างชายขอทาน
แล้วเขาก็เงยหน้ามามองเจ้าของร้านที่เข้าใจในทันทีว่า คงมีเงินแค่นี้
เจ้าของร้านก้มลงหยิบเงินขึ้นมานับ
ได้ธนบัตรใบ 20 บาทจำนวน 9 ใบ
จึงได้บอกชายขอทานว่า “ เงินไม่พอ “ ชายขอทานก้มหน้ามองกางเกงขาสั้นที่สวมอยู่
แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ดึงเหรียญออกมาจ้องมองดูอยู่นานเหมือนคิดไม่ออก
ในมือมีเหรียญบาท 6 เหรียญ เหรียญสิบ 1 เหรียญ
ก่อนจะส่งสายตาละห้อยพร้อมรอยยิ้มเก้อๆมาที่เจ้าของร้าน
เจ้าของร้านมองดูเงินทั้งหมด
สลับกับมองขอทานที่ฉายแววตาเหมือนเด็กที่กำลังอ้อนวอนขอของเล่น
เจ้าของร้านเม้มริมฝีปาก พร้อมขมวดคิ้วครุ่นคิดหลายแง่หลายด้านทั้งแง่จริยธรรม ความจำเป็น-ความปลอดภัยที่คนพิการจะใช้ตะเกียงรั้ว และธุรกิจ ก่อนจะตัดสินใจบอกชายขอทานไปว่า
“ ไม่เป็นไร ให้ละกัน “
ชายขอทานมองดูเจ้าของร้านด้วยใบหน้าของคนปัญญาอ่อนที่ยิ้มแย้ม
ขณะที่มองเจ้าของร้านเอาไม้สอยตะเกียงรั้วลงมาส่งให้เขารับไปถือไว้ พรางพูดว่า “
ชอบมาก ชอบมาก “ ไม่ขาดปาก
เจ้าของร้านเดินไปหยิบถุงมาใส่ตะเกียงรั้วแล้วยื่นให้ชายขอทานอีกครั้ง
พรางคิดว่า ชายขอทานจะเอาไปได้อย่างไร ? แขนขาข้างขวาก็ลีบเล็กไม่มีแรง
แขนข้างซ้ายก็จับไม้ค้ำยัน เป้สะพายไว้ที่หลังมีของอะไรไม่รู่อยู่ใส่ไว้เกือบเต็ม
เขาจึงไปหยิบเชือกฟางยาว 2 ฟุตมาเส้นหนึ่ง
แล้วเอาถุงตะเกียงรั้วจากชายขอทานที่มองดูอย่างหน้าเสีย เหมือนจะถูกเอาของคืน
เจ้าของร้านผูกเชือกฟางกับถุง
แล้วมัดติดกับสายหิ้วของเป้ ขณะที่ชายขอทานก็พูดซ้ำๆว่า “ มัดไว้ มัดไว้ “
เมื่อเจ้าของร้านมัดเสร็จ ชายขอทานก็ยังจับถุงตะเกียงรั้วมาดูพร้อมพูดว่า “ ชอบมาก
ชอบมาก “ ไม่ขาดปาก ก่อนจะพยายามใช้มือซ้ายคล้องสายเป้เข้าที่แขนขวาที่ไม่ยอมขยับ
ทำให้สายเป้ติดที่ข้อศอก ดึงเข้าไปพาดบ่าไม่ได้
เจ้าของร้านมองดูสักพัก
ก่อนจะเข้าไปช่วยจัดสายเป้ให้ผ่านแขนขวาที่ไม่มีแรงของชายขอทาน
จนสามารถไปพาดบนบ่าได้สำเร็จ ชายขอทานคล้องสายเป้เข้าที่แขนซ้าย
ทำให้เป้ที่สะพายเรียบร้อย หย่อนลงไปจนถุงตะเกียงรั้วกระทบพื้น
เจ้าของร้านที่เฝ้ามองตลอด
รีบคว้าถุงตะเกียงรั้วไว้เพราะกลัวแก้วของตะเกียงรั้วแตก
ก่อนจะบอกชายขอทานให้รอสักครู่ แล้วเดินไปหยิบกระดาษมา 3 พับ
เอาตะเกียงรั้วออกจากถุง ห่อด้วยกระดาษนั้นเพื่อกันกระแทก ก่อนจะเอาตะเกียงรั้วใส่กลับเข้าไปในถุงอีกครั้งหนึ่ง
ชายขอทาน มองดูการกระทำนั้นด้วยความพึงพอใจ
แล้วพยุงร่างที่ซูบผอมให้ลุกขึ้นด้วยขาซ้ายข้างเดียวได้อย่างไม่ยากเย็น
ก้มลงคว้าไม้ค้ำยันอันเดียวนั้น
แล้วหันมามองหน้าเจ้าของร้านอีกครั้ง มีรอยยิ้มล็กน้อยอย่างคนมีกำลังใจ
ก่อนที่จะเดินฝ่าสายฝนที่ยังไม่หยุดไหลริน สายลมทียังไม่หยุดพัด
และฝูงแมลงเม่าที่กำลังสะบัดปีกโผบินจากพื้นขึ้นสู่อากาศ
เจ้าของร้านมองดูชายขอทานที่เดินจากไปจนลับตา
เขาสัมผัสได้ถึงความสุขของคนๆหนึ่งที่ได้ครอบครองสิ่งของที่อยากได้สมใจ พรางก็คิดว่าชายขอทานจะเอาตะเกียงไปทำอะไร ? ไปใช้อย่างไร ?
เพราะเจ้าของร้านใคร่ครวญแล้วจึงตัดสินใจไม่เติมน้ำมันให้
ด้วยกลัวว่าชายขอทานพิการอาจจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บ พิการมากขึ้น
หรืออาจถึงกับเสียชีวิต โดยอุบัติเหตุจากการใช้ตะเกียงรั้วที่ผิดพลาด ฯ
๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น