ชีวีต้องมีความรู้ :
กลอนเจ็ด
๏ สิ้นเดือน ตุลาฯ
แต่ฟ้าครึ้ม.................รุ่งเช้า เซาซึม ลืมสูรย์แสง
เมฆฝน หม่นนภา
ดั่งแสดง....................ขัดแย้ง กับข่าว หนาวฤดู
๏ ลมพัด จัดให้
ไม่เห็นแห้ง..................ชื้นแฝง ปานฝน ปะปนสู่
สัมผัส อ่อนนุ่ม
เหมือนอุ้มชู...................พงไพร ได้อยู่ สุขสบาย
๏ เพียงฝน ไม่พอ
ต่อชีวิต....................เป็นคน ต้องคิด พิศขวนขวาย
ทำมา หาเพียง
พอเลี้ยงกาย..................ความหมาย ชีวา ล่านิยาม
๏ เกิดมา ทำไม ? ใคร่ครวญขบ.............ประสบ
พบการณ์ พานแผกหลาม
สบทุกข์ สุขเคล้า
เศร้าติดตาม................มีความ เป็นมา เพราะอะไร ?
๏ ตำรับ ตำรา
แต่อดีต.........................ปราชญ์ขีด พากเขียน เพียรแจ้งไข
ศึกษา ปฏิบัติ
ทัศไนย...........................สัจจะ วิสัย ใฝ่รู้(ความ)จริง
๏ อย่าเชื่อ เพราะคำ คนพร่ำบอก...........ชนปวง
ลวงหลอก ชอบกลอกกลิ้ง
นิทาน ปรัมปรา
อย่าอ้างอิง....................เป็นสิ่ง งมงาย มากมายมี
๏ ปราศ(ความ)รู้ อยู่ไป
ไร้ประโยชน์.......ไป่เว้น เป็นโทษ โปรดถ้วนถี่
ไม่รู้ ผิด-ชอบ
กรอบชั่ว-ดี......................ไม่มี จริยา ย่อมสัปดน
๏ ชีวี สิต้อง
รู้ถ่องทิศ..........................ดำเนิน ชีวิต สัมฤทธิ์ผล
อย่าปล่อย ดวงตา
ดามืดมน....................เป็นคน จนอับ อาภัพเอย ฯ
๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น