๏ ทั้งลม ท้้งฝน อลหม่าน................................พายุ พัดผ่าน หลังพรรษา
ทั้งเหน็บ ทั้งหนาว ร้าวอุรา...........................(ใส่)เสื้อผ้า หนาผืน ฝืนผจญ
๏ วิหค ขับขาน กันเกรียวกราว..........................เมื่อคราว เบาบาง ร้างสายฝน
แต่ทว่า ประเดี๋ยว กลับเปลี่ยวกมล.................ทั้งฝน ทั้งลม โถม(มา)อีกครา
๏ ชีวิต คิดไป ใคร(มีความ)สามารถ?.................ความสำเร็จ เด็ดขาด ล้วนวาสนา(เป็นสำคัญ)
เฉกเช่น ชะตากรรม ที่นำพา..........................ประสม ความอุตสาห์ ณ ปัจจุบัน
๏ หากใคร ไม่มี (บุญ)ที่ทำ(ไว้)ก่อน...................(ต่อให้)เดือดร้อน ดิ้นรน จนอาสัญ
ก็หา ได้มี ชีวิตอัน.........................................สมใจ หมายมั่น บันดาลดล
๏ หากแม้น มีบุญ หนุนนำส่ง.............................สร้างทำ จำนง ประสงค์ผล
(ย่อม)สำเร็จ สมใจ ในเจตจล..........................ขณะคน อื่นใคร่(ความสำเร็จ) ได้แค่มอง
๏ ทำบุญ สุนทาน แข็งขันเถิด...........................บังเกิด ประเสริฐผล ดลเจ้าของ
ความตระหนี่ มิใช่ (วิธี)ให้สมปอง.....................เรืองรอง ผ่องแผ้ว แกล้วตระการ
๏ เว้นทำ กรรมชั่ว พัวพันเถิด............................มิเกิด ประโยชน์ให้ โทษไพศาล
อย่าทุจริต คิดร้าย ใคร่อันธพาล........................(สิ)พบพาน ผลสนอง ต้องโศกตรม
๏ อย่าคิด ว่ากู รู้ทุกอย่าง...................................(คิดว่า)สร้างบาป สร้างกรรม สิ้น(ผล)ทรามสม
กฎแห่ง เวรกรรม=ความโง่งม............................(ใครคิดเช่นนั้น)สิต้อง เศร้าซม จมอบายฯ
๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๕
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕
.....
คนพาลมีปัญญาทราม มีตนเหมือนข้าศึก เที่ยวทำบาปกรรมอันมีผลเผ็ดร้อน บุคคลทำกรรมใดแล้วย่อม เดือดร้อนในภายหลัง กรรมนั้นทำแล้วไม่ดี บุคคลมีหน้า ชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ ย่อมเสพผลของกรรมใด กรรมนั้นทำแล้วไม่ดี บุคคลทำกรรมใดแล้ว ย่อมไม่เดือดร้อน ในภายหลัง กรรมนั้นแลทำแล้วเป็นดี บุคคลอันปีติโสมนัส เข้าถึงแล้ว [ด้วยกำลังแห่งปีติ] [ด้วยกำลังแห่งโสมนัส] ย่อมเสพผลแห่งกรรมใด กรรมนั้นทำแล้วเป็นดี คนพาล ย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำหวาน ตลอดกาลที่บาปยังไม่ให้ผล แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น...ฯลฯ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น