พุทธศาสนาอวสาน : กลอนเปล่า
๏ ธรรมวินัย
เปรียบได้ดั่งเมล็ดพันธุ์ข้าว
ดิน น้ำ แดด ปุ๋ยฯลฯ
เล่า
เป็นเหล่าปัจจัยที่ให้การเกื้อหนุน(ให้ข้าวงอกงาม)
๏ การเอาเมล็ดพันธุ์(ข้าว)
แยกจากกันกับปัจจัยไม่เจือจุน
ให้เมล็ดข้าวงอกงามจำรูญ
เพิ่มพูนผลผลิตกิจกรรม
๏ ไม่ต่างกับธรรมวินัย ที่ไม่นำไปสู่การปฏิบัติ
ผู้เรียกตนว่าเป็นพุทธบริษัท
หากมัวแต่กำหนัดกิเลสตัณหา
สิ่งปลูกสร้างพรั่งพร้อม
ล้อมรอบจนล้นวัดวา
(เสื้อ)ผ้า
อาหารการกินฯลฯ เงินทองทรัพย์สินอุดมสมบูรณ์
๏ พุทธศาสนาที่เผชิญ
ดูผิวเผินเหมือนมั่นคงอยู่ตรงหน้า
ยังมีโบสถ์ วิหาร ศาลา
เสียงสวดมนต์ ๒
เวลา(ภาษาบาลี)ที่หารู้ความหมาย
มีเณรพระประจำวัด
ญาติโยมผลัดกันเข้ามากราบไหว้
ประกอบพิธีกรรมทำคุณไสย
นิมนต์ไปปลุกเสกเลขยันต์
๏ แม้แต่การไม่โกหก ยังขาดตกบกพร่อง
จับจ้องลาภ ยศ สักการะ
และโลกียวิถี
ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ก็ขัดเคือง
พาลอยากเปลื้องไปห่มแต่ผ้าเนื้อดีๆ
สิ่งของเครื่องใช้ในชีวี
ไม่ใยดีอัฐบริขาร
กระสันสะสมเครื่องใช้ไฟฟ้า
บ้าวัตถุ รถหรูฟู่ฟ่าราคาแพง
๏ สารพัดปริญญาบรรลุ
กูเป็นถึงด๊อกเตอร์
อวดเห่อไม่หาย
ของบประมาณเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ทำเอาหน้า
หาคนมากๆมาชุลมุนให้วุ่นวาย
อ้างผลงานสำเร็จ
น่าเวทนาที่ยึดเอาปริมาณเป็นเป้าหมาย
ละลายเงินเล่นเป็นเด็กอมมือ
๏ เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ไม่นำไปปลูก
ไม่เคยถูกทำให้เติบใหญ่(เป็นต้นข้าว)
ไม่ปฏิบัติตามธรรมวินัย
ข้าวย่อมไร้ผลผลิต
ธรรมวินัยย่อมปราศจากชีวิต
เป็นแค่ลิขิตที่ปิดอยู่ในบรรณสาร
๏ เมื่อพุทธบริษัท
กำหนัดเพลิดเพลินเพียงโลกียวิสัย
ธรรมวินัยจะไม่เบ่งบาน
พุทธศาสนาย่อมเข้าสู่อวสาน
รอวันอันตรธานบรรลัยฯ
๓๐ กันยายน ๒๕๕๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น