ลำพองใจ : กลอนเจ็ด
๏ น้ำนอง ท้องนา
หลังฟ้ารั่ว...................มืดมัว เมฆา สุดตาเห็น
แสงสูรย์ สลัว
ทั่วป่าเป็น............................เยือกเย็น ชื้นอยู่ ชูชื่นใจ
๏ หลังจาก หนักหนา
ปัญหาแล้ง................ทุกหน ทุกแห่ง ค่อยแจ้งไข
มรสุม รุมเร้า
บ่อยเข้าไป.............................ทำให้ น้ำท่วม น่วมธานี
๏ เพื่อความ จำเริญ
ทางวัตถุ......................กลับลุ แก่กรรม ทำบัดสี
ทำลาย ธรรมชาติ
พินาศมี...........................ย่ำยี อุดม เสียสมดุล
๏ มิต่าง ห่างไกล
(การ)ใช้ชีวิต....................ยึดติด อัตตา ตัณหาหนุน
หลงใหล
ในรส นทกามคุณ..........................หมกมุ่น มนา อัชฌาใน(นท=แม่น้ำ)
๏ บกพร่อง คลองธรรม
ความสำนึก...............ตรองตรึก แต่อยาก ตรำผลักไส
ก่อกรรม ทำเข็ญ
เป็นสุขใจ...........................อย่างไม่ เกรงกลัว ชั่วบาปเวร
๏ ตราบที่ ผลกรรม
(ยัง)มิตามสนอง..............ลำพอง อุรา มานะเล่น
โทษยัง ไม่ได้(รับ)
กลับใจเย็น.......................ว่างเว้น ประจักษ์ ตระหนักใจ
๏ แต่เมื่อ ปัญหา
เริ่มปรากฎ.........................มาบด มาบัง มล้างให้(มล้าง=ผลาญ)
สิ้นสุข ทุกข์ทรวง
ถ่วงฤทัย............................จะชอก ช้ำใจ เจียนวายวาร
๏ ชีวิต ผิดพลาด
พินาศผุด...........................เหมือนไม่ สิ้นสุด ไม่หยุดผลาญ
ทุกข์แล้ว ทุกข์เล่า
เข้าโรมราญ......................ทรมาน ทารุณ อาดุรเอย ฯ
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น