๏ ธรรมะ หาได้ ไร้เกณฑ์กฎ....................................มักง่าย ไปหมด สิอดสู
อะไรก่อน อะไรหลัง ตั้งใจดู................................ต้องรู้ ลู่ทาง สว่างขบ(คิด)
๏ คนไม่ รู้ดี มิรู้ชั่ว....................................................มีอยู่ ทั่วไป ในพิภพ
ทำชั่ว ทุกทาง อย่างสงบ(ใจ)..............................มิประสบ ความยาก ลำบากเข็ญ
๏ คนพาล มารยา จิตสาไถย.....................................ก่อกรรม์ จัญไร อย่างใจเย็น
ความสำ นึกบาป หลาบจำเห็น.............................ไร้เร้น เช่นวิบูลย์ สุญญตา(จิตว่าง)
๏ เพราะว่า ปล่อยวาง ตั้งแต่เจต................................ต่อเหตุ สามานย์ มีตัณหา(เป็นต้น)
คาดหวัง หลั่งผล ล้นหลากมา..............................ไร้สิ้น ศรัทธา (ต่อ)กฎแห่งกรรม(ว่างเปล่า-ไมมี)
๏ คำสอน พิสุทธิ์ พุทธศาสน์.....................................เริ่มต้น จากตัด ขาดชั่วส่ำ*
ความดี วิริยะ เพียรกระทำ....................................ประจำ จิตใส ใจบริสุทธิ์
๏ มิใช่ เริ่มต้น(ปฏิบัติธรรม) ก็ปล่อยวาง......................สมองว่าง อย่างคน วิกลมนุษย์(ขี้เกียจ ไม่คิด-ไม่ทำอะไร ฯลฯ)
วิปริต ผิดหลัก ศาสนาพุทธ..................................ประดุจ ความคิด อวิชชา
๏ อย่าปล่อย วางใจ ในต้นเหตุ..................................(ก่อกรรม)บัดสี กิเลส เจตน์ตัณหา
(จง)กระทำ กรรมดี วิริยา.....................................อุปสรรค ปัญหา พร้อมฝ่าฟัน
๏ สุดท้าย ปลายผล กระมลพร้อย..............................จึงค่อย ปล่อยวาง (ให้กฎแห่ง)กรรมสร้างสรรค์
สุญญตา(ว่างจากกิเลสตัณหา) สล้าง ช่างหัวมัน.....อย่าไป ไหวหวั่น สันติเทอญฯ
๑๓ กันยายน ๒๕๖๔
*บทโอวาทปาติโมกข์
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง, การไม่ทำบาปทั้งปวง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา, การทำกุศลให้ถึงพร้อม,
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง, การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ(สะอาดบริสุทธิ์)
เอตัง พุทธานะสาสะนัง, ธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ฯลฯ
**
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๒. มหาสุญญตสูตร (๑๒๒)
.........
วิหารธรรมอันตถาคตตรัสรู้ในที่นั้นๆ นี้แล คือ
ตถาคตบรรลุสุญญตสมาบัติภายใน เพราะไม่ใส่ใจนิมิตทั้งปวงอยู่
.........
ตถาคตย่อมมีจิตน้อมไปในวิเวก โน้มไปในวิเวก โอนไปในวิเวก หลีกออกแล้ว
ยินดียิ่งแล้วในเนกขัมมะ มีภายในปราศจากธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการ
ทั้งปวง
........
ภิกษุถ้าแม้หวังว่า จะบรรลุสุญญตสมาบัติภายในอยู่ เธอพึงดำรงจิตภายใน ให้จิตภายในสงบ ทำจิตภายในให้เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งจิตภายในให้มั่นเถิด ฯ [๓๔๗] ดูกรอานนท์ ก็ภิกษุจะดำรงจิตภายใน ให้จิตภายในสงบ ทำ จิตภายในให้เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งจิตภายในมั่นได้อย่างไร ดูกรอานนท์ ภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ (๑) สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌานมีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ฯ (๒) เข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอก ผุดขึ้น เพราะสงบวิตกและวิจาร ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่ สมาธิอยู่ ฯ (๓) เป็นผู้วางเฉยเพราะหน่ายปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุข ด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน ที่พระอริยะเรียกเธอได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติ อยู่ เป็นสุข อยู่ ฯ (๔) เข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และ ดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ ฯ
.........
ดูกรอานนท์ แต่สาวกควรจะใกล้ชิดติดตามศาสดา เพื่อฟังเรื่องราวเห็นปานฉะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นที่สบายแก่ การพิจารณาทางใจ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อ ดับกิเลส เพื่อสงบกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คือ เรื่องมักน้อย เรื่องยินดีของของตน เรื่องความสงัด เรื่องไม่คลุกคลี เรื่องปรารภ ความเพียร เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่องวิมุตติ เรื่องวิมุตติญาณทัสสนะ ฯ
............ฯลฯ
ส่วนใน "สุญญตวรรค ๑. จูฬสุญญตสูตร"
พระพุทธเจ้าอธิบาย สุญญตวิหารธรรม ด้วยตัวอย่างอื่น
ใช้คำว่า "ไม่ใส่ใจในสัญญา(อื่น)" แทน "ไม่ใส่ใจในนิมิตร(อื่น)"
(ไม่รู้ว่า คำศัพท์ที่ใช้แตกต่างกัน มาจากคนแปลบาลีเป็นไทย หรือเปล่า?)
สรุปย่อๆ
สุญญตวิหารธรรม ในพระไตรปิฎกพุทธเถรวาท
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ ใส่ใจในสัญญา(นิมิตร)อย่างใดอย่างหนึ่ง ว่างเปล่าจากสัญญา(นิมิตร)อย่างอื่น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น