ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เนื้อนาบุญ : กลอนคติเตือนใจ


ตั้งกฎระเบียบตามใจตัวเอง ไม่มีในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
 หลอกให้ชาวบ้านหลงเชื่อว่า "เคร่ง" เกิดความศรัทธาเลื่อมใส ลาภสักการะก็จะไหลมาเทมา ได้อยู่ดีกินดี
เอาเข้าจริงๆคนตั้งกฎก็ไม่ทำ เพราะทำเป็นประจำไม่ได้-ผิดธรรมชาติของคน


เนื้อนาบุญ : กลอนคติเตือนใจ


    แม่ไก่(แต่ละตัว) ไข่ให้ ไม่เท่ากัน............................ข้าวแล แต่ละพันธุ์ ผันแผกผล(ผลิต)

มอบงาน การหมาย ให้ผู้คน...............................แต่ละคน ทำ(งาน)ได้ ไม่เท่ามี


    ฉันใด ฉันนั้น การทานให้.......................................หวังได้ ปุญญา ประเสริฐศรี

จึงต้อง พินิจ คิดให้ดี.........................................อย่าสักแต่ แค่มี ก็พลีเงิน


    ทุกวัน มีขอทาน ผ่านมาขอ(เงิน)............................พวกขี้ เมาก็ ขอไม่เขิน(อาย)

วันดี คืนดี พระ-ชี เดิน.......................................ขอเงิน ทอดผ้าป่า สามัคคีฯลฯ

 

    ขายของ ผองพระ ก็มาขอ(ของไปใช้)*....................บ้างก็ ฉ้อขโมย โดยบัดสี

ใช่ว่า ผ้าเหลือง เรืองฤทธี..................................เปลี่ยนโจร เป็นคนดี ทันที(ที่ห่ม)ครอง


    ทำทาน กับพระ อย่ามักง่าย....................................อาจไม่กลาย เป็นบุญ หนุนสนอง

กลับเป็น เลี้ยงโจร อกุศลจอง............................เศร้าหมอง เสียใจ อายสิ้นดี


    พระสงฆ์ สาวก(๔ คู่) ๘ บุรุษ**................................พิสุทธิ์ อุตส่าห์ ทำหน้าที่

ตามธรรม (มะ)วินัย ใสโสภี................................สมควร ศักดิ์ศรี "เนื้อนาบุญ"

 

    มีพระ(พวกหนึ่ง) มากมาย มุ่งไสยศาสตร์..................ประหลาด วัตรพรต โฉดสถุล

คนโง่ งมงาย เชื่อไสยคุณ(คุณไสย)...................หลงเอื้อ เจือจุน หนุนมากมี

 

    (อีกพวก)มักอ้าง ทำตาม ธรรมวินัย.............................(แต่)ตั้งกฎ ตามใจ ไกลวิถี(พุทธ)

แสดงละคร เคร่งครัด ปฏิบัติดี............................แต่(ข้อวัตรปฏิบัติ)ไม่มี ตามธรรม (มะ)วินัย


    ๒ พวก แพร่หลาย ให้สังเกต...................................สร้างเลศ(เพื่อ) ลาภ-สัก การะใคร่***

อยากรู้ ความจริง สิ่งถูก(ต้องเป็นอย่าง)ใด?.........เพียรศึกษา พระไตร ปิฎกเทอญ


๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๔


*ผู้เขียนทำธุรกิจร้านขายสินค้า

มีพระไม่น้อย(พระส่วนใหญ่ซื้อของง่าย-มีเงิน) ชอบทำทีมาซื้อของ พอต้องจ่ายเงินก็อ้างว่า เงินไม่พอบ้าง อ้างว่าที่ผ่านมาจะมีคนถวายบ้าง(จะให้ถวายฟรีๆ แต่ทำทีมาซื้อ)

บางคนก็ตั้งใจมาขโมยของ โดยให้หยิบของมาให้เลือกหลายๆชิ้น เอามาให้เลือกแล้วก็ยังบอกว่าขอดูชิ้นอื่นอีก พอหันหลังไปหยิบของอื่น พระก็แอบเอาของใส่ย่าม สุดท้ายก็ไม่ซื้อ อ้างว่าไม่ถูกใจบ้าง เงินไม่พอบ้าง.


**บุคคล ๔ คู่ ๘ บุรุษ นี้เท่านั้นที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็น " พระสงฆ์สาวก หรือ อริยสงฆ์ " ได้แก่

คู่ที่ ๑ ผู้ตั้งใจปฏิบัติใน โสดาบัน มรรค + ผู้บรรลุ โสดาบัน ผล

คู่ที่ ๒ ผู้ตั้งใจปฏิบัติใน สกทาคามี มรรค + ผู้บรรลุ สกทาคามี ผล

คู่ที่ ๓ ผู้ตั้งใจปฏิบัติใน อนาคามี มรรค + ผู้บรรลุ อนาคามี ผล

คู่ที่ ๔ ผู้ตั้งใจปฏิบัติใน อรหันต์ มรรค + ผู้บรรลุ อรหันต์ ผล

พระนอกนั้นไม่ถือว่าเป็นพระสงฆ์ มักถูกเรียกว่า "สมมุติสงฆ์"

(อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ตามสำนวนของผู้เขียนเอง)


***ข้อวัตรหนึ่งที่นิยมอ้างคือ พระไม่รับเงิน-ไม่เก็บเงิน-ไม่ใช้เงิน

เอาเข้าจริงๆ ให้คนอื่นรับแทน-เก็บเงินแทนพระ พระเป็นคนสั่งใช้จ่ายเงิน 

โดยเฉพาะ นิยมตั้ง "มูลนิธิ" ของวัดขึ้นมารับเงิน เจ้าอาวาสเป็นประธานสั่งใช้จ่ายเงิน หลายแห่งมีเงินเก็บหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นล้านบาท

ทำแบบนี้ก็ผิดธรรมวินัยเหมือนกันกับพระรับเงิน-เก็บเงิน-ใช้เงิน แต่ชาวบ้านไม่รู้เพราะไม่ศึกษาพระไตรปิฎก.


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
ปสาทสูตร
.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่ก็ดี คณะก็ดี มีประมาณเท่าใด
พระสงฆ์สาวกของตถาคต คือ คู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี้ คือ พระสงฆ์สาวก
ของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของ
ทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เรา
กล่าวว่าเลิศกว่าหมู่หรือคณะเหล่านั้น ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระสงฆ์ ชนเหล่านั้น
ชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชนผู้เลื่อมใสในสิ่งเลิศ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในสิ่งเลิศ ๔ ประการนี้แล ฯ
                          บุญที่เลิศ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติคุณ สุข และพละ
                          อันเลิศ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้รู้แจ้งซึ่งธรรมอันเลิศ เลื่อมใส
                          โดยความเป็นของเลิศ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ผู้เป็น
                          ทักขิไณยบุคคลชั้นเยี่ยม เลื่อมใสในพระธรรมอันเลิศ
                          ซึ่งเป็นธรรมปราศจากราคะ สงบและเป็นสุข เลื่อมใส
                          ในพระสงฆ์ผู้เลิศ ซึ่งเป็นบุญเขตชั้นเยี่ยม ถวายทานใน
                          ท่านผู้เลิศนั้น ผู้มีปัญญาตั้งมั่นแล้วในธรรมอันเลิศ ให้ทาน
                          แก่ท่านผู้เป็นบุญเขตอันเลิศ จะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์
                          ก็ตาม ย่อมถึงความเป็นผู้เลิศ บันเทิงอยู่ ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น