๏ แม่ไก่(แต่ละตัว) ไข่ให้ ไม่เท่ากัน............................ข้าวแล แต่ละพันธุ์ ผันแผกผล(ผลิต)
มอบงาน การหมาย ให้ผู้คน...............................แต่ละคน ทำ(งาน)ได้ ไม่เท่ามี
๏ ฉันใด ฉันนั้น การทานให้.......................................หวังได้ ปุญญา ประเสริฐศรี
จึงต้อง พินิจ คิดให้ดี.........................................อย่าสักแต่ แค่มี ก็พลีเงิน
๏ ทุกวัน มีขอทาน ผ่านมาขอ(เงิน)............................พวกขี้ เมาก็ ขอไม่เขิน(อาย)
วันดี คืนดี พระ-ชี เดิน.......................................ขอเงิน ทอดผ้าป่า สามัคคีฯลฯ
๏ ขายของ ผองพระ ก็มาขอ(ของไปใช้)*....................บ้างก็ ฉ้อขโมย โดยบัดสี
ใช่ว่า ผ้าเหลือง เรืองฤทธี..................................เปลี่ยนโจร เป็นคนดี ทันที(ที่ห่ม)ครอง
๏ ทำทาน กับพระ อย่ามักง่าย....................................อาจไม่กลาย เป็นบุญ หนุนสนอง
กลับเป็น เลี้ยงโจร อกุศลจอง............................เศร้าหมอง เสียใจ อายสิ้นดี
๏ พระสงฆ์ สาวก(๔ คู่) ๘ บุรุษ**................................พิสุทธิ์ อุตส่าห์ ทำหน้าที่
ตามธรรม (มะ)วินัย ใสโสภี................................สมควร ศักดิ์ศรี "เนื้อนาบุญ"
๏ มีพระ(พวกหนึ่ง) มากมาย มุ่งไสยศาสตร์..................ประหลาด วัตรพรต โฉดสถุล
คนโง่ งมงาย เชื่อไสยคุณ(คุณไสย)...................หลงเอื้อ เจือจุน หนุนมากมี
๏ (อีกพวก)มักอ้าง ทำตาม ธรรมวินัย.............................(แต่)ตั้งกฎ ตามใจ ไกลวิถี(พุทธ)
แสดงละคร เคร่งครัด ปฏิบัติดี............................แต่(ข้อวัตรปฏิบัติ)ไม่มี ตามธรรม (มะ)วินัย
๏ ๒ พวก แพร่หลาย ให้สังเกต...................................สร้างเลศ(เพื่อ) ลาภ-สัก การะใคร่***
อยากรู้ ความจริง สิ่งถูก(ต้องเป็นอย่าง)ใด?.........เพียรศึกษา พระไตร ปิฎกเทอญฯ
๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๔
*ผู้เขียนทำธุรกิจร้านขายสินค้า
มีพระไม่น้อย(พระส่วนใหญ่ซื้อของง่าย-มีเงิน) ชอบทำทีมาซื้อของ พอต้องจ่ายเงินก็อ้างว่า เงินไม่พอบ้าง อ้างว่าที่ผ่านมาจะมีคนถวายบ้าง(จะให้ถวายฟรีๆ แต่ทำทีมาซื้อ)
บางคนก็ตั้งใจมาขโมยของ โดยให้หยิบของมาให้เลือกหลายๆชิ้น เอามาให้เลือกแล้วก็ยังบอกว่าขอดูชิ้นอื่นอีก พอหันหลังไปหยิบของอื่น พระก็แอบเอาของใส่ย่าม สุดท้ายก็ไม่ซื้อ อ้างว่าไม่ถูกใจบ้าง เงินไม่พอบ้าง.
**บุคคล ๔ คู่ ๘ บุรุษ นี้เท่านั้นที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็น " พระสงฆ์สาวก หรือ อริยสงฆ์ " ได้แก่
คู่ที่ ๑ ผู้ตั้งใจปฏิบัติใน โสดาบัน มรรค + ผู้บรรลุ โสดาบัน ผล
คู่ที่ ๒ ผู้ตั้งใจปฏิบัติใน สกทาคามี มรรค + ผู้บรรลุ สกทาคามี ผล
คู่ที่ ๓ ผู้ตั้งใจปฏิบัติใน อนาคามี มรรค + ผู้บรรลุ อนาคามี ผล
คู่ที่ ๔ ผู้ตั้งใจปฏิบัติใน อรหันต์ มรรค + ผู้บรรลุ อรหันต์ ผล
พระนอกนั้นไม่ถือว่าเป็นพระสงฆ์ มักถูกเรียกว่า "สมมุติสงฆ์"
(อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ตามสำนวนของผู้เขียนเอง)
***ข้อวัตรหนึ่งที่นิยมอ้างคือ พระไม่รับเงิน-ไม่เก็บเงิน-ไม่ใช้เงิน
เอาเข้าจริงๆ ให้คนอื่นรับแทน-เก็บเงินแทนพระ พระเป็นคนสั่งใช้จ่ายเงิน
โดยเฉพาะ นิยมตั้ง "มูลนิธิ" ของวัดขึ้นมารับเงิน เจ้าอาวาสเป็นประธานสั่งใช้จ่ายเงิน หลายแห่งมีเงินเก็บหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นล้านบาท
ทำแบบนี้ก็ผิดธรรมวินัยเหมือนกันกับพระรับเงิน-เก็บเงิน-ใช้เงิน แต่ชาวบ้านไม่รู้เพราะไม่ศึกษาพระไตรปิฎก.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
ปสาทสูตร
.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่ก็ดี คณะก็ดี มีประมาณเท่าใด พระสงฆ์สาวกของตถาคต คือ คู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี้ คือ พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของ ทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เรา กล่าวว่าเลิศกว่าหมู่หรือคณะเหล่านั้น ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระสงฆ์ ชนเหล่านั้น ชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชนผู้เลื่อมใสในสิ่งเลิศ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในสิ่งเลิศ ๔ ประการนี้แล ฯ บุญที่เลิศ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติคุณ สุข และพละ อันเลิศ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้รู้แจ้งซึ่งธรรมอันเลิศ เลื่อมใส โดยความเป็นของเลิศ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ผู้เป็น ทักขิไณยบุคคลชั้นเยี่ยม เลื่อมใสในพระธรรมอันเลิศ ซึ่งเป็นธรรมปราศจากราคะ สงบและเป็นสุข เลื่อมใส ในพระสงฆ์ผู้เลิศ ซึ่งเป็นบุญเขตชั้นเยี่ยม ถวายทานใน ท่านผู้เลิศนั้น ผู้มีปัญญาตั้งมั่นแล้วในธรรมอันเลิศ ให้ทาน แก่ท่านผู้เป็นบุญเขตอันเลิศ จะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ก็ตาม ย่อมถึงความเป็นผู้เลิศ บันเทิงอยู่ ฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น