อยากนิพพานคือตัณหา : เรื่องสั้น
๏ เมื่อหลายวันก่อน
ฉันได้คอมเม้นต์ในเพจข่าวของสื่อโซเชี่ยลแห่งหนึ่ง
ฉันได้คอมเม้นต์ในเพจข่าวของสื่อโซเชี่ยลแห่งหนึ่ง
เกี่ยวกับการกระทำที่ไม่สมควรแก่ความเป็นพระ
ผ่านไปไม่นาน
ระบบเฟสบุ้คก็แจ้งเตือนว่ามีไอดีหนึ่งมาตอบกลับคอมเม้นต์ของฉัน
ฉันคลิกเข้าไปอ่าน
พบว่าเธอมาสั่งสอนฉัน
ทำนองว่าฉันไม่ประสีประสา พระทำถูกต้องแล้ว
ฉันจึงตอบกลับไปว่า
ฉันเคยบวชมานาน
เรียนจบระดับนักธรรมเอกด้วย
แล้วฉันก็อธิบายธรรมวินัยที่เกี่ยวข้องให้เธอได้รู้ (เล่ายาวหน่อย)
จนป่านนี้ก็ไม่เห็นเธอตอบกลับมาหาฉันอีกเลย
แล้วฉันก็อธิบายธรรมวินัยที่เกี่ยวข้องให้เธอได้รู้ (เล่ายาวหน่อย)
จนป่านนี้ก็ไม่เห็นเธอตอบกลับมาหาฉันอีกเลย
๏
บ้านเราชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ
คนไทยส่วนใหญ่ก็อ้างตัวว่าเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างภาคภูมิใจ
หลายคนยังชอบอวดภูมิความรู้ด้านพุทธศาสนา
คนไม่รู้ได้ฟังก็พากันยกย่องว่า สาธุ สาธุ
ส่วนคนรู้ได้แต่แอบอมยิ้ม
คนไทยส่วนใหญ่ก็อ้างตัวว่าเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างภาคภูมิใจ
หลายคนยังชอบอวดภูมิความรู้ด้านพุทธศาสนา
คนไม่รู้ได้ฟังก็พากันยกย่องว่า สาธุ สาธุ
ส่วนคนรู้ได้แต่แอบอมยิ้ม
๏
เพราะธรรมะของพุทธศาสนาส่วนใหญ่เป็นระดับโลกุตรธรรม
คือธรรมที่พ้นจากโลกธรรม
เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ปราศจากกิเลส ทรงสั่งสอนไว้
คนมีกิเลสตัณหาทั่วไป เอากิเลสตัณหาเป็นที่ตั้งในการคิด
เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ปราศจากกิเลส ทรงสั่งสอนไว้
คนมีกิเลสตัณหาทั่วไป เอากิเลสตัณหาเป็นที่ตั้งในการคิด
อธิบายธรรมะตามใจตัวเองเมื่อไร
จะจบไม่สวยสักราย
ขนาดพระผู้ใหญ่
ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ด้านพุทธศาสนา
ชะล่าใจอธิบายธรรมะตามใจตัวเอง
ถ่ายคลิปลงยูทูป
ยังผิดหลักพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า
ออกทะเลไปไกล
กู่ไม่กลับ
๏ นึกถึงสมัยที่ฉันบวชใหม่ๆ
ฉันอยู่วัดป่าชานเมืองที่มีกุฏิพระแยกกันอยู่เป็นหลังๆ
ฉันเลือกอยู่กุฏิที่ไกลจากประตูทางเข้าวัด-ไกลจากคนที่สุด
ซึ่งอยู่ติดป่าช้า
มีเพียงแนวป่ากั้นไว้
๏ วันหนึ่งก็มีคนละแวกบ้าน-อายุรุ่นราวคราวแม่
ซึ่งปกติก็ไม่เคยสุงสิงอะไรกันเพราะต่างก็ยุ่งกับการทำมาหากิน
นั่งรถสามล้อมาหาฉันถึงกุฏิ
นั่งรถสามล้อมาหาฉันถึงกุฏิ
เธอถามฉันว่า
"จะบวชนานเท่าไร?"
ฉันตอบไปว่า
"กำหนดแต่วันบวช ไม่ได้กำหนดวันสึกไว้"
เธอถามฉันพรางแนะนำว่า
"บวชทำไม? ถ้าบวชเพื่อเป็นใหญ่เป็นโตก็ต้องเรียนเปรียญธรรมด้วย"
แถมเหน็บตอนท้ายว่า
"แล้วจะมาอยู่วัดป่าแบบนี้ทำไม?"
ฉันตอบเธอว่า
"ผมไม่ได้บวชเพื่อหวังเป็นใหญ่เป็นโต เปรียญธรรมก็จะลองเรียนดูบ้างเผื่อจะได้เข้าใจภาษาบาลีนิดๆหน่อยๆ แต่หลักๆคงเรียนแค่นักธรรม ที่สำคัญคือ การอ่านพระไตรปิฎก"
"ผมไม่ได้บวชเพื่อหวังเป็นใหญ่เป็นโต เปรียญธรรมก็จะลองเรียนดูบ้างเผื่อจะได้เข้าใจภาษาบาลีนิดๆหน่อยๆ แต่หลักๆคงเรียนแค่นักธรรม ที่สำคัญคือ การอ่านพระไตรปิฎก"
"เพราะผมต้องการปฏิบัติตามพระพุทธองค์
เพื่อจะได้บรรลุพระนิพพาน"
๏ เธอเทศนาให้ฉันซึ่งเป็นพระฟังว่า
"อยากนิพพานก็เป็นตัณหาเหมือนกัน คนอยากเป็นพระอรหันต์ก็มีตัณหา เพราะมีความอยาก"
"อยากนิพพานก็เป็นตัณหาเหมือนกัน คนอยากเป็นพระอรหันต์ก็มีตัณหา เพราะมีความอยาก"
ฉันไม่อยากโต้เถียงกับเธอมาก
เพราะดูท่าทางเธอเป็นคนดื้อรั้น จึงอธิบายเพียงสั้นๆว่า
"เมื่อคนเราศึกษาปฏิบัติจนมีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ
ก็จะบังเกิดสัมมาสังกัปปะคือความดำริชอบ"
"นิพพานเป็นความพ้นทุกข์ คนที่มีสัมมาทิฏฐิจะเข้าใจว่า ถ้าจะพ้นทุกข์ก็ต้องบรรลุพระนิพพาน"
"นิพพานเป็นความพ้นทุกข์ คนที่มีสัมมาทิฏฐิจะเข้าใจว่า ถ้าจะพ้นทุกข์ก็ต้องบรรลุพระนิพพาน"
"ต้องพยายามปฏิบัติเพื่อไปถึงจุดนั้น"
"การมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จ-เพื่อบรรลุนิพพาน เรียกได้ว่า มีสังกัปปะ ไม่ใช่มีตัณหา"
"การมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จ-เพื่อบรรลุนิพพาน เรียกได้ว่า มีสังกัปปะ ไม่ใช่มีตัณหา"
เธอก็ยังเถียงว่า
"ความตั้งใจที่จะบรรลุนิพพานนั่นแหละคือตัณหา"
ฉันขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงด้วยจึงไม่สนใจจะตอบ
เธอพูดพล่ามไปคนเดียวอยู่สักพัก
แล้วก็ขึ้นสามล้อออกจากกุฏิของฉันไป
ไม่เคยมาหาฉันอีกเลยฯ
๘
กรกฎาคม ๒๕๖๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น