ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อยากนิพพานคือตัณหา : เรื่องสั้น




อยากนิพพานคือตัณหา : เรื่องสั้น

    เมื่อหลายวันก่อน
ฉันได้คอมเม้นต์ในเพจข่าวของสื่อโซเชี่ยลแห่งหนึ่ง
เกี่ยวกับการกระทำที่ไม่สมควรแก่ความเป็นพระ
ผ่านไปไม่นาน ระบบเฟสบุ้คก็แจ้งเตือนว่ามีไอดีหนึ่งมาตอบกลับคอมเม้นต์ของฉัน
ฉันคลิกเข้าไปอ่าน
พบว่าเธอมาสั่งสอนฉัน ทำนองว่าฉันไม่ประสีประสา พระทำถูกต้องแล้ว
ฉันจึงตอบกลับไปว่า
ฉันเคยบวชมานาน เรียนจบระดับนักธรรมเอกด้วย
แล้วฉันก็อธิบายธรรมวินัยที่เกี่ยวข้องให้เธอได้รู้ (เล่ายาวหน่อย)

จนป่านนี้ก็ไม่เห็นเธอตอบกลับมาหาฉันอีกเลย

    บ้านเราชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ
คนไทยส่วนใหญ่ก็อ้างตัวว่าเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างภาคภูมิใจ
หลายคนยังชอบอวดภูมิความรู้ด้านพุทธศาสนา
คนไม่รู้ได้ฟังก็พากันยกย่องว่า สาธุ สาธุ
ส่วนคนรู้ได้แต่แอบอมยิ้ม

    เพราะธรรมะของพุทธศาสนาส่วนใหญ่เป็นระดับโลกุตรธรรม คือธรรมที่พ้นจากโลกธรรม
เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ปราศจากกิเลส ทรงสั่งสอนไว้

คนมีกิเลสตัณหาทั่วไป เอากิเลสตัณหาเป็นที่ตั้งในการคิด
อธิบายธรรมะตามใจตัวเองเมื่อไร จะจบไม่สวยสักราย
ขนาดพระผู้ใหญ่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ด้านพุทธศาสนา
ชะล่าใจอธิบายธรรมะตามใจตัวเอง ถ่ายคลิปลงยูทูป
ยังผิดหลักพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า
ออกทะเลไปไกล กู่ไม่กลับ

    นึกถึงสมัยที่ฉันบวชใหม่ๆ
ฉันอยู่วัดป่าชานเมืองที่มีกุฏิพระแยกกันอยู่เป็นหลังๆ
ฉันเลือกอยู่กุฏิที่ไกลจากประตูทางเข้าวัด-ไกลจากคนที่สุด
ซึ่งอยู่ติดป่าช้า มีเพียงแนวป่ากั้นไว้
 
    วันหนึ่งก็มีคนละแวกบ้าน-อายุรุ่นราวคราวแม่
ซึ่งปกติก็ไม่เคยสุงสิงอะไรกันเพราะต่างก็ยุ่งกับการทำมาหากิน
นั่งรถสามล้อมาหาฉันถึงกุฏิ
เธอถามฉันว่า "จะบวชนานเท่าไร?"
ฉันตอบไปว่า "กำหนดแต่วันบวช ไม่ได้กำหนดวันสึกไว้"
เธอถามฉันพรางแนะนำว่า "บวชทำไม? ถ้าบวชเพื่อเป็นใหญ่เป็นโตก็ต้องเรียนเปรียญธรรมด้วย"
แถมเหน็บตอนท้ายว่า "แล้วจะมาอยู่วัดป่าแบบนี้ทำไม?"
ฉันตอบเธอว่า
"ผมไม่ได้บวชเพื่อหวังเป็นใหญ่เป็นโต เปรียญธรรมก็จะลองเรียนดูบ้างเผื่อจะได้เข้าใจภาษาบาลีนิดๆหน่อยๆ แต่หลักๆคงเรียนแค่นักธรรม ที่สำคัญคือ การอ่านพระไตรปิฎก"
"เพราะผมต้องการปฏิบัติตามพระพุทธองค์ เพื่อจะได้บรรลุพระนิพพาน"

    เธอเทศนาให้ฉันซึ่งเป็นพระฟังว่า
"อยากนิพพานก็เป็นตัณหาเหมือนกัน คนอยากเป็นพระอรหันต์ก็มีตัณหา เพราะมีความอยาก"
ฉันไม่อยากโต้เถียงกับเธอมาก เพราะดูท่าทางเธอเป็นคนดื้อรั้น จึงอธิบายเพียงสั้นๆว่า
"เมื่อคนเราศึกษาปฏิบัติจนมีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ก็จะบังเกิดสัมมาสังกัปปะคือความดำริชอบ"
"นิพพานเป็นความพ้นทุกข์ คนที่มีสัมมาทิฏฐิจะเข้าใจว่า ถ้าจะพ้นทุกข์ก็ต้องบรรลุพระนิพพาน"
"ต้องพยายามปฏิบัติเพื่อไปถึงจุดนั้น"
"การมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จ-เพื่อบรรลุนิพพาน เรียกได้ว่า มีสังกัปปะ ไม่ใช่มีตัณหา"
เธอก็ยังเถียงว่า "ความตั้งใจที่จะบรรลุนิพพานนั่นแหละคือตัณหา"
ฉันขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงด้วยจึงไม่สนใจจะตอบ
เธอพูดพล่ามไปคนเดียวอยู่สักพัก แล้วก็ขึ้นสามล้อออกจากกุฏิของฉันไป
ไม่เคยมาหาฉันอีกเลยฯ

๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น