บันทึกบทเรียนที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น : บทความ
๏ ชอบออกกำลังกายเป็นประจำมาตั้งแต่เรียนมัธยม
และออกกำลังกายมาสม่ำเสมอ-หยุดบ้างก็จะเริ่มใหม่
แต่ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ผมออกกำลังกายแล้วกล้ามเนิ้อยึดซี่โครงด้านขวาอักเสบ
หายใจเข้าเต็มปอดไม่ได้เพราะเจ็บมาก ได้แต่หายใจสั้นๆ-ถี่ๆ นอกจากนั้นยังมีไข้สูง
จึงทานยา"พาราเซตามอล"แล้วนอนพัก
ข้ามคืน ไข้ลดแล้วแต่ไอมีเสมหะเล็กน้อยมีเหลืองเข้ม-มีกลิ่นคาว ก็พอรู้ว่าติดเชื้อในปอด
ไอแบบนี้พอรำคาญอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์
กล้ามเนื้ออักเสบฟื้นตัวได้ภายใน 15 วัน
ก็เริ่มออกกำลังกายเบาๆใหม่ แต่หลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อส่วนที่อักเสบ
เสมหะเปลี่ยนมาเป็นใส+มีฟอง ก็คิดว่าภูมิต้านทานของร่างกายเอาชนะเชื้อโรคได้
แต่ก็ยังไอพอรำคาญบ้าง-ต่อเนื่องบ้างอยู่อย่างเดิม รวมเวลาประมาณ 30 วัน
๏ รู้สึกสุขภาพแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับ
จึงกลับไปออกกำลังท่าที่เคยทำให้อักเสบอีกทีละน้อย ไม่กี่วันก็กลับมาเจ็บอีก ไข้ขึ้นสูง-พอไอก็ยิ่งเจ็บกล้ามเนื้อซี่โครงจนไอไม่ได้ ไอไม่ได้เสมหะก็ติดค้างในหลอดลม
ฝืนไอก็เจ็บมาก จึงตัดสินใจไปพบแพทย์ที่่โรงพยาบาลศูนย์ประจำจังหวัด
ใช้สิทธิ์บัตรทอง
หมอสั่งจ่ายยาซึ่งสติ๊กเกอร์ข้างซองมีเอกสารสารกำกับว่า
NORGESIC*TAB.(NED)#1
รับประทานครั้งละ 1 เม็ด
วันละ 3
ครั้ง
หลังอาหารเช้า เที่ยง เย็น
บรรเทาปวด
คลายกล้ามเนื้อ
ชื่่อสามัญ พาราเซตามอล-ออเฟนาดีน
ชื่่อสามัญ พาราเซตามอล-ออเฟนาดีน
ระวังการใช้ร่วมกับยาที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ
ได้มา 2 แผง 20 เม็ด
หมอบอกว่าถ้าอาการไม่ดีขึ้น
สัปดาห์หน้าให้มาใหม่
๏ ปกติเป็นคนไม่ชอบทานยาถึงแม้จะไม่แพ้ยา
โดยเฉพาะยาสารเคมี
เพราะเชื่อในทฤษฏีการทำให้ร่างกายแข็งแรง-สุขภาพดี-มีภูมิต้านทานโรคมาตลอด
แต่คราวนี้จำเป็นจึงทานยาตามเอกสารกำกับ
แค่เม็ดแรก ในคืนนั้นก็นอนหลับปกติ
แต่ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก
เพราะเกิดอาการเหมือนมีธารลาวา-แสบ-ร้อนไหลผ่านกล้ามเนิ้อกลางหน้าอกด้านขวาวิ่งไปใต้รักแร้ขวา
และกล้ามเนื้อหัวไหล่ด้านหน้าอีกเส้นหนึ่ง-กล้ามเนื้อปีกหลังด้านขวาด้วยฯลฯ
เป็นอยู่ประมาณ 10 วินาทีก็หาย
คิดว่ายาคงเริ่มกระจายไปยังส่วนต่างๆของร่างกายแล้ว
๏ รุ่งเช้าเริ่มรู้สึกไม่มีเรี่ยวมีแรง-อ่อนล้า
ไปจ่ายกับข้าวกลับถึงบ้านก็ทานได้แค่ 3-4 คำ กระเพาะก็ไม่รับอาหาร
จึงทานยาตามแพทย์สั่งแล้วนอนพัก ทั้งๆที่ไม่ง่วงแต่ก็หลับไปประมาณ 2 ชั่วโมง
รู้สึกตัวขึ้นมาก็พยายามใช้ชีวิตตามปกติ
ที่ดีขึ้นคือกล้ามเนื้อซี่โครงไม่เจ็บถ้าไม่ไอ-ไม่ถูกกระทบ
แต่ผลที่แย่คือกล้ามเนื้อไม่มีแรงทั้งตัว-อ่อนล้าจนต้องนอนทั้งกลางวันกลางคืน
หลับไปทั้งๆที่ไม่ง่วงอีกครั้ง ตื่นตอนเที่ยง
พยายามทานอาหารก็ได้แค่ 3-4 คำ
จึงคิดว่าร่างกายจะขาดพลังงานเอาได้-สุขภาพจะยิ่งแย่ จึงใช้วิธีทานน้อยแต่ทานบ่อย
บ่าย 4 หลับอีกแล้ว 2
ทุ่มก็ต้องเข้านอน สมองเริ่มเอ๋อ คิดประโยคใหม่ได้ 4-5 คำเท่านั้น
ประโยคเก่าลืมหมด-คิดอะไรไม่ออก-พูดไปแล้วก็ลืม ความทรงจำเลอะๆเลือนๆฯลฯ หลับสนิทเลยโดยไม่ง่วง-ไม่เคยง่วง หลับเท่าไหร่ก็ไม่พอ
ปวดเมื่อยตามข้อไปทั้งตัว-ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะมีไข้-ผิวหนังที่มือมีสีเหลือง
เป็นเช่นนั้นอยู่ 3 วัน วนเวียนอยู่แบบนั้น จนทานยาถึงเม็ดที่ 10 เริ่มรู้สึกมึนหัวมาก-มีอาการประสาทหลอน หลับก็เห็นภาพเคลื่อนไหวสั้นๆเกิดวนไปแล้วเริ่มใหม่ซ้ำๆ ตื่นขึ้นมาภาพก็ยังเคลื่อนไหวในสมอง
เป็นเช่นนั้นอยู่ 3 วัน วนเวียนอยู่แบบนั้น จนทานยาถึงเม็ดที่ 10 เริ่มรู้สึกมึนหัวมาก-มีอาการประสาทหลอน หลับก็เห็นภาพเคลื่อนไหวสั้นๆเกิดวนไปแล้วเริ่มใหม่ซ้ำๆ ตื่นขึ้นมาภาพก็ยังเคลื่อนไหวในสมอง
เห็นว่าชักไม่เข้าท่าจึงหยุดทานยา
หยุดยาวันแรกก็ปวดหัวแต่ไม่มากนัก
อาการหมดแรง-อ่อนล้า-ทานไม่ได้-หลับง่ายฯลฯยังคงอยู่ ถึงวันที่ 3 ของการหยุดยา
ตกบ่ายแค่ลืมตายังเมื่่อยทั่วรอบดวงตาทั้ง 2 ข้างจนลืมตาไม่ไหว
ร่างกายอ่อนล้าจนแม้แต่นอนยังเมื่อยล้า หนักสุดคือไม่มีแรงหายใจเหมือนจะหยุดหายใจ
หัวใจไม่มีแรงเต้นรู้สึกหนาววูบวาบที่กลางอกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น ฉุกคิดขึ้นมาว่า
นี่คงเป็นอาการใกล้หัวใจวาย
เย็นวันนั้นจึงไปหาหมอ
ขอยาปฏิชีวนะเพราะปอดยิ่งขับเสมหะออกมา-ไอมากขึ้น
หมอซักประวัติก็บอกว่าเป็นมาประมาณ 40 วัน หมอจึงสั่งให้ไปเอ๊กซเรย์ปอด
ผลออกมา ปอดด้านล่างขวามีฝ้าขาว
เพราะรังสีเอ๊กซเรย์ผ่านไม่ได้
หมอจึงออกใบนัดให้มาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและให้ยาปฏิชีวนะมา 1 ตัว
ทานวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
ยาปฏิชีวนะเริ่มส่งผล
เสมหะเริ่มลด-แทบไม่ไอแล้ว
๏ เป็นวันจันทร์ ที่ต้องไปหาหมอตามนัด
ไปโรงพยาบาลตั้งแต่ยังไม่ 2
โมงเช้ายังได้คิวที่ 162 คนไข้แออัดจนครึ่งหนึ่งต้องยืน
ผมนั่ง-นอนหมดเรี่ยวหมดแรงเพราะฤทธิ์ยา"ออ-เฟ-นา-ดีน"ยังอยู่
จนเกือบเที่ยง หมอซึ่งมี 3 คน ตรวจคนไข้ไปถึงแค่คิวที่ 67 (เท่าที่จำได้ 4 โมงเช้ายังไม่มีหมอมาตรวจสักคน)
คิดว่าทานยาปฏิชีวนะไปจนครบน่าจะหายจากอาการปอดมีเสมหะ
เพราะเคยเป็นแบบนี้มาก่อน จึงไปบอกพยาบาลหน้าห้องหมอว่า ผมไม่รอแล้วนะครับ
ดูแล้วบ่าย 3 ถึงจะได้ตรวจ พยาบาลกระซิบว่าให้ใจเย็นๆ โน้ตไว้แล้วว่า
"ญาติเจ้าหน้าที่"
เพราะหัวหน้าแผนกไตเทียมเขาเห็นผมและแจ้งว่าผมมีอุปการคุณกับโรงพยาบาลแห่งนี้
เพราะปีก่อนผมซื้อเครื่องฟอกไต 2 เครื่องบริจาคแผนกไตเทียม
แล้วพยาบาลก็ให้ผมนั่งรอพบแพทย์เป็นคิวถัดไปเลย (หวังว่าจะเป็นเพราะบุญเก่า
ไม่ใช่บาปใหม่นะ)
๏
หมออ่านประวัติที่ถูกบันทึกว่าผมไอมีเสมหะมานานกว่า 30 วัน
จึงออกใบสั่งให้ผมไปตรวจหาเชื้อวัณโรค
ดูภาพเอ๊กซเรย์ที่ปอดข้างขวาด้านล่างมีฝ้าขาว
ออกใบสั่งให้ผมไปอัลตร้าซาวด์หาปริมาณน้ำในปอด แล้วบอกว่าคิวอัลตร้าซาวน์ยาวมากนะ
ผมไปแผนกวัณโรค
เขาให้ขากเสมหะออกมาจากหลอดลมใส่กระปุกเล็กๆ
แล้วให้เอาไปส่งแผนกตรวจหาเชื้้อ-ย้อมสีหาเชื้อวัณโรค และให้มาอีก 2 กระปุกเปล่า บอกว่าต้องส่งตัวอย่างเสมหะให้ครบอีก 2 วัน
เช้าวันศุกร์ให้มาฟังคำวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัณโรค
ส่งตัวอย่างเสมหะเสร็จ
เจ้าหน้าที่นัดให้มารับผล บ่าย 2 ครึ่ง เสร็จไป 1 ภารกิจ
เดินไปแผนกรังสีวิทยาช้าๆเพราะไม่มีแรง
ยื่นใบสั่งแพทย์ให้
เจ้าหน้าที่ทำท่าอ้ำๆอึ้งๆแล้วบอกว่าคุณจะได้อัลต้าซาวน์สิ้นเดือนหน้า(อีกเกือบ
2 เดือน) แต่ถ้าคุณอยากได้เร็วให้เข้าร่วมโครงบริจาคซื้อเครืองมือแพทย์ จ่ายเพิ่ม
500 บาท
ผมตอบตกลง ได้นัดวันศุกร์เย็น(อีก 4 วัน
เพราะวันนี้วันจันทร์)
อดคิดไม่ได้ว่า คนยากจนโดนแบบนี้จะเป็นยังไง?
รอเกือบ 2 เดือนคงต้องไปขุดขึ้นจากหลุมมาทำอัลตร้าซาวน์
๏ ต้องเรียกว่ากลับไปนอนที่บ้านต่อเพราะทานอาหารได้แค่โอวัลติน 1 ซอง-ก็ต้องล้มตัวนอนอย่างอ่อนล้า
บ่ายก็ไปรับผลการตรวจหาเชื้อวัณโรค
ซึ่งปรากฏว่าไม่พบเชื้อวัณโรค
เอาผลไปส่งแผนกที่พบหมอเมื่อเช้า
คราวนี้ได้นั่งรอหน้าห้องหมอเลย
เข้าไปกลายเป็นหมออีกคน
ขอบันทึกชื่อหมอไว้เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ (หมอทวีวุฒิ)
หมอดูผลการตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคก็ถามว่า
น้ำหนักลดหรือเปล่า? ตอบว่า ไม่ลดครับ หมอบอกว่า คุณไม่ได้เป็นวัณโรค
หมอดูภาพเอ๊กซเรย์แล้วถามว่า หายใจได้เต็มปอดหรือไม่? ได้ครับ ,
หายใจหอบหรือไม่? ไม่ครับ , แน่นหน้าอกหรือไม่? ไม่ครับ ,หมอบอก
คุณไม่มีน้ำในปอด-คุณเป็นโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
หมออธิบายให้เข้าใจว่า ฝ้าขาวๆในภาพเอ๊กซเรย์เป็นน้ำขุ่นๆที่ปอดหลั่่งออกมาหุ้มปอดไว้เมื่อติดเชื้อโรค ทำให้รังสีเอ๊กซเรย์ทะลุไม่ได้ คุณเอายาปฏิชีวนะไปทานเพิ่มอีกตัว-ช่วงนี้ งดออกกำลัง...จบ
หมออธิบายให้เข้าใจว่า ฝ้าขาวๆในภาพเอ๊กซเรย์เป็นน้ำขุ่นๆที่ปอดหลั่่งออกมาหุ้มปอดไว้เมื่อติดเชื้อโรค ทำให้รังสีเอ๊กซเรย์ทะลุไม่ได้ คุณเอายาปฏิชีวนะไปทานเพิ่มอีกตัว-ช่วงนี้ งดออกกำลัง...จบ
ผมจึงไปแผนกวัณโรค บอกผลการวินิจฉัยของหมอ
เพิ่มเติมว่าผมไม่ทำตามที่นัดแล้วนะ
เขาบอกว่าคุณต้องทำตามขั้นตอนให้ครบ-ไม่ครบไม่ได้
ผมเหลียวเห็นภาพบนบอร์ด
ที่เจ้าหน้าที่ไปติดตามผู้ป่วยวัณโรคถึงบ้านในชนบท
ก็คิดได้ว่า เขาคงตื้อไม่หยุดแน่ๆ
จึงตอบยืนยันว่าจะทำตามนัด
๏ ไปรับยา
แจ้งเภสัชกรถึงผลข้างเคียงของยา ออ-เฟ-นา-ดีน
ที่รุนแรงมาก เภสัชกรยิ้มแล้วถามว่า หลอนเลยใช่ไม๊?
จึงบอกเธอว่า
ยาตัวนี้ฆ่าคนได้นะครับผมเกือบหัวใจวาย น่าจะเขียนเตือนข้างซองไว้
เธอตอบว่าอาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน(ไม่ให้ความสำคัญเลย)
๏ คืนนั้น
ฤทธิ์ยาออ-เฟ-นา-ดีน ที่ทำให้นอนหลับมากหายไป กลายเป็นว่าไม่รู้สึกง่วง-นอนไม่หลับเลย
ดวงตาเบิกกว้าง-นอนยังไงก็ไม่หลับ-หลับบ้างตื่นมาอีกทีก็นอนไม่หลับ
จนเช้าวันถัดมาก็ไม่ง่วง แต่หัวใจหวิวๆเพราะนอนไม่พอ พยายามนอนกลางวันก็ข่มตาไม่ลง จึงคิดได้ถึงความรู้ที่เคยศึกษามาว่า ยานอนหลับ(สารเคมี)จะไปกดประสาทการนอนหลับเพื่อให้หลับ สมองซึ่งเคยหลั่งสารกระตุ้นการง่วงนอนจะหยุดทำงาน พอหยุดทานยานอนหลับก็ไม่มีสารอะไรกระตุ้นให้ง่วงนอน-ก็นอนไม่หลับ (จำได้แค่นี้)
จนเช้าวันถัดมาก็ไม่ง่วง แต่หัวใจหวิวๆเพราะนอนไม่พอ พยายามนอนกลางวันก็ข่มตาไม่ลง จึงคิดได้ถึงความรู้ที่เคยศึกษามาว่า ยานอนหลับ(สารเคมี)จะไปกดประสาทการนอนหลับเพื่อให้หลับ สมองซึ่งเคยหลั่งสารกระตุ้นการง่วงนอนจะหยุดทำงาน พอหยุดทานยานอนหลับก็ไม่มีสารอะไรกระตุ้นให้ง่วงนอน-ก็นอนไม่หลับ (จำได้แค่นี้)
๏ วันนี้ต้องไปส่งตัวอย่างเสมหะครั้งสุดท้าย
ทานได้แค่แซนวิชชิ้้นเดียว-เรี่ยวแรงเริ่มกลับคืนมาเกือบ 50 % มีอาการหูอื้อเพิ่มเข้ามาอีก สมองเริ่มคิดได้ยาวขึ้นแต่ก็ยังไม่เหมือนเดิม
คิดทบทวนเหตุการณ์การรักษาโรคที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่า
คิดทบทวนเหตุการณ์การรักษาโรคที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่า
1.ถ้าไม่รอจนเป็นเดือนค่อยไปหาหมอ
เขาคงไม่สงสัยว่าว่าเราไอเพราะเป็นวัณโรค
2.หมอที่สั่งให้ไปตรวจหาเชื้อวัณโรคและอัลตร้าซาวน์ ไม่ได้ซักถามอาการเลย
แต่ออกใบสั่งเพียงเพราะเราไอมา 30 วันและปอดข้างขาวด้านล่างมีฝ้า
ต่างจากหมอที่พบตอนบ่าย(หมอทวีวุฒิ)
เขาซักถามอาการอย่างละเอียดแล้วจึงวินิจฉัย ถ้าหากได้พบหมอคนนี้ตั้งแต่ตอนเช้า
ชีวิตจะเป็นอีกอย่าง เพราะตอนนี้มีประวัติด้านวัณโรคแล้ว
3.นัดวันศุกร์ ทั้งวัณโรคและอัลตร้าซาวน์ วันนี้จะไปแจ้งยกเลิกเลย เพราะหมอวินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
4.ไปขอให้ฝ่ายเภัชกร บันทึกเตือนห้ามจ่ายยา
ออ-เฟ-นา-ดีน ไว้ในประวัติของเรา
๏ ไปทำตามที่วางแผนไว้
แต่กับเภสัชกรได้คุยเรื่องป้ายกำกับยา ออ-เฟ-นา-ดีน ว่าน่าจะเตือนกันบ้าง
ผลข้างเคียงรุนแรงขนาดนี้ ถ้าคนป่วยโรคหัวใจทานครบ 2 แผงจองเมรุได้เลย
เภสัชกรบอกว่า
ยานี้เป็นยาทานตามอาการ-ไม่ใช่ให้ทานติดต่อกัน
ผมก็โต้แย้งว่า แล้วพิมพ์ไว้ทำไม? ทานวันละ 3
ครั้ง เช้า เที่ยง เย็น
ถ้าผมไม่ทำตามเดี๋ยวก็มาหาว่าเก่งกว่าหมอ
ผมขอให้เพิ่มคำเตือนผลข้างเคียง-เธอบอกว่าคำเตือนถึงผลข้างเคียงก็มีอยู่นะ
ผมขอให้เอาเอกสารกำกับยามาดู
เธอสั่งผู้ช่วยให้เอามา-อ่านแล้วก็บอกเบาๆว่า สงสัยพิมพ์ตก
เธอสั่งผู้ช่วยให้เอามา-อ่านแล้วก็บอกเบาๆว่า สงสัยพิมพ์ตก
แล้วเธอก็บันทึกเตือนห้ามจ่ายยา
ออ--เฟ-นา-ดีน ลงในประวัติของผม และออกเอกสารคำเตือนใช้ยาประจำตัวให้ผม
แนะนำผมว่าให้จำชื่อยาตัวนี้ไว้
๏ เกือบครึ่งเดือนที่สมองจำรายละเอียดอะไรแทบไม่ได้เลย--ไม่มีรายได้มีแต่รายจ่าย-เวลาสูญหายไปเกือบหมด-ชีวิตหยุดเจริญก้าวหน้า-จนป่านนี้ยังทานไม่ค่อยได้-นอนหลับได้เป็นเวลาสั้นๆ-หลับๆตื่นๆ-งงๆ
เป็นบทเรียนราคาแพงระดับหนึ่งของชีวิตที่ไม่น่าเกิดขึ้นหรืออยากจดจำ
แต่ต้องบันทึกไว้เพราะฤทธิ์ยา ออ-เฟ-นา-ดีน ยังหลงเหลืออยู่
มิเช่นนั้นอีก 2 วัน
เรื่องราวเหล่านี้คงลางเลือน...หายไปจากสงสารวัฏ
พิมพ์ตกหล่น-แก้ไข-อ่านทวนเกิน 100 ครั้ง
๏ สนธยามาเยือนแล้ว
แก้วกวีหลุดหาย
โชคดีท่ี่รอดตาย
แต่ก็พ่ายแพ้แก่เวรกรรมฯ
๔ กรกฎาคม
๒๕๖๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น