ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

บันทึกบทเรียนที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น : บทความ




บันทึกบทเรียนที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น บทความ

    ชอบออกกำลังกายเป็นประจำมาตั้งแต่เรียนมัธยม และออกกำลังกายมาสม่ำเสมอ-หยุดบ้างก็จะเริ่มใหม่
    แต่ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมออกกำลังกายแล้วกล้ามเนิ้อยึดซี่โครงด้านขวาอักเสบ หายใจเข้าเต็มปอดไม่ได้เพราะเจ็บมาก ได้แต่หายใจสั้นๆ-ถี่ๆ นอกจากนั้นยังมีไข้สูง จึงทานยา"พาราเซตามอล"แล้วนอนพัก
    ข้ามคืน ไข้ลดแล้วแต่ไอมีเสมหะเล็กน้อยมีเหลืองเข้ม-มีกลิ่นคาว ก็พอรู้ว่าติดเชื้อในปอด ไอแบบนี้พอรำคาญอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์
    กล้ามเนื้ออักเสบฟื้นตัวได้ภายใน 15 วัน ก็เริ่มออกกำลังกายเบาๆใหม่ แต่หลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อส่วนที่อักเสบ เสมหะเปลี่ยนมาเป็นใส+มีฟอง ก็คิดว่าภูมิต้านทานของร่างกายเอาชนะเชื้อโรคได้ แต่ก็ยังไอพอรำคาญบ้าง-ต่อเนื่องบ้างอยู่อย่างเดิม รวมเวลาประมาณ 30 วัน

    รู้สึกสุขภาพแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับ จึงกลับไปออกกำลังท่าที่เคยทำให้อักเสบอีกทีละน้อย ไม่กี่วันก็กลับมาเจ็บอีก ไข้ขึ้นสูง-พอไอก็ยิ่งเจ็บกล้ามเนื้อซี่โครงจนไอไม่ได้ ไอไม่ได้เสมหะก็ติดค้างในหลอดลม ฝืนไอก็เจ็บมาก จึงตัดสินใจไปพบแพทย์ที่่โรงพยาบาลศูนย์ประจำจังหวัด ใช้สิทธิ์บัตรทอง หมอสั่งจ่ายยาซึ่งสติ๊กเกอร์ข้างซองมีเอกสารสารกำกับว่า

   
NORGESIC*TAB.(NED)#1
    รับประทานครั้งละ 1 เม็ด
    วันละ 3 ครั้ง
    หลังอาหารเช้า เที่ยง เย็น
    บรรเทาปวด คลายกล้ามเนื้อ
    ชื่่อสามัญ พาราเซตามอล-ออเฟนาดีน
    ระวังการใช้ร่วมกับยาที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ

    ได้มา 2 แผง 20 เม็ด
    หมอบอกว่าถ้าอาการไม่ดีขึ้น สัปดาห์หน้าให้มาใหม่

    ปกติเป็นคนไม่ชอบทานยาถึงแม้จะไม่แพ้ยา โดยเฉพาะยาสารเคมี เพราะเชื่อในทฤษฏีการทำให้ร่างกายแข็งแรง-สุขภาพดี-มีภูมิต้านทานโรคมาตลอด แต่คราวนี้จำเป็นจึงทานยาตามเอกสารกำกับ
    แค่เม็ดแรก ในคืนนั้นก็นอนหลับปกติ แต่ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะเกิดอาการเหมือนมีธารลาวา-แสบ-ร้อนไหลผ่านกล้ามเนิ้อกลางหน้าอกด้านขวาวิ่งไปใต้รักแร้ขวา และกล้ามเนื้อหัวไหล่ด้านหน้าอีกเส้นหนึ่ง-กล้ามเนื้อปีกหลังด้านขวาด้วยฯลฯ เป็นอยู่ประมาณ 10 วินาทีก็หาย คิดว่ายาคงเริ่มกระจายไปยังส่วนต่างๆของร่างกายแล้ว

    รุ่งเช้าเริ่มรู้สึกไม่มีเรี่ยวมีแรง-อ่อนล้า ไปจ่ายกับข้าวกลับถึงบ้านก็ทานได้แค่ 3-4 คำ กระเพาะก็ไม่รับอาหาร จึงทานยาตามแพทย์สั่งแล้วนอนพัก ทั้งๆที่ไม่ง่วงแต่ก็หลับไปประมาณ 2 ชั่วโมง รู้สึกตัวขึ้นมาก็พยายามใช้ชีวิตตามปกติ ที่ดีขึ้นคือกล้ามเนื้อซี่โครงไม่เจ็บถ้าไม่ไอ-ไม่ถูกกระทบ แต่ผลที่แย่คือกล้ามเนื้อไม่มีแรงทั้งตัว-อ่อนล้าจนต้องนอนทั้งกลางวันกลางคืน
    หลับไปทั้งๆที่ไม่ง่วงอีกครั้ง ตื่นตอนเที่ยง พยายามทานอาหารก็ได้แค่ 3-4 คำ จึงคิดว่าร่างกายจะขาดพลังงานเอาได้-สุขภาพจะยิ่งแย่ จึงใช้วิธีทานน้อยแต่ทานบ่อย
    บ่าย 4 หลับอีกแล้ว 2 ทุ่มก็ต้องเข้านอน สมองเริ่มเอ๋อ คิดประโยคใหม่ได้ 4-5 คำเท่านั้น ประโยคเก่าลืมหมด-คิดอะไรไม่ออก-พูดไปแล้วก็ลืม ความทรงจำเลอะๆเลือนๆฯลฯ หลับสนิทเลยโดยไม่ง่วง-ไม่เคยง่วง หลับเท่าไหร่ก็ไม่พอ ปวดเมื่อยตามข้อไปทั้งตัว-ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะมีไข้-ผิวหนังที่มือมีสีเหลือง
    เป็นเช่นนั้นอยู่ 3 วัน วนเวียนอยู่แบบนั้น จนทานยาถึงเม็ดที่ 10 เริ่มรู้สึกมึนหัวมาก-มีอาการประสาทหลอน หลับก็เห็นภาพเคลื่อนไหวสั้นๆเกิดวนไปแล้วเริ่มใหม่ซ้ำๆ ตื่นขึ้นมาภาพก็ยังเคลื่อนไหวในสมอง
    เห็นว่าชักไม่เข้าท่าจึงหยุดทานยา
    หยุดยาวันแรกก็ปวดหัวแต่ไม่มากนัก อาการหมดแรง-อ่อนล้า-ทานไม่ได้-หลับง่ายฯลฯยังคงอยู่ ถึงวันที่ 3 ของการหยุดยา ตกบ่ายแค่ลืมตายังเมื่่อยทั่วรอบดวงตาทั้ง 2 ข้างจนลืมตาไม่ไหว ร่างกายอ่อนล้าจนแม้แต่นอนยังเมื่อยล้า หนักสุดคือไม่มีแรงหายใจเหมือนจะหยุดหายใจ หัวใจไม่มีแรงเต้นรู้สึกหนาววูบวาบที่กลางอกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น ฉุกคิดขึ้นมาว่า นี่คงเป็นอาการใกล้หัวใจวาย
    เย็นวันนั้นจึงไปหาหมอ ขอยาปฏิชีวนะเพราะปอดยิ่งขับเสมหะออกมา-ไอมากขึ้น หมอซักประวัติก็บอกว่าเป็นมาประมาณ 40 วัน หมอจึงสั่งให้ไปเอ๊กซเรย์ปอด
    ผลออกมา ปอดด้านล่างขวามีฝ้าขาว เพราะรังสีเอ๊กซเรย์ผ่านไม่ได้ หมอจึงออกใบนัดให้มาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและให้ยาปฏิชีวนะมา 1 ตัว ทานวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
    ยาปฏิชีวนะเริ่มส่งผล เสมหะเริ่มลด-แทบไม่ไอแล้ว

    เป็นวันจันทร์ ที่ต้องไปหาหมอตามนัด
    ไปโรงพยาบาลตั้งแต่ยังไม่ 2 โมงเช้ายังได้คิวที่ 162 คนไข้แออัดจนครึ่งหนึ่งต้องยืน
    ผมนั่ง-นอนหมดเรี่ยวหมดแรงเพราะฤทธิ์ยา"ออ-เฟ-นา-ดีน"ยังอยู่ จนเกือบเที่ยง หมอซึ่งมี 3 คน ตรวจคนไข้ไปถึงแค่คิวที่ 67 (เท่าที่จำได้ 4 โมงเช้ายังไม่มีหมอมาตรวจสักคน)
    คิดว่าทานยาปฏิชีวนะไปจนครบน่าจะหายจากอาการปอดมีเสมหะ เพราะเคยเป็นแบบนี้มาก่อน จึงไปบอกพยาบาลหน้าห้องหมอว่า ผมไม่รอแล้วนะครับ ดูแล้วบ่าย 3 ถึงจะได้ตรวจ พยาบาลกระซิบว่าให้ใจเย็นๆ โน้ตไว้แล้วว่า "ญาติเจ้าหน้าที่" เพราะหัวหน้าแผนกไตเทียมเขาเห็นผมและแจ้งว่าผมมีอุปการคุณกับโรงพยาบาลแห่งนี้ เพราะปีก่อนผมซื้อเครื่องฟอกไต 2 เครื่องบริจาคแผนกไตเทียม
    แล้วพยาบาลก็ให้ผมนั่งรอพบแพทย์เป็นคิวถัดไปเลย (หวังว่าจะเป็นเพราะบุญเก่า ไม่ใช่บาปใหม่นะ)

    หมออ่านประวัติที่ถูกบันทึกว่าผมไอมีเสมหะมานานกว่า 30 วัน จึงออกใบสั่งให้ผมไปตรวจหาเชื้อวัณโรค
    ดูภาพเอ๊กซเรย์ที่ปอดข้างขวาด้านล่างมีฝ้าขาว ออกใบสั่งให้ผมไปอัลตร้าซาวด์หาปริมาณน้ำในปอด แล้วบอกว่าคิวอัลตร้าซาวน์ยาวมากนะ
    ผมไปแผนกวัณโรค เขาให้ขากเสมหะออกมาจากหลอดลมใส่กระปุกเล็กๆ แล้วให้เอาไปส่งแผนกตรวจหาเชื้้อ-ย้อมสีหาเชื้อวัณโรค และให้มาอีก 2 กระปุกเปล่า บอกว่าต้องส่งตัวอย่างเสมหะให้ครบอีก 2 วัน เช้าวันศุกร์ให้มาฟังคำวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัณโรค
    ส่งตัวอย่างเสมหะเสร็จ เจ้าหน้าที่นัดให้มารับผล บ่าย 2 ครึ่ง เสร็จไป 1 ภารกิจ
    เดินไปแผนกรังสีวิทยาช้าๆเพราะไม่มีแรง ยื่นใบสั่งแพทย์ให้
    เจ้าหน้าที่ทำท่าอ้ำๆอึ้งๆแล้วบอกว่าคุณจะได้อัลต้าซาวน์สิ้นเดือนหน้า(อีกเกือบ 2 เดือน) แต่ถ้าคุณอยากได้เร็วให้เข้าร่วมโครงบริจาคซื้อเครืองมือแพทย์ จ่ายเพิ่ม 500 บาท
    ผมตอบตกลง ได้นัดวันศุกร์เย็น(อีก 4 วัน เพราะวันนี้วันจันทร์)
    อดคิดไม่ได้ว่า คนยากจนโดนแบบนี้จะเป็นยังไง? รอเกือบ 2 เดือนคงต้องไปขุดขึ้นจากหลุมมาทำอัลตร้าซาวน์

    ต้องเรียกว่ากลับไปนอนที่บ้านต่อเพราะทานอาหารได้แค่โอวัลติน 1 ซอง-ก็ต้องล้มตัวนอนอย่างอ่อนล้า
    บ่ายก็ไปรับผลการตรวจหาเชื้อวัณโรค ซึ่งปรากฏว่าไม่พบเชื้อวัณโรค
    เอาผลไปส่งแผนกที่พบหมอเมื่อเช้า คราวนี้ได้นั่งรอหน้าห้องหมอเลย
    เข้าไปกลายเป็นหมออีกคน ขอบันทึกชื่อหมอไว้เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ (หมอทวีวุฒิ)
    หมอดูผลการตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคก็ถามว่า น้ำหนักลดหรือเปล่า? ตอบว่า ไม่ลดครับ หมอบอกว่า คุณไม่ได้เป็นวัณโรค
    หมอดูภาพเอ๊กซเรย์แล้วถามว่า  หายใจได้เต็มปอดหรือไม่? ได้ครับ , หายใจหอบหรือไม่? ไม่ครับ , แน่นหน้าอกหรือไม่? ไม่ครับ ,หมอบอก คุณไม่มีน้ำในปอด-คุณเป็นโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
    หมออธิบายให้เข้าใจว่า ฝ้าขาวๆในภาพเอ๊กซเรย์เป็นน้ำขุ่นๆที่ปอดหลั่่งออกมาหุ้มปอดไว้เมื่อติดเชื้อโรค ทำให้รังสีเอ๊กซเรย์ทะลุไม่ได้ คุณเอายาปฏิชีวนะไปทานเพิ่มอีกตัว-ช่วงนี้ งดออกกำลัง...จบ
    ผมจึงไปแผนกวัณโรค บอกผลการวินิจฉัยของหมอ เพิ่มเติมว่าผมไม่ทำตามที่นัดแล้วนะ
    เขาบอกว่าคุณต้องทำตามขั้นตอนให้ครบ-ไม่ครบไม่ได้
    ผมเหลียวเห็นภาพบนบอร์ด ที่เจ้าหน้าที่ไปติดตามผู้ป่วยวัณโรคถึงบ้านในชนบท
    ก็คิดได้ว่า เขาคงตื้อไม่หยุดแน่ๆ จึงตอบยืนยันว่าจะทำตามนัด
   
    ไปรับยา
    แจ้งเภสัชกรถึงผลข้างเคียงของยา ออ-เฟ-นา-ดีน ที่รุนแรงมาก เภสัชกรยิ้มแล้วถามว่า หลอนเลยใช่ไม๊?
    จึงบอกเธอว่า ยาตัวนี้ฆ่าคนได้นะครับผมเกือบหัวใจวาย น่าจะเขียนเตือนข้างซองไว้
    เธอตอบว่าอาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน(ไม่ให้ความสำคัญเลย)

    คืนนั้น ฤทธิ์ยาออ-เฟ-นา-ดีน ที่ทำให้นอนหลับมากหายไป กลายเป็นว่าไม่รู้สึกง่วง-นอนไม่หลับเลย ดวงตาเบิกกว้าง-นอนยังไงก็ไม่หลับ-หลับบ้างตื่นมาอีกทีก็นอนไม่หลับ 
    จนเช้าวันถัดมาก็ไม่ง่วง แต่หัวใจหวิวๆเพราะนอนไม่พอ พยายามนอนกลางวันก็ข่มตาไม่ลง จึงคิดได้ถึงความรู้ที่เคยศึกษามาว่า ยานอนหลับ(สารเคมี)จะไปกดประสาทการนอนหลับเพื่อให้หลับ สมองซึ่งเคยหลั่งสารกระตุ้นการง่วงนอนจะหยุดทำงาน พอหยุดทานยานอนหลับก็ไม่มีสารอะไรกระตุ้นให้ง่วงนอน-ก็นอนไม่หลับ (จำได้แค่นี้)

    วันนี้ต้องไปส่งตัวอย่างเสมหะครั้งสุดท้าย ทานได้แค่แซนวิชชิ้้นเดียว-เรี่ยวแรงเริ่มกลับคืนมาเกือบ 50 % มีอาการหูอื้อเพิ่มเข้ามาอีก สมองเริ่มคิดได้ยาวขึ้นแต่ก็ยังไม่เหมือนเดิม
    คิดทบทวนเหตุการณ์การรักษาโรคที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่า
    1.ถ้าไม่รอจนเป็นเดือนค่อยไปหาหมอ เขาคงไม่สงสัยว่าว่าเราไอเพราะเป็นวัณโรค
    2.หมอที่สั่งให้ไปตรวจหาเชื้อวัณโรคและอัลตร้าซาวน์ ไม่ได้ซักถามอาการเลย แต่ออกใบสั่งเพียงเพราะเราไอมา 30 วันและปอดข้างขาวด้านล่างมีฝ้า
    ต่างจากหมอที่พบตอนบ่าย(หมอทวีวุฒิ) เขาซักถามอาการอย่างละเอียดแล้วจึงวินิจฉัย ถ้าหากได้พบหมอคนนี้ตั้งแต่ตอนเช้า ชีวิตจะเป็นอีกอย่าง เพราะตอนนี้มีประวัติด้านวัณโรคแล้ว
    3.นัดวันศุกร์ ทั้งวัณโรคและอัลตร้าซาวน์ วันนี้จะไปแจ้งยกเลิกเลย เพราะหมอวินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
    4.ไปขอให้ฝ่ายเภัชกร บันทึกเตือนห้ามจ่ายยา ออ-เฟ-นา-ดีน ไว้ในประวัติของเรา

    ไปทำตามที่วางแผนไว้ แต่กับเภสัชกรได้คุยเรื่องป้ายกำกับยา ออ-เฟ-นา-ดีน ว่าน่าจะเตือนกันบ้าง ผลข้างเคียงรุนแรงขนาดนี้ ถ้าคนป่วยโรคหัวใจทานครบ 2 แผงจองเมรุได้เลย
   เภสัชกรบอกว่า ยานี้เป็นยาทานตามอาการ-ไม่ใช่ให้ทานติดต่อกัน
   ผมก็โต้แย้งว่า แล้วพิมพ์ไว้ทำไม? ทานวันละ 3 ครั้ง เช้า เที่ยง เย็น
   ถ้าผมไม่ทำตามเดี๋ยวก็มาหาว่าเก่งกว่าหมอ
   ผมขอให้เพิ่มคำเตือนผลข้างเคียง-เธอบอกว่าคำเตือนถึงผลข้างเคียงก็มีอยู่นะ ผมขอให้เอาเอกสารกำกับยามาดู
   เธอสั่งผู้ช่วยให้เอามา-อ่านแล้วก็บอกเบาๆว่า สงสัยพิมพ์ตก
   แล้วเธอก็บันทึกเตือนห้ามจ่ายยา ออ--เฟ-นา-ดีน ลงในประวัติของผม และออกเอกสารคำเตือนใช้ยาประจำตัวให้ผม แนะนำผมว่าให้จำชื่อยาตัวนี้ไว้

    เกือบครึ่งเดือนที่สมองจำรายละเอียดอะไรแทบไม่ได้เลย--ไม่มีรายได้มีแต่รายจ่าย-เวลาสูญหายไปเกือบหมด-ชีวิตหยุดเจริญก้าวหน้า-จนป่านนี้ยังทานไม่ค่อยได้-นอนหลับได้เป็นเวลาสั้นๆ-หลับๆตื่นๆ-งงๆ
    เป็นบทเรียนราคาแพงระดับหนึ่งของชีวิตที่ไม่น่าเกิดขึ้นหรืออยากจดจำ
    แต่ต้องบันทึกไว้เพราะฤทธิ์ยา ออ-เฟ-นา-ดีน ยังหลงเหลืออยู่
    มิเช่นนั้นอีก 2 วัน เรื่องราวเหล่านี้คงลางเลือน...หายไปจากสงสารวัฏ
    พิมพ์ตกหล่น-แก้ไข-อ่านทวนเกิน 100 ครั้ง 

    สนธยามาเยือนแล้ว
    แก้วกวีหลุดหาย
    โชคดีท่ี่รอดตาย
    แต่ก็พ่ายแพ้แก่เวรกรรมฯ

๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น