ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2566

ศึกษาธรรมะอย่าเชื่อทั้งหมด : กลอนคติเตือนใจ


ศึกษาธรรมะอย่าเชื่อทั้งหมด : กลอนคติเตือนใจ


    ศึกษา ธรรมะ อย่าเชื่อ(ทั้ง)หมด.............................(เพราะ)เรื่องโป้ เรื่องปด มิหดหาย(เช่นนิทานชาดก)

ประสา ท่องจำ* ย่อมกล้ำ-กลาย............................เนื้อธรรม ความหมาย ต้น-ปลายมี(ความผิดเพี้ยน)


    (ตีความ)ทำความ เข้าใจ ในสาระ............................อักขระ ว่าไว้ ไขข้องชี้

เทียบเคียง สัจจา วิทยาดี.....................................หลีกลี้ คารม คำงมงาย

 

    สิ่งที่ สอดล้อง ครรลองสัจ......................................นำมา ปฏิบัติ ปราศเสียหาย

(สิ่งที่ยัง)พิสูจน์ ไม่รู้(ได้) อย่าดูดาย.......................หลากหลาย ไม่เอื้อ (วิสัย)ปุถุชน


    พุทธองค์ ทรงเป็น เพียงมนุษย์................................ถนัด ที่จะพูด เรื่อง(ความ)หลุดพ้น(ทุกข์)

ใช่ว่า จะรู้ เหนือผู้คน............................................รู้ทุก อย่างจน ล้นปัญญา(ความรู้)


    คำถาม หลามหลาก (พุทธองค์)ไม่อยากตอบ.............ผิด/ชอบ(ถูก) อย่างไร ในเนื้อหา(พระไตรปิฎก)

อาจเพราะ ท่อง(จำ)ไว้ สอนไป-มา.........................บิดเบือน (จากการแปล)ภาษา ควรระวัง


    ธรรมชาติ มนุษย์ มิหยุดฉล......................................โดยเฉพาะ ปุถุชน คนรุ่นหลัง

กิเลส ตัณหา มาบดบัง..........................................(อาจ)พลาดพลั้ง มิตั้งใจ ทำให้แปร(เปลี่ยน)

 

    สำคัญ คือคน ใคร่ศึกษา..........................................นำ(ธรรมะ)มา ปฏิบัติ ตัด(ขาด)กระแส-

วัฏฏะ สงสาร อย่าคร้านแล(ลองดู)..........................หรือแค่ แวะมา ใช้(พุทธศาสนา)หากิน

 

    ผสม พุทธใส่ ปนไสยศาสตร์....................................สติ วิปลาส ชาติกังฉิน(คดโกง,ไม่ซื่อตรง,ไม่ซื่อสัตย์)

เปลี่ยนแปลง แก่นสาร พาลราคิน............................พลิกลิ้น สาระ ธรรมวินัยฯ(หลายวัดนำศาสนาอื่นมาปนจนแทบไม่เหลือพุทธศาสนา)


๘ มีนาคม ๒๕๖๖


*สมัยพุทธกาลยังไมมีตัวหนังสือ ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร พระไตรปิฎกจึงถ่ายทอดด้วยการท่องจำอยู่นานหลายร้อยปี

ต่อมา ศาสนาพุทธในอินเดียโบราณก็ถูกกลืน-ถูกทำลายหมดสิ้น พระไตรปิฎกเถรวาทที่เราเห็นต้องอาศัยแปลจากต้นฉบับภาษาสิงหลของศรีลังกา

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

๔. อัคคัญญสูตร

...........[๕๖] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยล่วง
ระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่า
สัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร
มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิต
อยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้ง
บางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้จะกลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญ
อยู่โดยมาก เหล่าสัตว์พากันจฺติจากชั้นอาภัสสรพรหมลงมาเป็นอย่างนี้ และสัตว์นั้น
ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ใน
อากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ก็แหละ
สมัยนั้นจักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนแลไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และ
ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ยังไม่ปรากฏ กลางวันกลาง
คืนก็ยังไม่ปรากฏ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยังไม่ปรากฏ ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฏ
เพศชายและเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลาย ถึงซึ่งอันนับเพียงว่าสัตว์เท่า
นั้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา โดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านาน เกิด
ง้วนดินลอยอยู่บนน้ำทั่วไป ได้ปรากฏแก่สัตว์เหล่านั้นเหมือนนมสดที่บุคคลเคี่ยว
ให้งวด แล้วตั้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู่ข้างบน ฉะนั้นง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี
กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี ฉะนั้น มีรสอร่อยดุจรวงผึ้ง
เล็กอันหาโทษมิได้ ฉะนั้น ฯ
             ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลนพูดว่า ท่าน
ผู้เจริญทั้งหลาย นี่จักเป็นอะไร แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อเขาเอา
นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว เขาจึงเกิดความอยาก
ขึ้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้สัตว์พวกอื่นก็พากันกระทำตามอย่างสัตว์นั้น
เอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อสัตว์เหล่านั้นพากันเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลอง
ลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงเกิดความอยากขึ้น ต่อมาสัตว์
เหล่านั้นพยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือแล้วบริโภค ดูกรเสฏฐะ
และภารทวาชะ ในคราวที่พวกสัตว์พยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือ
แล้วบริโภคอยู่นั้น เมื่อรัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไปแล้ว ดวงจันทร์และดวง
อาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว ดวงดาวนักษัตรทั้งหลาย
ก็ปรากฏ เมื่อดวงดาวนักษัตรปรากฏแล้ว กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏ เมื่อ
กลางคืนและกลางวันปรากฏแล้ว เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนึ่ง
และกึ่งเดือนปรากฏอยู่ ฤดูและปีก็ปรากฏ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วย
เหตุเพียงเท่านี้แล โลกนี้จึงกลับเจริญขึ้นมาอีก ฯ........

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น