"หลักพุทธ"(วันมาฆบูชา) : กาพย์ยานี๑๑
๏ "หลักพุทธ" (คือ)เพื่อหลุดพ้น....................(หยุด)เวียนว่าย(ตายเกิด)วน วัฏสงสาร
มากกว่า แค่ต้องการ...............................ล้างผลาญทุกข์ (มี)สุขารมณ์(ในปัจจุบัน)
๏ ไม่ใช่ (ทำแค่)ไม่ยึดมั่น..............................(แต่)ต้องห้ำหั่น ตัณหาสม
อกุศล (ละ)มูลปม....................................อบรม(ตน)เร้น เป็นหลักธรรม(อกุศลมูล=กิเลส)
๏ ปาฏิ โมกข์สังวร........................................เป็นคำสอน ปกรณ์ล้ำ(ปกรณ์=หนังสือ,คัมภีร์)
พึงพร้อม จิตน้อมนำ.................................ปฏิบัติตาม ธรรมวินัย
๏ มีหทัย ไม่ประมาท.....................................บาปตัดขาด (ความ)ชั่วปัดไส
แม้โทษ (มี)เล็กน้อย ; ไม่..........................ไว้วางใจ ภัยเภทมี
๏ อภิชฌา และโทมนัส..................................พึงกำจัด(ละ) จากโลกนี้(อภิชฌา=ความโลภมากอยากได้)
ความผูก พันคลุกคลี.................................กับหมู่คณะ ควรละวาง
๏ ศีล-สมา ธิ-ปัญญา(สิกขา๓)........................เพียรศึกษา ประพฤติสร้าง
มรรคผล พ้องหนทาง................................ข้างหน้าลุ สู่นิพพาน
๏ มีฤดี ที่เด็ดเดี่ยว........................................มุ่งขับเคี่ยว สติปัฏฐาน
ฝึกฝน จนเชี่ยวชาญ..................................บันดาลพบ ประสบชัย(หมดสิ้นกิเลสตัณหา➔หมดทุกข์)
๏ วันมา ฆบูชา.............................................พุทธศา(สนิกชน) จงเลื่อมใส
"หลักพุทธ" อุตส่าห์หทัย...........................ไม่ทำเพียง พอเป็นพิธีฯ
๖ มีนาคม ๒๕๖๖
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
ปาฏิโมกขสูตร ว่าด้วยปาฏิโมกขสังวร [๘๒๗] ครั้งนั้น พระภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้น แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มี- *พระภาคทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว จะพึงเป็นผู้ผู้เดียว หลีก ออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด. [๘๒๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ เพราะฉะนั้นแหละ เธอจงชำระเบื้องต้น ในกุศลธรรมให้บริสุทธิ์เสียก่อน ก็อะไรเป็นเบื้องต้นของกุศลธรรม? เธอจงสำรวมในปาฏิโมกข- *สังวร จงถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร เห็นภัยในโทษมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขา บททั้งหลาย. [๘๒๙] ดูกรภิกษุ เมื่อใดแล เธอจักสำรวมในปาฏิโมกขสังวร จักถึงพร้อมด้วย มารยาทและโคจร เห็นภัยในโทษมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เมื่อนั้น เธออาศัยศีลดำรงอยู่ในศีลแล้ว พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน? ดูกรภิกษุ เธอจงพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ... ในเวทนาอยู่ ... ในจิตอยู่ ... พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย เมื่อใด เธอจักอาศัย ศีลดำรงอยู่ในศีลแล้ว เจริญสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ อย่างนี้ เมื่อนั้น เธอพึงหวังความเจริญใน กุศลธรรมได้ทีเดียว ตลอดคืนหรือวันที่จักมาถึง ไม่มีความเสื่อม. [๘๓๐] ครั้งนั้นแล ภิกษุนั้น ชื่นชม อนุโมทนา พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ภิกษุนั้นเป็นผู้ผู้เดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุด แห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วย ปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แลภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในจำนวน พระอรหันต์ทั้งหลาย.
โอวาทปาฏิโมกข์ [โอ-วา-ทะ-ปา-ติ-โมก]
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่า วันมาฆบูชา
(อรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),
คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)
สพฺพปาปสฺส อกรณํ | กุสลสฺสูปสมฺปทา |
สจิตฺตปริโยทปนํ | เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ |
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ฯ
อนูปวาโท อนูปฆาโต | ปาติโมกฺเข จ สํวโร |
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ | ปนฺตญฺจ สยนาสนํ |
อธิจิตฺเต จ อาโยโค | เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ |
ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า นิพพานเป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต, ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิตต์ ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า
ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%E2%CD%C7%D2%B7%BB%D2%AF%D4%E2%C1%A1%A2%EC&detail=on
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น