ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

เหลือบศาสนา : กลอนคติเตือนใจ






ภาพจาก Google

เหลือบศาสนา : กลอนคติเตือนใจ

    (เพิ่ง)เข้าไปดู กุฏิ พระผู้ใหญ่............................ช่างไฉไล หรูหรา ต้องตาฉัน

(เอา)เงินวัดวา มาสร้าง แทบทั้งนั้น....................ของใช้จัด คัดสรรค์ สิ่งอันดี(มีค่าราคาแพง)


    ทั้งห้องนอน ห้องครัว ห้องรับแขกฯลฯ...............มิต่างแตก ผิดแผกเหล่า ชาวบ้านชี้

โต๊ะกินข้าว ตู้เย็นฯลฯ* เห็นครบมี......................ทั้งนารี รับใช้ ให้บริการ(ยังมีหญิงรับใช้ด้วย)

 

    บ่ริษยา พระที่ มีความสุข(สบาย).......................แค่คิดฉุก(ฉุกคิด) ถูกต้อง คลองธรรมขาน?

นี่นะหรือ คือบวชเอื้อ เพื่อนิพพาน?...................อยู่(อย่าง)สำราญ เลิศล้ำ กามคุณ


    ชาวบ้านยัง (ต้อง)หาเช้า ข้าวกินค่ำ...................ตากแดด(หน้า)ดำ ทำงาน ดาลหัวหมุน

เงินที่หา มาได้(ยากลำบาก) ใคร่เจือจุน.............เนื้อนาบุญ พุทธศาสน์ ด้วยศรัทธา


    สอนชาวบ้าน ให้หมั่นละ ตัณหา-เกลศ...............พระผู้เทศน์(กลับ) ล้นกิเลส และตัณหา(เกลส=กิเลส)

ดวงฤดี มิตรงไป ไม่ตรงมา...............................ทำ(ตัว)เป็นเหลือบ ศาสนา แฝงหากิน


    ควรหรือปลง ส่งเสริมพระ พวกกาฝาก?..............กิเลส(ตัณหา)มาก กว่าเรา เมาถวิล

หลอกลวงโลก บกพร่อง ส้อง(เสพ)ราคิน...........แทนที่จะ (ทำมา)หากิน เช่นวิญญู

 

    นี่มิใช่ (พุทธ)ศาสนา เนื้อนาบุญ........................(หาก)แต่คือพาล มานสถุล หมกมุ่นสู่

โลก(แห่ง)โลกีย์ วิสัย อาลัย "กู"........................และ"ของกู" อยู่เสมอ ; อย่าเผลอใจ


    บริจาค ทำบุญ หนุนลวงหลอก..........................บำรุงพุทธ (ธะ)ศาสนาดอก (ขอ)บอกมิใช่

(พระที่)ประพฤติ ป ฏิบัตินำ นอกธรรมวินัย..........ย่อมเป็นภัย ทำลายพุทธ (ธะ)ศาสนาเอยฯ


๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕


*สิ่งอำนวยความสะดวกสบายมีครบครัน เหมือนคฤหาสน์เศรษฐี


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต

อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร
[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ อันบรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ
๑๐ ประการเป็นไฉน คือ 
บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราเป็นผู้มีเพศต่างจากคฤหัสถ์ ๑ 
บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า การเลี้ยงชีพของเราเนื่องด้วยผู้อื่น ๑ 
บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า อากัปกิริยาอย่างอื่นอันเราควรทำมีอยู่ ๑ 
บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราย่อมติเตียนตนเองได้โดยศีลหรือไม่ ๑ 
บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้เป็นวิญญูชนพิจารณาแล้ว 
ติเตียนเราได้โดยศีลหรือไม่ ๑ 
บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ๑ 
บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำกรรมใด
ดีหรือชั่วก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ๑ 
บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ๑ 
บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราย่อมยินดีในเรือนว่างเปล่าหรือไม่ ๑ 
บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆว่า ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส เป็นอริยะ 
คือ อุตริมนุสธรรมอันเราได้บรรลุแล้วมีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เราผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว
จักไม่เป็นผู้เก้อเขินในกาลภายหลัง ๑ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้แล อันบรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น