ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

พรบ.คณะสงฆ์ คือปัญหา : กาพย์ยานี๑๑




พรบ.คณะสงฆ์ คือปัญหา : กาพย์ยานี๑๑

    พรบ. คณะสงฆ์....................................คือความหลง ทางศาสนา
เอาโลกีย์ กติกา.................................พาลกำหนด พุทธกฎเกณฑ์

    ละเมิด ธรรมวินัย...................................อย่างมากมาย มีให้เห็น
แก่นพุทธะ ถูกละเว้น...........................ดั่งเฉกเช่น ทึ้งทำลาย(ธรรมวินัยบัญญัติโดยพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์)

    เช่นบาง ตัวอย่างยก...............................โครงสร้างโลกย์ ปกครองหมาย
ตำแหน่ง แต่งมากมาย.........................ยศศักดิ์คล้าย (ระบบ)ศักดินา

    พระสงฆ์ สิ้นอิสระ..................................สังกัดจะ ต้องแสวงหา(เหมือนระบบมูลนายไพร่)
ทั้งที่ พระศาสดา.................................มิให้ปรารถนา การปกครอง(สงฆ์)

    (ให้)เงินตรา ประจำตำแหน่ง.....................ซึ่งขัดแย้ง วินัยผอง
สมณศักดิ์ ประจักษ์จ้อง..........................เหนือครรลอง พรรษามี(ตามวินัย พระเคารพกันตามพรรษา ไม่ใช่สมณศักดิ์)

    มีกระทั่ง เงินรางวัล.................................เปรียญธรรม์ สอบผ่านศรี
ทำลาย ประเพณี...................................ที่ห้ามพระ รับ-เก็บเงินฯลฯ

     อ้างมุ่ง บำรุงศาสนา................................ใช้อัตตา พาขัดเขิน(ทำตามใจปุถุชนที่มีกิเลสตัณหา)
ชักนำ พระดำเนิน..................................เพลินโลกีย์ วิสัยปอง(หาลาภยศสักการะ)

    จึงไม่ แปลกใจที่.....................................ข่าวคาวพี มิเคยพร่อง
(วงการ)ผ้าเหลือง ล้นเนืองนอง................ผองพาลผู้ สิงสู่เอยฯ

๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒

*ก่อนเสด็จนิพพานเล็กน้อย  คือภายหลังทรงโปรดสุภัททะปริพาชกแล้ว  พระพุทธเจ้าประทาน
โอวาทพระสงฆ์  โอวาทนั้นเป็นพระพุทธดำรัสสั่งเป็นครั้งสุดท้าย  มีหลายเรื่องด้วยกัน  เช่น  เรื่องหนึ่งเกี่ยว
กับพระสงฆ์ยังใช้ถ้อยคำเรียกขานกันลักลั่นอยู่  คือ  คำว่า  'อาวุโส'  และ  'ภันเต'   อาวุโสตรงกับภาษาไทยว่า 
'คุณ'  และภัตเตว่า  'ท่าน'
พระพุทธเจ้าตรัสสั่งว่า  พระที่มีอายุพรรษามากให้เรียกพระบวชภายหลังตน  หรือที่อ่อนอายุ
พรรษากว่าว่า  'อาวุโส'  หรือ  'คุณ'  ส่วนพระภิกษุที่อ่อนอายุพรรษา  พึงเรียกพระที่แก่อายุพรรษากว่าตนว่า 
'ภันเต'  หรือ  'ท่าน'
ครั้นแล้วทรงเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ทั้งปวงทูลถาม  ว่าท่านผู้ใดสงสัยอะไรในเรื่องที่พระองค์
ทรงสั่งสอนไว้แล้วก็ให้ถามเสียจะได้ไม่เสียใจเมื่อภายหลังว่าไม่มีโอกาสถาม
ปรากฏตามท้องเรื่องใน มหาปรินิพพานสูตร ว่า  ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดทูลถามพระพุทธเจ้าใน
ข้อสงสัยที่ตนมีอยู่เลย
เมื่อก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จนิพพานนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตั้งสาวกองค์ใดให้รับตำแหน่ง
เป็นพระศาสดาปกครองพระสงฆ์สืบต่อจากพระองค์เหมือนพระศาสดาในศาสนาอื่น  เรื่องนี้ก็ไม่มีพระสงฆ์
องค์ใดทูลถามพระพุทธเจ้า   แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสสั่งพระสงฆ์ไว้ฃัดเจนก่อนจะนิพพาน
โดยตรัสบอกพระอานนท์ว่า  "ดูก่อนอานนท์  ธรรมก็ดี  วินัยก็ดี  ที่เราได้แสดงไว้   และ
บัญญัติไว้ด้วยดี  นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่านสืบแทนเราตถาคต  เมื่อเราล่วงไป
แล้ว"
ครั้นแล้ว  พระพุทธเจ้าตรัสเป็นปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายว่า  "ภิกษุทั้งหลาย!  บัดนี้เราขอเตือน
พวกท่านให้รู้ว่า  สิ่งทั้งหลายที่เกิดมาในโลกมีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา  ท่านทั้งหลายจงทำหน้าที่อันเป็น
ประโยชน์แก่ตนและคนอื่นให้สำเร็จบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
หลังจากนั้นไม่ได้ตรัสอะไรอีกเลย     จนกระทั่งนิพพานในเวลาสุดท้ายของคืนวันขึ้น  ๑๕  ค่ำ 
เดือน    หรือวันเพ็ญวิสาขะ    ภายใต้ต้นสาละทั้งคู่ที่ออกดอกบานสะพรั่งเป็นพุทธบูชานั่นเอง

จาก <http://www.84000.org/tipitaka/picture/f76.html>

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น