ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เริ่มต้นแก้ปัญหาตรงไหนดี? : เรื่องสั้น



  





เริ่มต้นแก้ปัญหาตรงไหนดี? : เรื่องสั้น

    รู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก
    ได้เสียงชายหนุ่ม 2-3 คนคุยกันเรื่องกินเหล้า-แต่งรถ จากบ้านที่อยู่หลังบ้านของฉัน สอดแทรกกับเสียงเฮฮาสนุกสนานของกลุ่มเด็กวัยรุ่น ดังไกลมาจากโรงเรียนวัด(เอกชน)
    "เวลาเท่าไรแล้ว?" ฉันนึกสงสัย จึงควานหามือถือมาเปิดดู
    " 01:29 น. ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป กลางวันมีงานต้องทำ" ฉันบอกตัวเอง ก่อนจะรวบรวมสมาธินอนหลับต่อไป

    เช้าวันนั้น
    โรงเรียนวัด(เอกชน)ใกล้บ้านเริ่มแข่งกีฬาสี มีนักเรียนมาเก็บตัวกิน-นอน เพื่อฝึกซ้อมกีฬากันที่โรงเรียน ชายหนุ่มหลังบ้านฉันมีหน้าที่ต้องขับรถนำหน้าขบวนพาเหรดกีฬาสี แต่ตีหนึ่งครึ่งยังไม่ยอมเข้านอน
    อดไม่ได้ ที่จะคิดถึงข่าวรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลวิ่งชนท้ายรถ 18 ล้อที่จอดข้างทาง ผู้ช่วยพยาบาลตาย 1 คน บาดเจ็บสาหัส 2 คน ตำรวจสันนิษฐานว่าคนขับรถฉุกเฉินหลับใน
    รู้ตัวว่าต้องขับรถแต่กลับกินเหล้าไม่หลับไม่นอน รู้ตัวว่านอนไม่เพียงพอแต่ก็มาขับรถฯลฯ คนขับรถมากมายเป็นเสียแบบนี้ ประเทศไทยจึงครองแชมป์โลกด้านอุบัติเหตุบนท้องถนน คนบริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตให้กับความประมาทของคนไม่กี่คนทุกๆวัน

    สายของวันนั้น มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คนหนึ่งมาซื้อของ แล้วบ่นให้ฟังว่า
    "พวกนักโทษใช้ของไม่ทน"
    ฉันจึงพูดเสริมให้ว่า "ถ้าเป็นคนมีคุณภาพ คงไม่มาติดคุก"
    เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บอกว่า "คุกก็ล้น-คนเก่าไม่มีที่นอน ยังมีคนใหม่เข้ามาเพิ่มอีก ตีกันมากมาย เดี๋ยวนี้เจ้าหน้าที่จะไปลงไม้ลงมือไม่ได้กับนักโทษแล้วนะ นักร้องเยอะ-โดนย้ายเด้งไปไกล เบื่อ" พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆก่อนจะขับรถจักรยานยนต์จากไป

    ฉันเก็บเอามาคิดต่อ
    หลายสัปดาห์ก่อน มีข่าวซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจเกาะติดความปลอดภัยของประชาชน” พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาข่มขืน-อุบัติเหตุ-ยาเสพติด เป็นการเร่งด่วน
    "แล้วจะเริ่มแก้ปัญหาตรงไหนดี?" ฉันลองคิดดู

    มีคำบ่นเปรียบเปรยให้ได้ยินบ่อยๆว่า "เราอยู่ในยุดที่พิชซ่ามาถึงก่อนตำรวจ" สะท้อนถึงปัญหาความปลอดภัยในสังคมไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนใหญ่ประพฤติตัวเป็นจำเลยสังคม ไม่ใช่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
    กฎหมายไทยก็มีข้อกำหนดพิลึกๆ เช่น การกำหนดโทษสูงสุดเอาไว้ ใครทำความผิดมากแค่ไหนก็ลงโทษได้ไม่เกินกว่านั้น
    เมื่อวันก่อนก็ข่าวเจ้าหน้าที่คลังโกงเงินของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง 689 ล้านบาท คนที่โดนลงโทษหนักสุดถูกศาลตัดสินให้คิดคุกรวม 203 ปี แต่กฎหมายกำหนดโทษสูงสุดไว้ไม่เกิน 50 ปี ศาลจึงตัดสินให้จำคุก 50 ปี ข้อกำหนดทำนองนี้มีแต่จะยุยงส่งเสริมให้คนทำผิดให้มากๆ เพราะได้รับโทษเท่ากับคนทำผิดน้อยกว่า
    การลดโทษแบบ "ลดแลกแจกแถม" ย่อมทำให้คนเลวๆคิดว่า ติดคุกแค่ประเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็ได้ออกมา
    คนไทยชอบล้อเลียนการลดโทษของประเทศไทย เพราะไม่เคยเห็นข่าวแบบนี้ในชาติอื่น ฉันเคยอ่านความเห็นของคนไทยที่อยู่ญี่ปุ่นว่า ประเทศญี่ปุ่นไม่มีการลดโทษให้ใคร เพราะต้องการปรามไม่ให้คนทำผิดกฎหมาย
    โดยส่วนตัวก็เคยเห็นข่าวศาลประเทศสหรัฐอเมริกาตัดสินจำคุกเป็นร้อย-พันปี ไม่เห็นมีเรื่องกำหนดโทษสูงสุด-ลดโทษไว้แต่อย่างใด
    มีคนไทยไม่น้อยชอบอ้างความเป็นเมืองพุทธบ้าง อ้างหลักมนุษยธรรมบ้าง อ้างแรงกดดันจากสังคมโลกบ้างฯลฯ เพื่อเรียกร้องให้ลดโทษ-งดประหารให้แก่อาชญากร
    แต่คนพวกนี้มีใครสนใจผู้เสียหาย? เงินชดเชยจากรัฐ(ไม่กี่บาท) ไม่อาจทดแทนการสูญเสียของผู้เสียหายได้ คนทำผิดส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินชดใช้ค่าเสียหาย
    ความยุติธรรมที่เข้าข้างคนผิดจะสร้างวิกฤติให้แก่ผู้บริสุทธิ์
   
    ระบบการศึกษาของไทยที่มีปัญหาคาราคาซังเป็นดินพอกหางหมู ดูเหมือนการแก้ปัญหาจะเป็นการสร้างปัญหาใหม่มากกว่า
    แต่ก่อนครูชอบอ้างว่า การได้รับเงินเดือนต่ำไม่จูงใจให้คนเก่งๆมาเรียนวิชาครู-ประกอบอาชีพครู จึงมีการปรับฐานเงินเดือนครูจนสูงกว่าข้าราชการอื่นๆในสังกัด กพ.
    แต่ปรากฏว่าคุณภาพการศึกษาของไทย ไม่ได้สูงขึ้นตามเงินเดือนครูที่เทียบเท่ากับเงินเดือนแพทย์แล้ว มิหนำซ้ำยังทำท่าว่าจะสวนทาง-แย่ยิ่งกว่าเดิม เพราะการสอบวัดผลเมื่อเทียบกับต่างชาติ ไทยรั้งท้ายประเทศอาเซียนด้วยกัน (ที่ประชุมศก.โลก 'WEF' 2012-2013 จัดอันดับการศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน ชี้เด็กไทยคิดไม่เป็น)
    เมื่อ"คิดไม่เป็น" ก็ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าเด็กจะ"ทำอะไรเป็น รู้ว่าควรทำ-ไม่ควรทำอะไร?"
    เมามัวการพนัน สิ่งเสพย์ติด เพศสัมพันธ์ ไม่สนใจเรียนฯลฯ เป็นปัญหาใหญ่ของเด็กไทยสมัยนี้ พ่อแม่โทษโรงเรียน โรงเรียนโทษผู้ปกครอง
    
    มีความพยายามที่จะฝากความหวังไว้กับศาสนาพุทธ(ศาสนาหลักของคนไทย) สารพัดเงินงบประมาณจัดสรรให้ แถมท้ายด้วยยศถาบรรดาศักดิ์
    แต่จากข้อเท็จจริง โดยส่วนใหญ่คนมีฐานะ-โอกาสที่ดีในสังคมจะไม่ส่งลูกมาบวชเรียน แต่ไหนแต่ไรมา สามเณรที่บวชเรียนมักมาจากครอบครัวยากไร้ในชนบท บวชเรียนเพื่อหวังได้เรียนจบปริญญา-ลาสิกขาบทสึกออกมีงานทำ-สร้างครอบครัว
    เดี๋ยวนี้การบวชพระตามประเพณีก็ลดลง ใช้เวลาบวชน้อยลง คนเก่ง-มีการศึกษามักจะไม่อยู่เป็นพระนานๆ คนที่อยู่เป็นพระเพราะเลื่อมใสศรัทธาอยากจะปฏิบัติตามธรรมวินัยมีสัดส่วนน้อยมาก กิจกรรมของพระที่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากคนในสังคม มักเป็นเรื่องไสยศาสตร์-อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ไม่ใช่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
    คนไทยส่วนใหญ่คาดหวังให้พระเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ที่ไม่ใช่หลักศาสนพุทธแต่เป็นศาสนาพราหมณ์ที่อยู่คู่วัฒนธรรมไทยมาอย่างยาวนาน การอ้าง"ประเพณี ความเป็นไทย" จึงเป็นอะไรที่ไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคนที่มีความเชื่อและเกี่ยวข้องกับเรื่องไสยศาสตร์-เวทมนตร์-คาถาอาคม-เครื่องรางของขลัง
    กิจกรรมของวัดที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น มักสนับสนุนให้เกิดการสะสมความมั่งคั่งทางการเงิน  ปลูกสร้างถาวรวัตถุยิ่งใหญ่-สวยงาม และการส่งเสริมท่องเที่ยว มีหลายวัดโดยเฉพาะวัดที่มีชื่อเสียงที่พระมีกิจกรรมที่แทบไม่แตกต่างจากฆราวาส การดำเนินชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
    พระทำผิดเลวร้ายให้มีข่าวอยู่แทบทุกวัน สะท้อนถึงปัญหาคนชั่วอาศัยผ้าเหลืองบังหน้าหากิน เพราะคนไทยไม่น้อยชอบทำบุญให้เงินพระแบบหลับหูหลับตา ไม่เคยศึกษาธรรมวินัยของพุทธศาสนา ไม่รู้ว่าพระแบบไหนดี-แบบไหนเลว ศรัทธากันตามที่ชอบใจ-ทำอะไรตามใจคือไทยแท้
   
    เป็นที่ยอมรับกันว่า
    รัฐบาลคือเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนและนำพาประเทศไปสู่ทิศทางที่ต้องการ รัฐบาลของประเทศที่่่ปกครองแบบประชาธิปไตย ได้มาจากการสนับสนุนของผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน การเลือกตั้งของประชาชนทำให้ได้คนซึ่งเป็นตัวแทน เข้าไปสู่สภาฯทำหน้าที่นิติบัญญัติและตั้งรัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศ
    การเมืองไทยไม่เคยหลุดพ้นจากวังวนของการเลือกตั้งและรัฐประหาร การเลือกตั้งของไทยไม่เคยปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆให้อำนาจอธิปไตยแก่นักการเมือง ไม่ใช่ประชาชน ประชาชนเป็นเครื่องมือขึ้นก้าวสู่อำนาจของนักการเมือง มากกว่าจะควบคุมนักการเมือง แม้แต่การลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกผู้แทน ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังขาดความเป็นตัวของตัวเอง และนั่นก็เป็นโอกาสเดียวที่ใกล้เคียงกับความมีประชาธิปไตยมากที่สุด เท่าที่ประชาชนจะมีได้ในสังคมไทย เพราะการชุมนุมเรียกร้องใดๆของคนไทยในประเด็นการเมือง มักมีผลประโยชน์ของพรรคการเมืองซ่อนเร้นอยู่เสมอ   

    "เริ่มแก้ปัญหาตรงไหนดี?"
    จึงเป็นข้อปัญหา พอๆกับปัญหาสังคมที่มีลักษณะของปัญหาที่ไม่มีทางแก้ เพราะต้องแก้ปัญหาที่ตัวบุคคล-ประชาชนทุกคน อันเป็นกลไกขับเคลื่อนให้เกิดปัญหาและต้องร่วมกันแก้ปัญหา
    ในขณะที่่คนส่วนใหญ่ยังไม่ให้ความสำคัญกับ"การรักดี และความมีศีลธรรม" การแก้ปัญหาสังคมจึงคงเป็นเพียงข้อเรียกร้องที่จะไม่มีวันได้รับการตอบสนองตลอดไป
    สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการเอาตัวรอดแบบตัวใครตัวมัน ที่ทำกันเป็นประจำฯ
   
๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๑

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น