๏ (อ่าน)ฟังธรรมะ มากมาย ทำไมกัน?.....................เมื่อมิ มุ่งมั่น มานศึกษา
(ให้)เกิดความ เข้าใจ ได้ปัญญา...........................นำมา ปฏิบัติ ด้วยสัจจริง
๏ เสมือนดั่ง ฟังเพลง บรรเลงแผ้ว...........................ฟังแล้ว สบายใน ฤทัยยิ่ง
มองเมียง เพียงพอ บ่อ้างอิง................................(เสร็จแล้ว)ละทิ้ง เลิกรา มิอาลัย
๏ โดยเฉพาะ ฟังธรรม ถ้อยคำตลก..........................เทศนา ลามก สกปรกใคร่
(พระ)เพื่อกอบ โกยเงิน จำเริญใจ.........................(คนฟัง)หวังได้ หัวเราะ ก็พอเพียง
๏ เป็นธรรมะ ที่สนอง กองกิเลส...............................ไร้เจต (ตะ)นา ตัณหาเลี่ยง
จมโลกีย์ วิสัย ใจเอนเอียง...................................แค่สำรอก ออกเสียง สำเนียงธรรม
๏ เมื่อไร้ ใครที่ ถือปฏิบัติ........................................แค่จัด (เทศน์-ฟังธรรมพอ)เป็นพิธี มิเลิศล้ำ
(โดยเฉพาะ)เทศนา ลามก ตลกนำ........................สร้างความ ตกต่ำ ให้ธรรมา
๏ คือพุทธ (ธะ)พาณิชย์ รีตสาไถย...........................มิใช่ (การ)เผยแผ่ พุทธศาสนา
มีวัตถุ ประสงค์ ตรงเงินตรา...................................สร้างฐา นะทำ ให้(พระ)ร่ำรวย
๏ กิจกรรม เช่นนี้ ไม่มีประโยชน์...............................ทั้งยัง สร้างโทษ ฉลโฉดด้วย
(คนชั่วจะมา)บวชพระ เพื่อหาลาภ ทำฉาบฉวย........คนฟัง ธรรมทวย อวยอวิชา
๏ ก็เหมือน บรรดา ประเพณี(หลายอย่าง)..................โลกีย์ วิสัย ใคร่ตัณหา
ยก(พุทธ)ศาส (สะ)นาพราง เพื่อบังหน้า..................สร้างค่า นิยม งมงายเอยฯ
๒ มกราคม ๒๕๖๕
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต โรณสูตร [๕๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การขับร้อง คือ การร้องไห้ในวินัยของพระอริยเจ้าการฟ้อนรำ คือ ความเป็นบ้าในวินัยของพระอริยเจ้าการหัวเราะจนเห็นฟันพร่ำเพรื่อ คือ ความเป็นเด็กในวินัยของพระอริยเจ้าเพราะเหตุนั้นแหละ จงละเสียโดยเด็ดขาดในการขับร้องฟ้อนรำเมื่อท่านทั้งหลายเบิกบานในธรรม ก็ควรแต่ยิ้มแย้ม ฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น