สมเด็จกรมพระนโรดมรณฤทธิ์ : กษัตริย์นักการเมือง
ข่าวอุบัติเหตุทางรถยนต์ในจังหวัดสีหนุวิลล์
ซึ่งสมเด็จกรมพระนโรดมรณฤทธิ์ พระราชโอรสลำดับที่สองในพระบาทสมเด็จนโรดมสีหนุ
พระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนของกรุงกัมพูชา ทรงบาดเจ็บพระวรกายสาหัส และพระชายาโอค
ปัลลา สิ้นชีพิตักษัย ทำให้ชื่อของกรมพระนโรดมรณฤทธิ์กลับมาอยู่ในหน้าข่าวไทยอีกครั้งหนึ่งหลังจากเงียบหายไปนาน
ผู้ที่ติดตามข่าวการเมืองในกัมพูชามาตั้งแต่ยุคการเลือกตั้งที่สหประชาชาติมาจัดขึ้นในปี
1993 คงจะพอจำกันได้ถึงการแย่งชิงอำนาจกันสองขั้ว
ระหว่างสมเด็จกรมพระนโรดมรณฤทธิ์แห่งพรรคฟุนซินเปก (FUNCINPEC)
กับฮุนเซนแห่งพรรคชาติประชาชนกัมพูชา (CPP) ที่ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นที่สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชในภายหลัง
และสมเด็จกรมพระนโรดมรณฤทธิ์ก็ได้พ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจ
จนต้องคดีและนิราศจากประเทศไปถึงสองหน
สมเด็จกรมพระนโรดมรณฤทธิ์ នរោត្ដម
រណឬទ្ធិ ประสูติในฐานะพระองค์เจ้าทับ
เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดมสีหนุ กับเจ้าจอม ผาด กาญล ផាត់-កាញ៉ុល
อันเป็นพระสนมคนแรก และเป็นนางรำในราชสำนัก เมื่อทรงพระเยาว์มิได้อยู่กับพระมารดา
แต่ได้รับการเลี้ยงดูในราชสำนักเขมรินทร์โดยสมเด็จพระปิตุจฉานโรดม รัศมีโสภณ
พร้อมกัับพระภคินีร่วมพระมารดา คือสมเด็จพระเรียมนโรดมบุปผาเทวี
ในยุคที่ฝรั่งเศสยังเป็นเจ้าอาณานิคมปกครองกัมพูชาอยู่
ทรงเข้ารับการศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนนโรดมในกรุงพนมเปญ
ก่อนจะศึกษาต่อชั้นมัธยมในลีเซ่ เดส์การ์ต์
และข้ามทะเลไปศึกษาในโรงเรียนกินนอนที่เมืองมาร์กแซยล์ ฝรั่งเศส
และเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย ในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยโปรวองซ์
จนเข้าสอบชั้นปริญญาเอกในสาขากฎหมายมหาชนได้
เมื่อเสด็จนิวัติกลับกรุงพนมเปญในปี
1970
พระองค์ทรงเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยในรัฐบาลของพระบิดาสีหนุชั่วครู่หนึ่ง
ก่อนจะเกิดรัฐประหารของนายพลลอนนอล ที่อเมริกาสนับสนุนในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน
พระองค์หนีเข้าป่าและพยายามจับอาวุธต่อต้านลอนนอล แต่ก็ถูกจับกุมและจำคุกอยู่หกเดือน
และถูกเนรเทศไปยังฝรั่งเศสอีกครั้ง
พระองค์ใช้เวลาช่วงนี้ทำปริญญาเอกต่อจนสำเร็จการศึกษาในปี 1975
ในช่วงความวุ่นวายของเขมรแดง
พระองค์ทรงรับตำแหน่งนักวิจัยและผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านกฎหมายมหาชนของมหาวิทยาลัยโปรวองซ์และใช้ชีวิตอย่างสงบโดยสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญและสังคมวิทยาการเมือง
ในปี
1981 สมเด็จพระนโรดมสีหนุในขณะนั้น พยายามจัดตั้งพรรคแนวร่วมแห่งชาติกัมพูชา หรือ
ฟุนซินเปก ขึ้น และเรียกให้กรมพระรณฤทธิ์กลับมาช่วยงาน
เนื่องจากเป็นพระราชวงศ์ที่ทรงความสามารถ และมีวุฒิภาวะเหมาะสม
รวมถึงไม่มีภาพลบเสียหายจากการบริหารในยุคก่อนสงครามกลางเมือง
กรมพระรณฤทธิ์ทรงปฏิเสธพระบิดาในครั้งแรก
เนื่องจากทรงรังเกียจการร่วมมือกับเขมรแดงของพระบิดา
ก่อนที่สองปีถัดมาจะทรงยอมลาออกจากงานสอนกลับมานำพรรคในกัมพูชา
และเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างช่วงเขมรสี่ฝ่ายในปี 1985-1991
สมเด็จกรมพระนโรดมรณฤทธิ์
ใช้ทักษะทางภาษา การเมืองและการทูต
เข้าร่วมองค์กรสภาสูงสุดแห่งชาติที่สหประชาชาติกำหนด และลงนามในสัญญาสันติภาพปารีส
หยุดสงครามเวียดนาม-กัมพูชา
และดำเนินไปสู่การเลือกตั้งครั้งแรกของเขมรหลังสงครามกลางเมือง
และได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง สถาบันกษัตริย์กัมพูชาได้รับการรื้อฟื้น
สมเด็จกรมพระนโรดมรณฤทธิได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา
แต่ทว่าชะตาของเจ้ารณฤทธิ์กลับไม่จบอย่างสวยงามเช่นนั้น
ด้วยกลทางการเมืองที่จะขู่แยก
7 จังหวัดชายแดนเวียดนามออกเป็นเอกราช
ฮุนเซนใช้อำนาจทางการเมืองและกองทัพบีบบังคับให้ตนได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคู่กับกรมพระนโรดมรณฤทธิ์
รัฐบาลพรรคฟุนซินเปกถูกครหาเรื่องการทุจริต
โดยเฉพาะเรื่องการตัดไม้ส่งออก และสินบนจัดซื้อเครื่องบิน
โดยแกนนำประท้วงหลักคือสม รังสี และรวมถึงกรมพระนโรดมสิริวุฒิ
พระมาตุลาที่ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเพราะยอมรับการทุจริตไม่ได้ ในขณะเดียวกัน
ความสัมพันธ์กับฮุนเซนก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ โดยที่พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหนุ
พระบิดาในฐานะพระมหากษัตริย์ กลับไม่ทรงช่วยเหลือใดๆ ในทางการเมือง
กรมพระนโรดมรณฤทธิ์เคยทรงเปรยว่า
ระหว่างพระองค์กับพระบิดา ไม่เคยมีความรักฉันพ่อลูกด้วยกันเลย
มีแต่งานของประเทศเท่านั้นที่จะทรงวิสาสะด้วยกันได้
ในปี
1997 ฮุนเซนก่อรัฐประหารอ้างความสัมพันธ์กับเขมรแดงของพรรคฟุนซินเปก
และการคอร์รัปชัน แต่เบื้องหลังหนึ่งคือ
การที่กรมพระรณฤทธิ์สั่งยกเลิกสัมปทานสนามกอล์ฟของรํฐมนตรีในปีกของฮุนเซนที่ขายให้แก่นักธุรกิจมาเลย์
กรมพระรณฤทธิ์ต้องลี้ภัยไปฝรั่งเศส เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ในปี 1998
พรรคชาติประชาชนของฮุนเซนก็ได้ชัยชนะเด็ดขาด และปกครองประเทศมายาวนานจนถึงปัจจุบัน
แต่ละครชีวิตของเจ้ารณฤทธิ์ยังไม่จบสิ้น
พระองค์กลับมาได้รับเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาในปี 1998
ได้ขึ้นเป็นประธานองคมนตรี
และเป็นหนึ่งในคณะผู้คัดสรรผู้สืบราชบัลลังก์เมื่อพระบาทสมเด็จฯ
นโรดมสีหนุสละราชสมบัติ
พระองค์เคยเป็นหนึ่งในตัวเลือกของการสืบราชสันตติวงศ์
แต่ทรงเลือกอาชีพทางการเมืองมากกว่า
และทรงมองว่าพระนิสัยที่พูดจาตรงไปตรงมาขวานผ่าซากไม่เหมาะกับการเป็นกษัตริย์
จึงประกาศสละสิทธิ์การเป็นรัชทายาท
แม้ว่าเจ้าสีหนุจะมองว่าพระองค์จะเป็นกษัตริย์ที่ดี และแนะนำให้เจ้าสีหนุพิจารณาพระอนุชาต่างมารดา
คือนโรดมสีหมุนีเป็นผู้สืบตำแหน่ง แม้ว่าพระบิดาจะทรงมองว่าอ่อนแอไป
และเจ้าสีหมุนีเองก็ไม่อยากรับขัตติยราชภาระก็ตาม
หลังปี
2006 สมเด็จกรมพระนโรดมรณฤทธิ์ประสบมรสุมในชีวิตอีกครั้ง
พระองค์ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินของพรรค และคบชู้
ซึ่งกฎหมายใหม่ของกัมพูชาขณะนั้นถือเป็นความผิดอาญา
หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ในสังกัดฮุนเซนตีข่าวซุบซิบเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย
ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นความจริงที่พระองค์ทรงคบหากับโอค ปัลลา
นางรำอัปสราคนงามระหว่างที่ยังไม่ทรงหย่าขาดจากพระชายาเอ็ง มารี
พระองค์ต้องโทษจำคุก 18 เดือน และทรงลี้ภัยไปยังมาเลเซีย
ก่อนที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษแลกกับการยอมรับผลการเลือกตั้งและรัฐบาลฮุนเซนในปี
2008
ระหว่างปี
2008-2015 เจ้ารณฤทธิ์สนับสนุนรัฐบาลฮุนเซน และประกาศเกษียณจากการเมืองหลายครั้ง
แต่ในที่สุด ก็กลับมารับตำแหน่งประธานพรรคฟุนซินเปก
และเมื่อพรรคสงเคราะห์ชาติของสมรังสีถูกยุบในปี 2017 พรรคฟุนซินเปก ก็ได้รับเอา
ส.ส. เดิมของพรรคสงเคราะห์ชาติมาอยู่ร่วม 41
คนจนกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุด
รวมถึงกลายเป็นเสียงที่กล่าววิจารณ์ต่อต้านฮุนเซนที่เข้มแข็ง
เนื่องจากฮุนเซนไม่สามารถใช้ข้อหายอดฮิตอย่างปลุกปั่นยุยง
หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาเล่นงานได้ง่ายๆ
ก่อนที่การเลือกตั้งทั่วไปของเขมรจะเกิดขึ้นในวันที่ 29
กรกฎาคม ก็มาเกิดอุบัติเหตุรุนแรงกับพระองค์เสียก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น