ผู้มิเห็นสัจธรรมย่อมลำพอง : กลอนหก
๏ ความหนาวเย็น
ยังเป็นสิ่ง ไม่จริงจัง....................เมฆหม่นบัง พรางฟ้า นภาไสว
อากาศเรื่ม
อบอ้าว ราวกลับใจ.............................เหลืออาลัย สายฝน ปรนพสุธา
๏ แต่ต้นข้าว
ชาวนา คอยท่าเกี่ยว.........................รวงเริ่มเหี่ยว เสียวไส้ ให้ผวา
(หาก)เมล็กข้าว
เปียกฝน ดลราคา........................และชีวา(ชาวนา) ตกต่ำ ระกำกรอม
๏ อันความสุข-ทุกข์แล้
ไร้แท้เที่ยง........................เสมือนเพียง ประสบการณ์ ผ่านรายล้อม
กฎแห่งกรรม
นำพา ไร้ประนอม............................แม้ไม่ยอม ก็ไม่อาจ ตัดสัมพันธ์
๏ ยาฆ่าหญ้า
ฆ่าแมลง แสวงหา............................ฉีดใส่นา สะสมไว้ ภัยมหันต์
(ชาวนา)ยังจับปลา
มากิน ชินชีวัน........................ไม่คิดว่า จะประจัญ ภยันตราย
๏ คือความจริง
(ที่)คนส่วนใหญ่ ใช้ชีวิต..................โดยไม่คิด พิจารณา สัจจาขวาย
อยากทำตาม
ใจตน ทุรนทุราย.............................(ก่อ)ปัญหาหมุน วุ่นวาย มิไคลคลา
๏ ปฏิสัมพันธ์
อันใด ในสังคม................................มักนิยม เอาเปรียบกัน
กระสันหา
เบียดเบียนผู้ อื่นได้ กำไรว่า.................................มิประสา กฎแห่งกรรม กระทำการ
เบียดเบียนผู้ อื่นได้ กำไรว่า.................................มิประสา กฎแห่งกรรม กระทำการ
๏ จิตใจคือ
ที่ตั้ง สร้างความอยาก..........................ดีแต่ปาก อยากอยู่
อย่างสุุขศานติ์
คอยก่อกรรม
ทำเข็ญ มิเว้นวาร.............................(คิดว่า)คือวิถี ปฏิภาณ สำคัญตรอง
๏ แต่ความจริง สิ่งที่ได้
มิใช่สุข.............................หากคือทุกข์ เพิ่มหนุน พูนสนอง
ผู้มิเห็น
สัจธรรม หลงลำพอง................................ว่าเดินทาง ถูกต้อง ปองใจเอยฯ
๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น