(เป็นเรื่องที่จินตนาการขึ้น)
ไฟริมถนนส่องแสงสว่าง
ท่ามกลางความมืดที่เริ่มโรยตัวลงมาปกคลุมพื้นพิภพ
จะค่ำแล้ว อาแป๊ะเดินกลับมาบ้านอีกครั้ง
เพื่อเอาสมาร์ทโฟนไปมอบให้ตำรวจ
แม้ความรู้สึกไม่ไว้วางใจจะวนเวียนอยู่ก็ตามที และคิดว่า ถึงแม้ไม่เอาไปให้
ตำรวจก็ทำอะไรตัวเองไม่ได้ ต่อให้มาค้นบ้าน ก็สามารถซ่อนไว้ให้ไม่มีทางหาเจอ
แต่ก่อนจะถึงบ้าน อาแป๊ะตัดสินใจแวะเข้าวัด
กราบไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ
เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามลำดับแล้วเสี่่่ยงเซียมซีถามหลวงพ่อว่า
"ตำรวจพวกนี้ไม่ต่างจากโจรในเครื่องแบบ
พูดจาเหมือนอยากเห็น-อยากได้สมาร์ทโฟนที่ผมเก็บรักษาไว้ ถ้ามีราคาแพง
มันคงจะยึดเอาไว้ใช้เอง ผมควรเอาสมาร์ทโฟนไปให้ตำรวจหรือไม่ครับ?"
เซียมซีได้ใบที่ ๙ มีเนื้อหาส่วนหนึ่งว่า
"...ประเดี๋ยวสุขประเดี๋ยวทุกข์ขลุกใจครอง
คอยสนองเคราะห์กรรมตามประจญ...แสวงบุญเถิดหนาอย่าอาวรณ์"
อาแป๊ะพยายามใคร่ครวญความหมายที่หลวงพ่อแนะนำ
คิดว่าพอจะเข้าใจแล้วเซียมซีอีกครั้ง
บอกหลวงพ่อว่า "งั้น
ผมจะเอาสมาร์ทโฟนไปให้ตำรวจนะครับ จะทำดีเท่าที่จะทำได้
ถ้ามันจะยักยอกเอาไว้ ก็ปล่อยไปตามกรรมใครกรรมมัน"
เซียมซีได้ใบที่ ๑๖ มีข้อความว่า
"..เลิศประเสริฐนัก..."
เรื่องของเรื่องเริ่มจากเมื่อวันลอยกระทง
ตอนเวลาล่วงบ่ายแล้ว
อาแป๊ะกำลังง่วนอยู่กับการจัดผ้าบังแดด
ไม่ให้สาดส่องโดนสินค้าที่วางอยู่หน้าร้านขายของของตัวเอง
แต่ก็ต้องวางมือเพราะมีเด็กนักเรียนหญิงแปลกหน้าวัยประถม ๒ คน
น่าจะเป็นเด็กชนบทที่เข้ามาเรียนในเมือง คนหนึ่งเอาสมาร์ทโฟนที่มีกรอบหลังสีทอง
ขนาดบาง-หน้าจอ ๕ นิ้วมายื่่นให้อาแป๊ะ พรางบอกว่า
"เก็บได้ที่ข้างร้านตรงนี้ค่ะ"
เธอคงเข้าใจว่าอาแป๊ะทำมือถือหล่นไว้
อาแป๊ะรีบคิดว่าควรทำอย่างไรดี?
ที่สำคัญคือ
ต้องทำให้เด็กศรัทธาในความซื่อสัตย์สุจริต และรักษาความดีที่มีอยู่นี้ไว้ตลอดไป
ก่อนจะบอกเด็กว่า
"ไม่ใช่ของลุงหรอกนะ
แต่ลุงจะเก็บมือถือเอาไว้ รอให้เจ้าของเขาโทรมาถามหานะจ้ะ
ถ้าไม่มีใครมาแสดงความเป็นเจ้าของ ก็จะไปแจ้งความที่โรงพักเพื่อหาเจ้าของต่อไป
ขอชื่่อและเบอร์โทรฯของคนที่เก็บมือถือด้วย จะได้แจ้งให้เจ้าของโทรไปขอบคุณ"
ว่าแล้วก็เอาสมุดฉีกและปากกามายื่นให้เด็กที่แสดงตัวว่าเป็นคนเก็บสมาร์ทโฟนได้
เด็กคนนั้นหยิบสมาร์ทโฟนราคาถูก-สีดำ
กระจกหน้าจอร้าว-มีริ้วรอยเต็มไปหมดออกมาจากกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่
แล้วเลื่อนหาเบอร์โทรฯ ก่อนจะจดเบอร์ของตัวเองลงในสมุดฉีก
ซึ่งทำให้อาแป๊ะงุนงงอยู่ไม่น้อย ว่าทำไมเบอร์โทรฯของเด็กจึงต้องบันทึกไว้ในมือถือของเด็กเอง
หรือเด็กจำเบอร์ของตัวเองไม่ได้? แต่ไม่คิดจะซักไซ้เด็ก
แล้วอาแป๊ะก็เดินเข้าไปในบ้าน
หยิบแก้วน้ำเซรามิกในกล่องกระดาษแข็งที่เตรียมไว้สมนาคุณลูกค้า
มามอบให้เด็กเป็นของกำนัล พรางบอกว่า
"นี่เป็นรางวัลสำหรับคนดี
เผื่อบางทีเจ้าของมารับโทรศัพท์แล้วไม่โทรมาขอบคุณ
คืบหน้ายังไงลุงจะติดต่อหนูมาตามเบอร์นี้นะจ้ะ"
เด็กรับแก้วน้ำใส่กระเป๋าเป้นักเรียน
แล้วเดินจากไปพร้อมๆกัน
ผ่านไป ๒๔
ชั่วโมง
บ่ายของวันถัดมาก็ยังไม่มีเสียงโทรดังมาจากสมาร์ทโฟนเครื่องนั้น
อาแป๊ะคิดแปลกใจที่เจ้าของไม่ติดตามหาโทรศัพท์ของตัวเอง
จึงใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาคำว่า "เก็บของได้-กฎหมาย" ก็ได้ความรู้ว่า
คนเก็บของได้
มีสิทธิ์เรียกค่าบำเหน็จจากเจ้าของ ๑๐ % ของราคาของที่่เก็บได้ ถ้าครบ ๑ ปียังไม่มีใครแสดงความเป็นเจ้าของ
กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของคนเก็บได้
แล้วยังมีคนแสดงความเห็นเรื่องแจ้งความกับตำรวจ
ถ้าตำรวจอยากได้ของที่ฝากไว้
ก็จะให้พรรคพวกตัวเองมาแอบอ้างเป็นเจ้าของเพื่อรับไปแทน
อาแป๊ะลองเปิดสมาร์ทโฟนเครื่องนั้นดู
เผื่อจะพบเบอร์โทรที่ใช้ติดต่อเจ้าของได้ แต่มือถือใส่รหัส PIN ไว้เปิดไม่ได้
จึงค้นอินเทอร์เน็ตหาคำว่า "วิธีปลดล็อคมือถือ" พบเพียงของยี่ห้อดังๆ
จึงหันไปค้นหาเพจ Facebook ยี่ห้อสมาร์ทโฟนเครื่องนั้น
แล้วส่งข้อความไปถามแอดมิน เล่าให้ฟังเรื่องเก็บมือถือได้ฯลฯ
การสนทนาจบลงที่ต้องไปแจ้งความ
แต่อาแป๊ะคิดว่า ถ้าเอาสมาร์ทโฟนไปให้ตำรวจ
เกิดเขาอยากได้ก็จะยักยอกเอาไว้เอง เพราะฉะนั้นควรไปลงบันทึกประจำวันไว้ก็พอ
ไม่ต้องเอามือถือไปมอบให้ตำรวจ รอให้เจ้าของมาติดต่อรับที่ร้านอาแป๊ะเอง ถ้าครบ ๑
ปียังไม่มีใครมาแสดงตัว ก็จะมอบมือถือให้เด็กที่เก็บได้ไปครอบครองกรรมสิทธิ์
ทั้งอาแป๊ะและเด็กจะปลอดภัยจากข้อหาลัก/ยักยอกทรัพย์
เย็นวันนั้น
หลังจากไปให้อาหารแมวในวัด
อาแป๊ะก็เดินไปโรงพักซึ่งห่างจากบ้านประมาณ ๑ กม. ถึงหน้าทางเข้าโรงพัก
ความรู้สึกอึดอัดก็ประทุขึ้นในใจ
เพราะเคยรับรู้ภาพลักษณ์ด้านลบขององค์นี้มาอย่างยาวนาน
เดินขึ้นโรงพัก ยกมือไหว้ตำรวจเวร 2-3
คนที่มองอาแป๊ะด้วยสายตาขมึงทึง-ไม่ไหว้ตอบ
แต่ถามด้วยน้ำเสียงแสดงอำนาจบาตรใหญ่ว่า "มีอะไร?"
อาแป๊ะเดินไปนั่งเก้าอี้หน้าเคาเตอร์แล้วบอกตำรวจว่า
"ผมมาขอลงบันทึกประจำวัน
เรื่องมีเด็กเก็บโทรศัพท์สมาร์ทโฟนได้ที่ข้างบ้านของผม
แล้วเอามามอบให้ผมครับ"
ตำรวจทั้ง ๓ คนแสดงอาการสนใจทันที
คนที่มียศพันตำรวจโท ถามว่า "ไหนละมือถือ?"
อาแป๊ะตอบว่า
อาแป๊ะตอบว่า
"ผมเก็บไว้ที่บ้านครับ ผ่านมา ๓๐
ชั่วโมงแล้วยังไม่มีใครโทรเข้าเลย ผมจึงอยากมาแจ้งความไว้
เพื่อป้องกันเจ้าของกล่าวหาว่าผมขโมยมือถือของเขา"
ยังไม่ทันที่อาแป๊ะจะบอกว่า
ถ้ามีใครมาแสดงความเป็นเจ้าก็ให้ไปรับได้ที่บ้าน
ตำรวจอีกคนซึ่งมียศร้อยตำรวจเอกก็พูดขึ้นมาว่า
"เก็บของได้ข้างบ้านก็ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของเรานะ
แล้วยังเก็บมือถือเอาไว้อีก มันไม่พ้นความผิดหรอก ต้องเอามามอบให้ตำรวจ"
อาแป๊ะบอกว่า"ผมเก็บไว้เพื่อรอให้เจ้าของมารับที่บ้านผม
ถ้าไม่มีใครมาแสดงความเป็นเจ้าของผมก็จะมอบให้เด็กต่อไป"
ตำรวจช่วยกันบอกว่า "ไม่ได้หรอก
เราไม่มีสิทธิ์เอามือถือไปมอบให้ใคร ต้องเอามามอบให้ตำรวจ"
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของตำรวจทั้ง ๓ คน แสดงออกถึงความอยากเห็นสมาร์ทโฟน
เดาออกว่า
ถ้าเป็นของแพง "กูจะอมไว้เอง"
ตำรวจยศร้อยตำรวจโทที่มีท่าทางขึงขังน้อยกว่าเพื่อน กล่าวเสริมว่า
"เจ้าหน้าที่จะเก็บไว้ 1 เดือน
ถ้าไม่มีใครมาแสดงความเป็นเจ้าของ ก็ให้เด็กที่เก็บได้มารับคืน เด็กอยู่ที่ไหนละ?"
อาแป๊ะอธิบายว่า
"ผมไม่รู้จักเด็กที่เก็บได้และไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
แต่ผมจะมารับไปคืนให้เด็ก เพื่อทำให้เด็กรู้ว่าผู้ใหญ่เชื่อถือได้-ไม่เอาเปรียบเด็ก"
ตำรวจยศพันตำรวจโทพูดขึงขังว่า
ตำรวจยศพันตำรวจโทพูดขึงขังว่า
"ไม่ได้ ต้องให้เด็กมารับเอง"
อาแป๊ะทักท้วงว่า
"แต่ผมเป็นคนมาแจ้งความนะครับ แล้วจะเป็นคนที่นำมือถือมามอบให้ด้วย"
ตำรวจพูดว่าไม่ได้และอะไรอีกหลายคำ
ซึ่งไม่รู้ว่าคนไหนพูด-ฟังไม่ทัน-จำไม่ได้ เพราะช่วยกันพูดไปในทางเดียวกัน
เพื่อตัดความรำคาญ อาแป๊ะจึงบอกตำรวจไปว่า
"เดี๋ยวผมจะกลับไปบ้านเอามาให้"
ก่อนจะเดินออกจากโรงพักไป
หลังจากเข้าวัด-ไหว้พระเสร็จ
อาแป๊ะก็กลับบ้าน
เอาสมาร์ทโฟนมามอบให้ตำรวจที่ต่างสนใจจับตามองสมาร์ทโฟนเป็นพิเศษ
คนแรกคว้าไปพลิกดูยี่ห้อ
เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ยี่ห้อดังก็วางไว้
อีกคนจับมาถือ-พยายามเปิดอยู่นาน แต่ติดที่เดารหัส PIN ไม่ได้ก็วางไว้อีก
คนสุดท้ายยศสิบตำรวจตรีลองพยายามเปิด
เมื่อเปิดไม่ได้ก็ถือเดินไปที่มุมห้อง หาอะไรมางัดเอาซิมการ์ดออกมา
จนถาดที่ใส่ซิมการ์ดกระเด็นตกลงบนพื้นพร้อมซิมการ์ด
จะใส่เข้าคืนก็วางไม่ถูกตำแหน่ง-ใส่ไม่เข้า จนอาแป๊ะต้องแนะนำว่า
สงสัยจะใส่ผิดช่อง เพราะใส่ได้ ๒ ซิม
ขณะที่ดูตำรวจเอาซิมการ์ดเข้าที่คืน อาแปีะก็คิดในใจว่า
ขณะที่ดูตำรวจเอาซิมการ์ดเข้าที่คืน อาแปีะก็คิดในใจว่า
"ไม่เข้าท่าละ
จะไม่ยุ่งกับมือถือเครื่องนี้อีก เดี๋ยวจะซวยไปด้วย"
เมื่อเปิดสมาร์ทโฟนไม่สำเร็จ
สักพัก
ตำรวจยศพันตำรวจโทก็ออกคำสั่งให้ลงบันทึกประจำวันให้อาแป๊ะ
หลังจากทำตามขั้นตอน-ก่อนจะปริ้นลงกระดาษ
อาแป๊ะขอให้ตำรวจอ่านให้ฟัง และขอให้เพิ่มข้อความว่า
"ถ้าเจ้าของไม่มาติดต่อขอรับคืนภายใน ๑ เดือน ผู้แจ้งจะรับกลับไปมอบให้เด็กที่เก็บได้" แต่ตำรวจพิมพ์ว่า
"...ผู้แจ้งจะมาประสานการปฏิบัติต่อไป" เสร็จแล้วก็พูดกับอาแป๊ะพร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ว่า
"ดีแล้วที่เอามาให้ตำรวจ เดี๋ยวจะดูแลให้"
"กูจะได้มือถือคืนไม๊เนี่ย?" อาแป๊ะถามตัวเองในใจ ด้วยความระแวงรอยยิ้มแบบนั้น
"ดีแล้วที่เอามาให้ตำรวจ เดี๋ยวจะดูแลให้"
"กูจะได้มือถือคืนไม๊เนี่ย?" อาแป๊ะถามตัวเองในใจ ด้วยความระแวงรอยยิ้มแบบนั้น
เมื่อได้อ่านเองอีกครั้ง
อาแป๊ะก็เซ็นชื่อและรับเอกสารบันทึกประจำวันเดินออกจากโรงพัก
โดยไม่ลืมที่จะโทรไปบอกเด็กที่เก็บสมาร์ทโฟนได้
ถึงเรื่องแจ้งความ-ตำรวจยึดมือถือไว้ และรอดูผลอีก ๑ เดือน
เหตุการณ์คืบหน้าอย่างไร
ผู้เขียนจะกลับมาเขียนเพิ่มเติมต่อไปภายหลังฯ
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
๓๐ วัน ผ่านไว ปลายธันวาฯ
เย็นวันนั้น หลังจากให้อาหารแมวที่วัด อาแป๊ะก็เดินไปสถานีตำรวจ แต่ตำรวจที่เข้าเวรบอกว่า สารวัตรเจ้าของเรื่องไม่มาทำงานในวันนี้ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่
๓๐ วัน ผ่านไว ปลายธันวาฯ
อาแป๊ะวางแผนการปฏิบัติเพื่อติดต่อขอรับสมาร์ทโฟนคืนจากตำรวจ
ถ้าตำรวจยืนยันจะให้เด็กมารับเอง ก็จะขอให้ตำรวจทำหนังสือมอบฉันทะจากอาแป๊ะ
ให้ผู้ปกครองพาเด็กมารับ
เย็นวันนั้น หลังจากให้อาหารแมวที่วัด อาแป๊ะก็เดินไปสถานีตำรวจ แต่ตำรวจที่เข้าเวรบอกว่า สารวัตรเจ้าของเรื่องไม่มาทำงานในวันนี้ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่
อาแป๊ะเดินกลับบ้าน พรางครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ถ้าไปแล้วตำรวจไม่อยู่แบบนี้เรื่อยๆ เสียเวลาวันละ ๑ ชั่วโมงคงไม่ดีแน่ เข้าทำนอง"เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ"
อย่ากระนั้นเลย ถ้าไปติดต่ออีกที
ตำรวจเจ้าของเรื่องไม่อยู่อีกก็จะขอให้ออกหนังสือมอบฉันทะ
ให้ผู้ปกครองพาเด็กมารับเองเลยดีกว่า จะได้หมดภาระเสียที
เย็นวันรุ่งขึ้นก็เป็นดั่งคาด
ตำรวจเจ้าของเรื่องไม่มาเข้าเวร อาแป๊ะจึงขอให้ตำรวจเสมียนทำหนังสือมอบฉันทะ
แล้วโทรแจ้งเด็ก แต่เสียงเด็กที่รับสายไม่เหมือนเดิม เป็นเสียงเด็กที่กำลังเป็นสาว
อาแป๊ะจึงถามย้ำว่าใช่เด็กที่เก็บมือถือหรือเปล่า? เธอก็ตอบว่าใช่
"ช่างมัน" อาแป๊ะบอกตัวเอง-เล่ารายละเอียดให้ฟัง ผู้ปกครองเด็กขอพูดด้วย แสดงความกังวลว่าจะโดนตำรวจยัดข้อหาลักทรัพย์
อาแป๊ะจึงถามย้ำว่าใช่เด็กที่เก็บมือถือหรือเปล่า? เธอก็ตอบว่าใช่
"ช่างมัน" อาแป๊ะบอกตัวเอง-เล่ารายละเอียดให้ฟัง ผู้ปกครองเด็กขอพูดด้วย แสดงความกังวลว่าจะโดนตำรวจยัดข้อหาลักทรัพย์
อาแป๊ะชี้แจงว่า
ได้ทำตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง โทรศัพท์ของเด็กที่ใช้อยู่
สภาพก็เก่าใกล้พังแล้ว เมื่อมีสิทธิ์ก็สมควรได้รับโทรศัพท์ที่เก็บได้ไปใช้แทน
พรุ่งนี้ให้มารับหนังสือที่ตำรวจออกให้กับอาแป๊ะ แล้วไปติดต่อขอรับโทรศัพท์ได้เลย
บ่ายวันต่อมา
เด็กก็พาพ่อมาหาอาแป๊ะที่ร้าน
ทันทีที่เห็นหน้า อาแป๊ะก็คิดว่า ไม่น่าจะใช่เด็กคนเดียวกัน เด็กคนนั้นอายุประมาณ ๑๒-๑๓ ปี ตัวผอม-ผิวดำ กิริยาค่อนข้างไร้เดียงสา แต่เด็กคนนี้อายุประมาณ ๑๖-๑๗ ผิวขาวกว่า กำลังเป็นสาว-ความไร้เดียงสาไม่ปรากฏ แต่ลักษณะเส้นผม-เค้าโครงหน้าเหมือนกัน คงเป็นพี่น้องกัน
อาแป๊ะใคร่ครวญ แล้วถามเด็กว่า
"หนูอายุเท่าไหร่?" เด็กตอบว่า "หนูอายุ ๑๒ คะ"
"เอามือถือมาหรือเปล่า?" อาแป๊ะคิดว่ามีมือถือยืนยันเพิ่มเติมคงจะดี
"มันพังแล้วคะ" เด็กตอบ
"ดูยังไงก็ไม่ใช่ ๑๒ เอาเถอะ ยังไงก็เป็นเด็กที่ติดต่อผ่านเบอร์มือถือที่เด็กจดให้ น่าจะได้รับมอบสิทธิ์มา เราไม่มีทางเลือก" อาแป๊ะคิด
ทันทีที่เห็นหน้า อาแป๊ะก็คิดว่า ไม่น่าจะใช่เด็กคนเดียวกัน เด็กคนนั้นอายุประมาณ ๑๒-๑๓ ปี ตัวผอม-ผิวดำ กิริยาค่อนข้างไร้เดียงสา แต่เด็กคนนี้อายุประมาณ ๑๖-๑๗ ผิวขาวกว่า กำลังเป็นสาว-ความไร้เดียงสาไม่ปรากฏ แต่ลักษณะเส้นผม-เค้าโครงหน้าเหมือนกัน คงเป็นพี่น้องกัน
อาแป๊ะใคร่ครวญ แล้วถามเด็กว่า
"หนูอายุเท่าไหร่?" เด็กตอบว่า "หนูอายุ ๑๒ คะ"
"เอามือถือมาหรือเปล่า?" อาแป๊ะคิดว่ามีมือถือยืนยันเพิ่มเติมคงจะดี
"มันพังแล้วคะ" เด็กตอบ
"ดูยังไงก็ไม่ใช่ ๑๒ เอาเถอะ ยังไงก็เป็นเด็กที่ติดต่อผ่านเบอร์มือถือที่เด็กจดให้ น่าจะได้รับมอบสิทธิ์มา เราไม่มีทางเลือก" อาแป๊ะคิด
แล้วจึงอธิบายวิธีปฏิบัติเมื่อไปโรงพักแล้ว อาแป๊ะก็ย้ำกับพ่อเด็กว่า
ไม่ต้องกลัวเรื่องข้อหาลักทรัพย์ อาแป๊ะทำให้เรียบร้อย-ถูกต้องตามกฎหมาย
ถ้าตำรวจจะไม่คืนสมาร์ทโฟนให้ ก็ขอให้ตำรวจทำหนังสือนัดหมายใหม่ว่าจะให้มารับเมื่อไร ถ้าได้รับวันนี้ ก็ขอให้ตำรวจออกหนังสือยืนยันว่าเด็กเก็บได้และเจ้าของไม่มารับคืนฯลฯ ก่อนจะให้กำลังใจทั้งสองคนที่ไหว้ขอบคุณแล้วจากไป
เย็นวันนั้นขณะกำลังเก็บร้าน อาแป๊ะอดสงสัยไม่ได้
"แค่ ๑ เดือน วัยรุ่นจะโตเร็วขนาดนี้เลยหรือ? แล้วเด็กคนนั้นไปไหน? โทรศัพท์พังแล้วจริงหรือ? เราทำพลาดหรือเปล่า? โดนเด็กหลอกหรือไม่?" จึงลองโทรไปเบอร์เด็กอีกครั้ง มีคนรับสาย
"อ้าว มือถือไม่พังนี่หว่า" อาแป๊ะเริ่มแน่ใจ
เสียงที่รับสายเป็นเด็กสาววันนี้ ไม่ใช่เสียงไร้เดียงสาของเด็กวันนั้น
อาแป๊ะซักถามว่า "หนูเป็นเด็กที่เก็บมือถือจริงหรือ?" เด็กตอบว่า"ใช่คะ"
"หนูอายุเท่าไหร่์"
เสียงตอบว่า"๑๓ ปีคะ"
"ตอนบ่ายบอก ๑๒" อาแป๊ะคิด
"หนูไม่น่าจะใม่น่าจะใช่คนเดียวกันกับเด็กวันนีั้นนะ" อาแป๊ะย้ำกับเด็ก
เด็กยืนยันว่า "คนเดียวกันคะ" พรางหัวเราะ
"ช่างมัน กรรมใครกรรมมัน" อาแป๊ะสรุปในใจ แล้วถามว่าตำรวจให้มือถือหรือเปล่า? เด็กบอกว่าได้รับแล้ว
เย็นวันนั้นขณะกำลังเก็บร้าน อาแป๊ะอดสงสัยไม่ได้
"แค่ ๑ เดือน วัยรุ่นจะโตเร็วขนาดนี้เลยหรือ? แล้วเด็กคนนั้นไปไหน? โทรศัพท์พังแล้วจริงหรือ? เราทำพลาดหรือเปล่า? โดนเด็กหลอกหรือไม่?" จึงลองโทรไปเบอร์เด็กอีกครั้ง มีคนรับสาย
"อ้าว มือถือไม่พังนี่หว่า" อาแป๊ะเริ่มแน่ใจ
เสียงที่รับสายเป็นเด็กสาววันนี้ ไม่ใช่เสียงไร้เดียงสาของเด็กวันนั้น
อาแป๊ะซักถามว่า "หนูเป็นเด็กที่เก็บมือถือจริงหรือ?" เด็กตอบว่า"ใช่คะ"
"หนูอายุเท่าไหร่์"
เสียงตอบว่า"๑๓ ปีคะ"
"ตอนบ่ายบอก ๑๒" อาแป๊ะคิด
"หนูไม่น่าจะใม่น่าจะใช่คนเดียวกันกับเด็กวันนีั้นนะ" อาแป๊ะย้ำกับเด็ก
เด็กยืนยันว่า "คนเดียวกันคะ" พรางหัวเราะ
"ช่างมัน กรรมใครกรรมมัน" อาแป๊ะสรุปในใจ แล้วถามว่าตำรวจให้มือถือหรือเปล่า? เด็กบอกว่าได้รับแล้ว
"โอเค หมดภาระเสียที" คิดพราง อาแป๊ะถอนหายใจอย่างโล่งอก บอกลาเด็กแล้วทบทวนบทเรียนว่า
คราวหลังมีอะไรทำนองนี้อีก ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ให้ครบ ทั้งคนทั้งวัตถุพยาน
คราวนี้เพิ่งเป็นครั้งแรก ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะซับซ้อนยุ่งเหยิงขนาดนี้ จึงทำอะไรขาดตกบกพร่องไปมาก คนเรา เชื่อใจได้ยากจริงๆฯ
คราวหลังมีอะไรทำนองนี้อีก ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ให้ครบ ทั้งคนทั้งวัตถุพยาน
คราวนี้เพิ่งเป็นครั้งแรก ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะซับซ้อนยุ่งเหยิงขนาดนี้ จึงทำอะไรขาดตกบกพร่องไปมาก คนเรา เชื่อใจได้ยากจริงๆฯ
๒๕
ธันวาคม ๒๕๖๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น