ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

วัฏสงสารเป็นรากฐานของความทุกข์ : กาพย์ยานี๑๑


วัฏสงสารเป็นรากฐานของความทุกข์ : กาพย์ยานี๑๑

    กิน-นอน ลดทอนไม่................................ทุกวันใคร่ คู่กายขันธ์

อดอยาก(อดนอน) ลำบากพลัน...............ดั่งทัณฑ์โทษ สลดชีวา


    (ตั้งแต่)เส้นผม จรดปลายเท้า...................คือมูลเค้า ของโรคคร่า(คร่า=ฉุดลากอย่างรุนแรง)

(ร่างกาย)สังขาร สร้างปัญหา..................สาเหตุให้ ได้ทุกข์ตรม


    ก่อกรรม-รับกรรมกาจ...............................ต้องมิขาด สังขารสม(กาจ=ว. ร้าย, กล้า, เก่ง)

ชั่ว-ดี ชี้เงื่อนปม(ผล).............................(อาศัย)สังขารก้ม หน้ารับกรรม

 

    (เพราะฉะนั้น)ตราบที่ มีสังขาร...................ทุกข์ทรมาน (ต้อง)พานกรายกล้ำ(ไม่สิ้นสุด)

เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ตรำ...........................ตามวัฏฏะ สงสารตรึง


    นักปราชญ์ อดีตกาล................................ทะเยอทะยาน หมั่นคิดถึง

สงสาร ลาญรำพึง.................................คะนึงหา มรรคามี


    เพื่อให้ ได้พ้นทุกข์..................................(จะ)ต้องไม่ขลุก โลกวิถี

(อยากจะ)พ้นโลก (ต้อง)พ้นโลกีย์...........(ต้อง)พ้นกิเลส ตัณหาทวย

 

    คือคติ พุทธธรรม.....................................ที่ต้องนำ ไปทำด้วย

(เพื่อ)หยุดเกิด-แก่-เจ็บป่วย....................-ตาย;ช่วยพ้น สงสารวัฏ


    วิถี อริยมรรค...........................................(เป็น)วิถีหลัก ปฏิบัติ

วงจร (การมี)สังขารตัด(ขาด)..................ชะงัดดี นิรันดร(สิ้นทุกข์อย่างแท้จริง)


๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
๔. จตุตถนิพพานปฏิสังยุตตสูตร
ว่าด้วยธรรมที่เกี่ยวกับนิพพาน สูตรที่ ๔
[๗๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ- บิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลาย เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจ ให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถาว่าด้วยเรื่องนิพพาน ฝ่ายภิกษุเหล่านั้นก็ทำให้มั่น มนสิการ แล้วน้อมนึกธรรมีกถาทั้งปวงด้วยจิต เงี่ยโสตลงฟังธรรม ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
พุทธอุทาน
ความหวั่นไหวย่อมมีแก่บุคคลผู้ถูกตัณหาและทิฏฐิอาศัย ความหวั่นไหวย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิอาศัย เมื่อความหวั่นไหว(จิต)ไม่มี ก็ย่อมมีปัสสัทธิ๑- เมื่อมีปัสสัทธิ ก็ย่อมไม่มีตัณหา เมื่อไม่มีตัณหา ก็ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่มีการจุติและการอุบัติ เมื่อไม่มีการจุติและการอุบัติ ก็ไม่มีโลกนี้ โลกอื่น และระหว่างโลกทั้งสอง นี้คือที่สุดแห่งทุกข์.
ความพ้นทุกข์แบบพุทธศาสนา จึงไม่ใช่การพ้นทุกข์แบบจิตวิทยา
แต่เป็นการหยุดเวียนว่ายตายเกิด สิ้นสุดวัฏสงสาร.(ผู้เขียน)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น