ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เวลาเป็น"ทุนชีวิต" : กลอนคติเตือนใจ




เวลาเป็น"ทุนชีวิต" : กลอนคติเตือนใจ

    เวลา หล่อเลี้ยง ชีวิตใหม่.........................(ให้)เติบใหญ่ ในโลก ที่แปรผัน
รู้-เห็น เป็น(ใน)สิ่ง ปัจจุบัน........................เท่าทัน อดีต ตรึงติดตา

    ขณะ เดียวกัน (เวลาก็)บันดาลให้...............ชีวิต ผู้ใหญ่(คนแก่) ค่อย(ๆ)ไร้ค่า
ความเสื่อม (ของ)สังขาร  คลานคืบมา..........มอบความ แก่ชรา ถา(โถม)คุกคาม

    เวลา ที่เคย ช่วยหล่อเลี้ยง.........................กลับเยี่ยง (สิ่ง)กลืนกิน ชีวินหลาม
ลดอา ยุขัย น้อย(ลง)ไปตาม.......................นิยาม ชีวิต อนิจจัง

    อย่าปล่อย เวลา ให้สูญเปล่า......................อย่ามัว กลัว-เขลา เฝ้าแต่หวัง(ลมๆแล้งๆ)
บ่คิด ทำอะไร ให้จริงจัง..............................เสมือนดั่ง ดวงใจ ไร้เวลา

    เวลา เป็นทุน ของชีวิต..............................อย่าคิด เหลวไหล ปานไร้ค่า
ผู้เปี่ยม สติ และปัญญา...............................ย่อม(รู้จัก)ใช้ เวลา สู่(ความ)เจริญ

    ผู้ที่ (ทำตัว)เหลวไหล ใคร่ประมาท..............นักปราชญ์ ทั้งหลาย ไป่สรรเสริญ
แม้ยัง เยาว์วัย ใฝ่เพลิดเพลิน........................(ต่อไป)จะเผชิญ ความชรา มาสักวัน(อย่างแน่นอน)

    (ซึ่งจะเป็น)เวลา ที่ใคร ก็ไม่ต่าง(กัน)............(ต้อง)ละวาง ความใคร่ ความใฝ่ฝัน
ใส่ใจ ในสุขภาพ ที่นับวัน..............................หดสั้น ปั้นแต่ง แข่งเวลา

    หากแต่ ห้วงสุดท้าย ในที่สุด.......................บ่มี ใครหยุด(เวลา) ได้หรอกหนา
ณ ปลาย วงกต หมดเวลา.............................ชีวา ย่อม(จบ)สิ้น อจินไตยฯ

๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๘

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
คาถาธรรมบท อัปปมาทวรรคที่ ๒

[๑๒] ความไม่ประมาท เป็นทางเครื่องถึงอมตนิพพาน ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย ชนผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย ชน เหล่าใดประมาทแล้วย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้ว บัณฑิต ทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทราบเหตุนั่นโดยความ แปลกกันแล้ว ย่อมบันเทิงในความไม่ประมาท ยินดีแล้ว ในธรรมอันเป็นโคจรของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านเหล่านั้น เป็นนักปราชญ์ เพ่งพินิจ มีความเพียรเป็นไปติดต่อ มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ ย่อมถูกต้องนิพพานอันเกษมจาก โยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ยศย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มี ความหมั่น มีสติ มีการงานอันสะอาด ผู้ใคร่ครวญแล้วจึงทำ ผู้สำรวมระวัง ผู้เป็นอยู่โดยธรรม และผู้ไม่ประมาท ผู้มี ปัญญาพึงทำที่พึ่งที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้ ด้วยความหมั่น ความไม่ประมาท ความสำรวมระวัง และความฝึกตน ชน ทั้งหลายผู้เป็นพาลมีปัญญาทราม ย่อมประกอบตามความ ประมาท ส่วนนักปราชญ์ย่อมรักษาความไม่ประมาท เหมือน ทรัพย์อันประเสริฐสุด ...........

แก๊งค์ Scammer ย้ายฐานจากเขมรเข้าไทย! สื่อเกาหลีใต้แฉ Suthichai Live 21...

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568

อย่าเกลียดความทุกข์ อย่ารักความสุขสบาย : กลอนคติเตือนใจ



อย่าเกลียดความทุกข์ อย่ารักความสุขสบาย : กลอนคติเตือนใจ

    กล้าไม้ ในพนา กว่าจะโต.........................กว่าจะโง ต้นเด่น เป็นพฤกษา
ต้องสู้ โรค-แมลง แกร่งกายา....................แสวงหา อาหาร ดาลชีวี

    บรรดา สารพัด สัตว์น้อยใหญ่....................ต่อให้ (มี)คนเลี้ยง ยากเลี่ยงลี้
โรค-ภัย หลายหลาก พรากอินทรีย์.............บ่มี ผู้รอด ตลอดไป

    คนเรา เกิดมา หาแตกต่าง........................เหินห่าง โรค-ภยา ก็หาไม่
(ต้อง)ทำมา หากิน จวบสิ้นใจ....................ผจญภัย ไปตลอด ทอดอุรา

    ความทุกข์ ความยาก ความลำบาก..............มิพราก จาก(เรา)ไป ไกลหรอกหนา 
อยู่คู่ ชีวี ตราบมี(ชีวิตบนโลก)มา................(และจะมี)อยู่คู่ โลกา ตลอดกาล

    (ความทุกข์)ควรเห็น เป็นเรื่อง ธรรมดา.........เลิกไป ไขว่คว้า ปาฏิหาริย์
ปรารถนา ปราศทุกข์ เป็นสุขพาน(อย่างเดียว)....จะทำ (ให้)รำคาญ มิชาญชัย

    ความทุกข์ (คือจุด)กำเนิด พุทธศาสน์...........หากปราศ(จากทุกข์) พุทธะ สิหาไม่
มรรคผล นิพพาน อันอำไพ.........................มีได้ เมื่อ(มีความ)ทุกข์ มาผูกพัน

    (จง)ถือความ ทุกข์ยาก ลำบากเป็น-..............เครื่องเค้น ความเพียร เพื่อเปลี่ยนผัน
แก้ไข ให้พ้น(ทุกข์) ดลชีวัน........................ก้าวข้าม ความคับขัน ภยันตราย

    จงสร้าง "ฉันทะ วิริยะ.................................จิตตะ วิมังสา" หาจุดหมาย
อย่าเกลียด(กลัว) ทุกข์ยาก ลำบากกาย.........(อย่า)อยากสุข อยากสบาย ไม่พากเพียรฯ
(อุตสาหะพยายามสร้างความเจริญก้าวหน้า)    (งอมืองอเท้า เกียจคร้าน ไม่อดทนอดกลั้น)

๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๘

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๘. มหาลิสูตร
ว่าด้วยเหตุปัจจัยแห่งความบริสุทธิ์
             ม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหตุปัจจัยเพื่อความเศร้าหมองของสัตว์เป็นไฉน? สัตว์
ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย ย่อมเศร้าหมองอย่างไร?
             พ. ดูกรมหาลิ ก็หากรูปนี้ จะเป็นทุกข์ถ่ายเดียว รังแต่ทุกข์ตามสนอง หยั่งลงสู่ความ
ทุกข์ มิได้ประกอบด้วยสุขบ้างแล้ว สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่พึงกำหนัดในรูป. ก็เพราะรูปเป็นสุข
สุขตามสนอง หยั่งลงสู่ความสุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์เสมอไป ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย จึง
กำหนัดในรูป เพราะกำหนัด จึงถูกประกอบเข้าไว้ เพราะถูกประกอบ จึงเศร้าหมอง ดูกรมหาลิ
แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองของสัตว์. สัตว์ทั้งหลาย มีเหตุ มีปัจจัย
จึงเศร้าหมอง แม้ด้วยอาการอย่างนี้. ดูกรมหาลิ ก็หากเวทนานี้ เป็นทุกข์ถ่ายเดียว ฯลฯ ก็หาก
สัญญานี้ เป็นทุกข์ถ่ายเดียว ฯลฯ ก็หากสังขารนี้ เป็นทุกข์ถ่ายเดียว ฯลฯ ก็หากวิญญาณนี้
เป็นทุกข์ถ่ายเดียว รังแต่ทุกข์ตามสนอง หยั่งลงสู่ความทุกข์ มิได้ประกอบด้วยสุขบ้างแล้ว
สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่พึงกำหนัดในวิญญาณ. ก็เพราะวิญญาณเป็นสุข สุขตามสนอง หยั่งลง
สู่ความสุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์เสมอไป ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย จึงกำหนัดในวิญญาณ เพราะ
กำหนัด จึงถูกประกอบเข้าไว้ เพราะถูกประกอบ จึงเศร้าหมอง. ดูกรมหาลิ แม้ข้อนี้แล ก็
เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองของสัตว์. สัตว์ทั้งหลาย มีเหตุ มีปัจจัย จึงเศร้าหมอง
แม้ด้วยอาการอย่างนี้.
             [๑๓๒] ม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ส่วนเหตุปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์เป็น
ไฉน? สัตว์ทั้งหลาย มีเหตุ มีปัจจัย ย่อมบริสุทธิ์ได้อย่างไร?
             พ. ดูกรมหาลิ ก็หากว่ารูปนี้ จักเป็นสุขถ่ายเดียว สุขตามสนอง หยั่งลงสู่ความสุข
มิได้ประกอบด้วยทุกข์บ้างแล้ว สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่พึงเบื่อหน่ายในรูป. ก็เพราะรูปเป็นทุกข์
ทุกข์ตามสนอง หยั่งลงสู่ความทุกข์ มิได้ประกอบด้วยสุขเสมอไป ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย จึง
เบื่อหน่ายในรูป เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงบริสุทธิ์. แม้ข้อนี้แล
ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์. สัตว์ทั้งหลาย มีเหตุ มีปัจจัย จึงบริสุทธิ์
แม้ด้วยอาการอย่างนี้. ดูกรมหาลิ ก็หากว่าเวทนาเป็นสุขถ่ายเดียว ฯลฯ สัญญาเป็นสุขถ่ายเดียว
ฯลฯ สังขารเป็นสุขถ่ายเดียว ฯลฯ วิญญาณเป็นสุขถ่ายเดียว สุขตามสนอง หยั่งลงสู่
ความสุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์บ้างแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่พึงเบื่อหน่ายในวิญญาณ.
ก็เพราะวิญญาณเป็นทุกข์ ทุกข์ตามสนอง หยั่งลงสู่ความทุกข์ มิได้ ประกอบด้วยสุขเสมอไป
ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย จึงเบื่อหน่ายในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย  ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลาย
กำหนัด จึงบริสุทธิ์ แม้ข้อนี้แล ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์. สัตว์
ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย จึงบริสุทธิ์ แม้ด้วยอาการอย่างนี้.

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

[213] อิทธิบาท 4 (คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ, คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย)
       1. ฉันทะ (ความพอใจ คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้นไป)
       2. วิริยะ (ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย )
       3. จิตตะ (ความคิดมุ่งไป คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำและทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป อุทิศตัวอุทิศใจให้แก่สิ่งที่ทำ)
       4. วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผลและตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น)

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568

วัฒนธรรมทำงานหนักแบบญี่ปุ่น : เหนื่อยล้า ราคาชีวิต I Spotlight World

เหตุผลที่น้ำตาล ไขมันและโซเดียมเป็น 3 ตัวหลักก่อโรค | รู้สู้โรค | คนสู้โรค

เตรียม! “คนละครึ่ง” เริ่มพรุ่งนี้ สิทธิ์จำกัด เช็กไทม์ไลน์ก่อนพลาด | TNN...

น่ากังวล.. เศรษฐกิจไทยกำลังจะเผชิญกับ 3 พายูใหญ่ ?

เรือขนสินค้าพลังงานลม “Neoliner Origin” เตรียมลุยเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแ...

Happiness Disruption โลกป่วนหนัก เศรษฐกิจ สงคราม เอไอ ทำความสุขล่มสลาย?

คนไทย “จนก่อนแก่” สร้างภาระหนักภาครัฐ | BUSINESS WATCH | 13-10-68

‘ขยายอายุเกษียณ’ ทั้งระบบ โจทย์ใหญ่ ไม่ใช่แค่ข้าราชการ | THANTALK | 10 ต...

ญี่ปุ่นขีดเส้นเกษียณ 65 ปี-อียูไปให้ถึง 67 ปี | BUSINESS WATCH | 13-10-68

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ลัทธิ"ไม่ยึดมั่น-ไม่เป็นทุกข์" : กาพย์ยานี๑๑





รายงานทางวิทยาศาสตร์ฉบับสำคัญระบุว่า 
แนวปะการังเขตร้อนของโลก เกือบข้ามผ่านจุดเปลี่ยนที่ไม่อาจย้อนกลับ 
เนื่องจากมหาสมุทรอุ่นเกินกว่าระดับที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่สามารถอยู่รอดได้... 
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/5199584/



กระจายตัวเร็ว! แถบ ‘สาหร่าย’ สีน้ำตาลขนาดยักษ์กลางมหาสมุทรแอตแลนติก 
กว้างเกือบสองเท่าของทวีปอเมริกา-นักวิทย์ฯชี้อาจกระทบระบบนิเวศทั่วโลก...
 อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_9973723

ลัทธิ"ไม่ยึดมั่น-ไม่เป็นทุกข์" : กาพย์ยานี๑๑

    ชาวบ้าน บุกรุก ทำลายป่า.........................สภาวะ โลกร้อน เดือดร้อนใม่
สัตว์ป่า สูญพันธุ์ ช่างมันปะไร....................กู"ไม่ ยึดมั่น" เที่ยวพรรณนา

    กินอิ่ม-เล่น-นอน เด็กอ่อนหัด.....................มิต้องตัด สินใจ ภายภาคหน้า
(จะ)เป็น-อยู่ อย่างไร ไม่ครณา..................บิดร มารดา พาสุขใจ

    คนบ้า เดินพล่าม ตามถนน.........................ตากแดด ตากฝน บ่สนไผ
พึ่งเขา(ชาวบ้าน) อยู่-กิน (แค่)สิ้นวันไป.......ไม่อาจ หาเลี้ยง เพี้ยงตัวตน(เอาตัวไม่รอด)

    คนปล่อย เงินกู้ นอกระบบ..........................ใครประสบ ทุกข์ไซร้ กูไม่สน
เก็บดอก เบี้ยโหด เหี้ยมโฉดชน.................อวดตน รวยร่ำ ช่ำชีวา

    สมภาร ท่านอยู่ กุฏิใหญ่.............................บ่เคย สนใจ ในปัญหา(ของวัด)
ถูกเตือน ก็ตอบ "ตถตา"..........................."เป็นเช่นนั้น เอง"หนา อย่าถือมัน
(พระ-เณร-ชี จำนวนมาก มาบวชเพราะไม่ต้องทำงาน ก็มีอยู่-มีกิน-มีเงินใช้-มีความสุขกว่าคนทำงาน
ข้าราชการทำงานเช้าชามเย็นชาม ประชาชนเดือดร้อน ไม่สนใจฯลฯ หลายคนชอบอ้าง "ตถตา")

    หลายคน ชอบพูด ไม่หยุดหย่อน..................พุทธ(ศาสนา)สอน แค่"ความ ไม่ยึดมั่น"
หัวใจ คือ"ความ สิ้นทุกข์"พลัน...................หากเห็น เช่นนั้น ก็(เป็นคน)ด้านชา
                                                         (พวกลืมตาข้างเดียว เห็นแค่ในสิ่งที่อยากเห็น)

    แปดหมื่น สี่พัน พระธรรมขันธ์......................มีไป ทำไมกัน? ให้หรรษา?
พรหมวิ หารสี่ หรือศีลห้า.........................สมาธิ ปัญญาฯลฯ คืออะไร?(ใครสอน?)

    พุทธ(ศาสนา)ไซร้ มิได้สอน แค่"(ความ)สิ้นทุกข์"......หรือขลุก แค่"ความ ยึดมั่นไม่"
                                                                                           (ความไม่ยึดมั่น)
หลักธรรม สำคัญ หลากลานไป.................อย่ารัก (ความ)มักง่าย ไม่ถูกเอยฯ

๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๘

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย มหาวรรค
ทรงแสดงพระโอวาทปาติโมกข์
       [๙๐] ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีพุทธเจ้าทรงแสดงปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์
ที่กรุงพันธุมดีราชธานีนั้นดังนี้
                ‘ความอดทนคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง
        พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า นิพพานเป็นบรมธรรม
        ผู้ทำร้ายผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต
        ผู้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
        การไม่ทำบาปทั้งปวง
        การทำกุศลให้ถึงพร้อม
        การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
        นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
        การไม่กล่าวร้ายผู้อื่น
        การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
        ความสำรวมในปาติโมกข์
        ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร
        การอยู่ในเสนาสนะที่สงัด
        การประกอบความเพียรในอธิจิต
        นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เจาะ 5 กับดักร้ายและคอร์รัปชันที่กำลังฉุดอนาคตเศรษฐกิจไทย | THE STANDARD...

บุญเป็นสิ่งที่ต้องสั่งสมไว้ : โคลงสี่สุภาพ






บุญเป็นสิ่งที่ต้องสั่งสมไว้ โคลงสี่สุภาพ

๑. กลิ่นอากาศหนาวเชื้อ-.......................เชิญดม
ดลฤดีอภิรมย์................................รอบเกล้า
กุสุมาลย์กลาดเกลื่อนสม.................สุขเสพ
ประหนึ่งเทพพิมานเหย้า..................รื่นยั้งร่มเย็นฯ

๒. เริ่มฤดูเห็นรวงข้าว.............................สุดตา
สามสี่เดือนผ่านมา..........................เหนื่อยแล้ว
ทุ่มทุนรอน-กายา............................หว่านปลูก
(ข้าว)ราคาถูกฤาแคล้ว.....................ทิ้งบ้านงานหาฯ

๓. เวลาทุกข์ระทดท้อ.............................(จึงคิด)ทำบุญ
เที่ยวสะเดาะเคราะห์เจือจุน................บาปล้าง
(ยาม)อยู่ดีเวรกรรมตุน......................ฉกาจก่อ
บุญกุศลบ่สร้าง................................ไร้ซึ่งศรัทธาฯ

. ยังมากล่าวโทษไร้..............................บุญผล
คำสอนเรื่องบุญกุศล..........................กลบล้าง
เห็นแก่ตัว(เห็น)แต่ตน........................ประเสริฐ
เกิดมาเพื่อบาปสร้าง..........................สุขได้ดั่งฤดี?

. ยามบ่มีเงินใช้.....................................จึงหา(งานทำ)
คือทิฐิมิจฉา.....................................อ่อนด้อย
ยามเจ็บป่วยค่ายา-............................หมอจ่าย
สายเกินกาลขยันคล้อย......................(ไม่พ้นต้อง)กู้หนี้ยืมสินฯ

๖. อย่าคิดแคบแค่เพี้ยง.............................ปัจจุบัน(ไม่คำนึงถึงอนาคต)
ตราบที่มีชีวัน....................................อยู่หล้า
อนาคตคือสิ่งอัน................................พึงประสบ
ควรขบคิดทางท้า-.............................ทายสู้ชะตาชนม์ฯ

. (พึง)พาตัวเองรอดพ้น...........................ทรมาน
ครอบครัวแลลูกหลาน.........................ทุกข์ไร้
ยังยากจนอย่าทะยาน..........................สืบทอด-
เผ่าพงศ์ปลอดสุขไซร้.........................ทุกข์แท้คะนึงเห็นฯ

. สาธุชนย่อมงดเว้น.................................บาปกรรม
หมั่นประกอบศีลธรรม..........................กิจไว้
สั่งสมบุญหนุนนำ................................สุขประสบ
โอกาสพบทุกข์ไซร้.............................เกิดน้อยเต็มทีฯ

๙ ตุลาคม ๒๕๖๘

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

‘ไทย’ เสี่ยงเข้าสู่ ‘ยุคเงินฝืด’? ป่วยเรื้อรังซ้ำรอยญี่ปุ่น | DEEP Talk

“CycloTech” เผยความสำเร็จทดสอบบิน “BlackBird” ปูทางสู่รถบินได้ในอนาคต | ...

เมืองไทยไร้แก่นสาร : กาพย์ยานี๑๑





เมืองไทยไร้แก่นสาร : กาพย์ยานี๑๑

    ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข............................ทุกๆคน ท้นประสงค์
โลกธรรม=ความมั่นคง.............................จำนงอยู่ คู่ชีวี(ของคน)

    (พุทธศาสนา)ถูกใช้ เป็นเครื่องมือ..............ทางยึดถือ คือวิถี
รักษา ประเพณี.......................................ค่านิยม สังคมไทย
(ศาสนาพุทธถูกอ้างเพื่อหาเงิน ส่งเสริมการท่องเที่ยว ผสมผสานประเพณีไทย ฯลฯ)

    แอบอ้าง พุทธศาสนา..............................เพราะศรัทธา(คำสอน) ก็หาไม่
ละเลย ธรรมวินัย.....................................ความงมงาย (ภายใน)ใจเบ่งบาน

    (เช่น)พระเครื่อง เรื่องของพระ-..................เกจิ(มัก)จะ มานะหาญ
มิใช่ หมายนิพพาน...................................บ่ต้องการ (ขจัด)ตัณหาเตียน

    สวดมนต์ คนหวังบุญ................................พระเกื้อหนุน (เพิ่ม)พูน(ความ)ผิดเพี้ยน
แผ่(ส่วน)บุญ คุ้นเคยเพียร..........................เล่าเรียนมา(จาก) ศาสนาใด?
(พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่าสวดมนต์แล้วได้บุญเลย ไม่รู้เอามาจากไหน? 
แล้วชอบท่องคำอุทิศส่วนบุญให้ใครต่อใคร ราวกับว่าตัวเองมีบุญมากมายเหลือเฟือ...ไร้สาระ)

    (ทอด)ผ้าป่า ทอดกฐิน..............................เรื่องเคยชิน ชวนหลงใหล
เกื้อหนุน ผลบุญใหญ่.................................เงินทองให้ ใจศรัทธา

    แต่พระ รับเงินทอง...................................(เป็น)สิ่งต้องห้าม ตามศาสนา(พุทธ)
ชาวไทย ไม่นำพา.....................................บ่ถือสา ธรรมวินัย
(วัดจัดงานหาเงิน-พระรับกิจนิมนต์หาเงิน เป็นเรื่องปกติของสังคมไทย บางวัดทำเป็นเคร่ง อ้างพระไม่รับเงิน แต่ตั้งมูลนิธิมารับเงิน-เก็บเงินแทน เจ้าอาวาสใช้เงินคนเดียว-รวยคนเดียว)

    บวชพระ จะได้บุญ.....................................ความหมกมุ่น (เอา)มาจากไหน?
ผ้าเหลือง พา(พ่อแม่)ให้ไป.........................สู่สวรรค์ วิมานแมน
(ไม่เคยเห็นในพระไตรปิฎกว่า บวชแล้วได้บุญ ลูกบวชแล้วพ่อแม่ได้ขึ้นสวรรค์)

    (คนไทย)ชอบทำ ตามใจชอบ......................คือระบอบ อันเหนียวแน่น
ทำให้ ไทยทั่วแดน.....................................ไร้แก่นสาร สถานเอยฯ

๘ ตุลาคม ๒๕๖๘

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒
๒. โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
[๑๐๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่ พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร เป็น กุลุปกะของสกุลหนึ่ง รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น. เขาย่อมแบ่งส่วนไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เย็นวันหนึ่งในสกุลนั้นมีเนื้อเกิดขึ้น เขาจึง แบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เด็กของสกุลนั้นตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้อง อ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า. บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า จงให้ส่วนของพระแก่เด็ก เราจัก ซื้อของอื่นถวายท่าน. ครั้นแล้วเวลาเช้าท่านอุปนันทศากยบุตร นุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปสู่สกุลนั้น แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย. ทันใด บุรุษนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร กราบแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง, ได้กราบเรียนว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อเย็นวานนี้มีเนื้อเกิดขึ้น, ผมได้เก็บไว้ถวายพระคุณเจ้าส่วนหนึ่ง, จากนั้นเด็กคนนี้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืดร้องอ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า ผมจึงได้ให้เนื้อส่วนของ พระคุณเจ้าแก่เด็ก, พระคุณเจ้าจะให้ผมจัดหาอะไรมาถวายด้วยทรัพย์กหาปณะหนึ่ง ขอรับ. ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถามว่า เธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่งแก่เรา แล้วหรือ? บุ. ขอรับ ผมบริจาคแล้ว. อุ. เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา. บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ในทันใดนั้นเอง แล้วเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ รับรูปิยะเหมือนพวกเรา. ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระอุปนันทศากยบุตรจึงได้รับรูปิยะเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่า เธอรับรูปิยะจริงหรือ? ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ, ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า? การกระ ทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
ทรงบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาค ทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้วตรัส โทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่ เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำ นาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุมีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบัง- *เกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง ไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.

กสิกรฯ คาดเงินเฟ้อไทยติดลบ-เสี่ยงเงินฝืด | ย่อโลกเศรษฐกิจ 7 ต.ค.68

ท้าทาย “รัฐบาลใหม่” ปี 69 จีดีพีทรุดหนักกว่าปีนี้ | BUSINESS WATCH | 07...

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

สถาปนิกเยอรมัน 100 ปีก่อนชี้ คนไทยคิดว่า “ตัวเองสำคัญสุดในโลก” และต้อง “สนุก” ไว้ก่อน

 

คาร์ล ดอห์ริง (Karl Döhring) สถาปนิกชาวเยอรมัน (ภาพถ่ายไม่ระบุปี จาก The Country and People of Siam, 1999)

สถาปนิกเยอรมัน 100 ปีก่อนชี้ คนไทยคิดว่า “ตัวเองสำคัญสุดในโลก” และต้อง “สนุก” ไว้ก่อน

คาร์ล ดอห์ริง สถาปนิกหนุ่มเยอรมันที่เข้ามารับราชการในสยาม เมื่อ พ.ศ. 2449 เป็นหนึ่งในชาวต่างชาติที่เดินทางมาสยาม เขาได้บันทึกประสบการณ์และความรู้สึกที่เคยสัมผัสคนไทย ซึ่งมีทั้งแง่ชื่นชมและการตั้งข้อสงสัย

ในบรรดาสถาปนิกต่างชาติที่เข้ามารับราชการในไทย คาร์ล ดอห์ริง (Karl Döhring) ได้รับความไว้วางใจจากชนชั้นสูงและพระมหากษัตริย์ หลังจากมีโอกาสได้ทำงานในกรมศุขาภิบาล ใน พ.ศ. 2452 และในปีเดียวกัน เขาก็ได้รับมอบหมายงานสำคัญ 2 ชิ้น คือ การสร้างวังของพระองค์เจ้า ดิลกนพรัฐ และในเดือนกันยายนปี 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งดอห์ริงเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างพระราชวังใหม่ที่เพชรบุรี หรือในชื่อซึ่งรู้จักกันคือ พระราชวังบ้านปืน

พระราชวังบ้านปืน จังหวัดเพชรบุรี

คาร์ล ดอห์ริง ยังได้รับงานสำคัญ อาทิ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มอบหมายให้สร้างวังสำหรับเป็นที่ประทับของพระมารดาของพระองค์ ใน พ.ศ. 2454 อย่างไรก็ตาม 2 ปีถัดมา คาร์ล ดอห์ริง ล้มป่วยและต้องเดินทางกลับเยอรมนีเพื่อรับการรักษา และไม่มีโอกาสเดินทางกลับประเทศไทยอีกเลย และเสียชีวิตใน พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941)


ดอห์ริงบันทึกประสบการณ์การทำงาน และเขียนตำราเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมและศิลปะในสยาม รวมถึงบันทึกเรื่องราวที่พบเห็นทั่วไปในหนังสือดั้งเดิมที่ชื่อ Siam, Land und Volk และถูกพิมพ์ใหม่ในชื่อ The Country and People of Siam มีเนื้อหาบรรยายลักษณะธรรมเนียม, ประเพณี, ศิลปะ และแง่มุมทางกฎหมายในสยาม

เนื้อหาส่วนหนึ่งบอกเล่าลักษณะนิสัยของประชากรสยามไว้อย่างน่าสนใจ เขาบรรยายว่า ธรรมชาติดั้งเดิมแล้วผู้คนในสยามเป็นคนที่ใจดีชื่นชมยินดีกับชาติของตัวเองอย่างมาก และคิดว่าพวกเขาเป็นคนที่สำคัญที่สุดในโลกใบนี้ ขณะที่อิทธิพลจากพุทธศาสนาที่เข้ามาในดินแดนนี้นานหลายร้อยปี ได้กล่อมเกลาให้คนสยามเป็นคนใจบุญ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ข้อความตอนหนึ่งระบุว่า


“…ในย่านชนบทที่อิทธิพลเชิงลบในเมืองใหญ่ยังเข้าไม่ถึงโดยเฉพาะในเมืองท่าของกรุงเทพฯที่ยังไม่ได้เปิดรับมากนัก พวกเขาเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ร้อนอกร้อนใจ ร่าเริง และเป็นมิตร ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความคิดมุ่งร้าย


อย่างไรก็ตาม พวกเขามีแนวโน้มไปทางเกียจคร้าน (ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์) อยู่บ้าง และมักชื่นชอบการละเล่น การละเล่นแบบใดก็ได้เป็นที่สนใจในหมู่ชาวสยามเสมอ…”


ลักษณที่โดดเด่นของชาวสยามในความคิดเห็นของ คาร์ล ดอห์ริง คือรูปแบบการทักทายกัน เมื่อเพื่อนพบหน้ากันจะทักทายกันด้วยประโยคอย่าง “สบายดีไหม” ตามมาด้วยถามทุกข์สุขว่า “ช่วงนี้สนุกไหม” ซึ่งคาร์ล เล่าว่า คำว่า “สนุก” นี้แทบเป็นคำที่มีความสำคัญมากที่สุดในภาษาที่ชาวสยามใช้ สื่อความหมายถึงความรื่นรมย์ ความพึงพอใจ ปิติยินดี


ส่วนคำที่ตรงข้ามกับ “สนุก” คือ “ลำบาก” เขามองว่า สิ่งที่คนยุโรปไม่ได้มองว่าลำบาก แทบทุกอย่างถูกชาวสยามจัดว่าเป็นสิ่ง “ลำบาก” ทั้งสิ้น อาทิ การทำงานเกินแรง หรืออะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปตามใจต้องการ แม้แต่การรอคอยบนท้องถนนก็ใช่ และเมื่อมีใครประสบ “ความลำบาก” ก็ไม่ใคร่จะปกปิดความนึกคิดสักเท่าไหร่


“…คนไทยพร้อมจะเล่นสนุกสนานกันตลอด ขณะที่เมื่อพบกับเรื่องที่ไม่เข้าทาง หรือโชคร้าย พวกเขายอมจำนนกันแล้ว และปล่อยเรื่องเหล่านี้ไปด้วยวลี ‘ไม่เป็นไร’…”


เรื่องนี้อาจมองเป็นเรื่องปกติทั่วไปในฐานะความคิดเห็นของชาวต่างชาติ แต่ถ้าย้อนกลับไปอ่านมุมมองของชาวต่างชาติที่เข้ามาในสยามตั้งแต่ 500 ปีก่อน ก็เป็นการผลิตซ้ำแบบเดิม มุมมองต่อชาวสยามเรื่องความเกียจคร้านก็ยังคงอยู่เสมอ


จำนง เทพหัสดิน ณ อยุธยา รวบรวมความคิดเห็นของชาวต่างชาติ 9 ราย ที่มาจาก 5 ชาติ ต่างมีมุมมองชาวไทยเรื่องความเกียจคร้าน


นายปินโต ชาวโปรตุเกส เข้ามาเป็นทหารรับจ้างอยู่ในกองทัพพระชัยราชาธิราช ในการทำสงครามกับรัฐเชียงใหม่ โดยนำปืนใหญ่ไปใช้รบครั้งแรกในเมืองไทย

นายเซาเตน ชาวฮอลันดา เข้ามาเป็นหัวหน้าสถานีการค้าฮอลันดาในรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม

นายวันวลิต เป็นหัวหน้าสถานีการค้าสืบจากนายเซาเตน เขาเขียนประวัติศาสตร์ไทย นับเป็นฉบับแรกของประเทศนี้

นายฟอร์บัง เป็นนายทหารฝรั่งเศส เข้ามารับราชการเป็นขุนนางไทย ได้ยศเป็นออกพระศักดิ์สงคราม คุมทหารที่ฝึกแบบยุโรป (มีปืนและหอกเป็นอาวุธ ประจำกาย) จำนวน 2,000 คน ที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ ธนบุรี

นายยอห์น ครอเฟิด คนไทยเรียก “กาลาผัด” เป็นทูตอังกฤษ มาในรัชกาลที่ 2 ของกรุงรัตนโกสินทร์ เขาเขียนรายงานไปยังรัฐบาลอังกฤษ เจาะลึกในทุกด้านของไทยเป็นจำนวน 183 หัวข้อ

นายคาร์ล กุตสลาฟ คนไทยเรียกว่า “หมอกิศลับ” ชาวเยอรมัน เป็นมิชชันนารีฝ่ายโปรเตสแตนต์คนแรก ที่เข้ามาเมืองไทย เขารู้ภาษาไทยขนาดทำพจนานุกรมอังกฤษ-ไทย เป็นฉบับแรก

นายมัลล้อก พ่อค้าอังกฤษ มาในรัชกาลที่ 4 เขามาสำรวจอย่างละเอียดในเรื่องทรัพยากร การค้า และเศรษฐกิจของเมืองไทย ตลอดทั้งความมั่นคงเป็นรายงานที่ยาวถึง 122 หน้า

นายมูโอต์ นักธรรมชาติวิทยา ชาวฝรั่งเศส เข้ามาในรัชกาลที่ 4 เขาใช้เวลา 3 ปี สำรวจภูมิประเทศและการดำรงชีวิตของคนไทย

เซอร์เฮนรี นอร์แมน เป็นขุนนางอังกฤษ เข้ามาในรัชกาลที่ 5

หรือแม้แต่ชนชั้นสูงในประเทศเองก็ยังมองว่า ลักษณะนิสัยของคนไทยเป็นคนเกียจคร้าน หลวงวิจิตรวาทการ ปาฐกถาทางวิทยุกระจายเสียง เรื่อง “มนุสสปฏิวัติ” พ.ศ. 2482 เนื้อหาตอนหนึ่งมีใจความว่า


“เรามีอะไรที่ถ่วงความก้าวหน้าของบ้านเมืองไว้ เรามีอะไรที่ทำให้เราสู้ต่างชาติไม่ได้ เรามีอะไรที่วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะเป็นภัยใหญ่หลวง ถึงกับสามารถจะทำให้ชาติไทยทั้งชาติล้มราบสาบสูญไปได้…ข้าพเจ้ามองเห็นอยู่เพียงอย่างเดียวในเวลานี้ คือการที่เราไม่ขยันขันแข็งพอ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าเราอ่อนแอในการทำงาน มีหนังสือฝรั่งหลายเล่มเมื่อเวลาพรรณนาถึงลักษณะของไทยเรามักอธิบายว่า ไทยเรานั้นมีลักษณะเกียจคร้าน”... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/history/article_23288

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2568

มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ : กาพย์ฉบัง๑๖





Satao II ช้างป่าสัญลักษณ์ในเคนยาถูกฆ่าตายแล้ว
Satao II ช้างป่าขนาดใหญ่วัย 50 ปีที่อาศัยอยู่ป่าประเทศเคนยา 
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้พบร่างของมันในพื้นที่ Tsavo East National Park 
มันถูกฆ่าโดยนักล่า 2 คน ที่ใช้ลูกศรพิษยิงเข้าตัว
Satao II ถือเป็นช้างป่าที่ถือว่าโดดเด่นมากที่สุดตัวหนึ่งของโลก มันเป็นช้างที่มีขนาดใหญ่ 
และเมื่อเจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวนทางอากาศมันก็จะออกมาทักทายเป็นประจำ






มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ : กาพย์ฉบัง๑๖

    มือไม่พาย(เอา)เท้าราน้ำ.......................ฤาดีริยำ
บาปกรรม ไม่ละอาย-กริ่งกลัว

    โลกนี้มี "ชนรักชั่ว"...........................ผู้ "เห็นแก่ตัว"
(มี)อยู่ทั่วหัวระแหงแห่งหน

    มักคอยคิดขับสัปดน............................ผิด "ปกติชน"
อกุศลวนเวียนเจียรจินต์

    เลวทรามทำลายทรัพย์สิน............................ของผู้อื่นชิน(ชา)
โฉดฉลมลทินจินตนา

    "ของเขาต้องเป็นของข้า"..........................ลัก-โกง-หลงอัตตา
"หาก(กู)ไม่ได้มา(กู)ก็ทำลาย"

    ความดีไม่มีความหมาย..............................รักความเลวร้าย
ใครจะฉิบหาย(กู)ไม่เคยสน

    ไม่รู้รัก(หวังดีกับ)ใครในกระมล..........................นอกจากรักตน
เป็นบุคคลเปี่ยมอันตราย

    (คน)พวกนี้ไม่มีความหมาย(ประโยชน์)..............................(มีชีวิต)อยู่เพื่อทำลาย
ทำร้ายสังคม-สร้างปัญหา(ให้คนอื่น)

    มีอยู่มากหน้าหลายตา...............................(กระจายไป)ทั่วทั้งโลกา
บ่เว้นสถานะใดๆ(คนรวยคนจน-คนโง่คนฉลาด-ผู้บริหารลูกจ้างฯลฯ)

    หากรู้(ว่าเป็นใคร)จงอยู่ให้ไกล...........................จะรอดปลอดภัย
ไม่ตก ระกำต่ำเข็ญ

    เทิดชีวีที่ร่มเย็น...........................สุขสงบพบเห็น
เป็นคนมีค่าเจริญ(รุ่ง)เรืองฯ

๒ ตุลาคม ๒๕๖๘