๏ เมื่อเหมันต์ ผันผิน เริ่มสิ้นสุด..........................แดดแผดผุด ดุจเผา ร้อนเร่าหลาย
แมวทยอย คอยหาที่ ที่เย็นสบาย.................นอนเหยียดกาย ไม่สน หนทาง(คน)เดิน
๏ ไม่ต้องรู้ อุดมการณ์ อันสูงส่ง...........................ไร้ประสงค์ หลงคำ ล้ำสรรเสริญ
ไม่กระเดียด เกียรติยศ ปรากฏเกิน...............ก็เพลิดเพลิน เจริญจิต สมพิศปอง(ได้)
๏ โลกธรรม จำนง จงสยบ..................................ความสงบ(ใจ) สบง่าย ไร้เศร้าหมอง
มายาคติ มิปรารถนา จะตรึกตรอง................ท่วงทำนอง ชีวิต วิจิตรดัง
๏ วัน-เวลา ราวระงับ หยุดกับที่............................เมื่อหัวใจ ไม่มี สิ่งที่หวัง(ให้เป็น-ไม่เป็น)
หมดพันผูก ทุกอย่างที่ ไม่จีรัง.....................อนิจจัง สังขาร การแต่งปรุง(สิ่งปรุงแต่ง)
๏ บ่หลงเหลือ เยื่อใย ในพิภพ............................(การ)ครองชีวิต คิดขบ ลบ(ความ)ยากยุ่ง
กุศลธรรม กรรมา เที่ยงผดุง.........................(คือ)สิ่งจรุง จูงฤดี ให้อภิรมย์
๏ ความตั้งใจ ใคร่ทำดี เป็นที่หนึ่ง.......................คอยคำนึง ถึงความรู้ บรรลุสม
พยายาม ทำดี คตินิยม................................ช่วยชื่นชม โสมนัส วัฒนา-
๏ ต่อชีวี ที่ประจัญ วันๆไป..................................แม้(มี)อุปสรรค มากมาย หลายปัญหา
พลาด-ขัดสน ผลสำเร็จ ผิดเจตนา................เมื่อเข้าใจ ในสัจจา ชะตากรรม
๏ ก็ไม่ต้อง ข้องใจ ในชีวิต..................................ไม่ครุ่นคิด อิดหนา อุระถลำ
(ไม่)เจ็บปวดร้าว เศร้าโศก อกระกำ...............ฤาชอกช้ำ กำสรวล รวนฤทัย
๏ ผู้น้อมนำ กรรมดี เป็นที่พึ่ง................................ย่อมเข้าถึง ซึ่งผลดี ที่ผ่องใส
มุ่งมั่นทำ กรรมดี ฤดีไกร...............................ย่อมสมใจ ในสิ่งจ้อง ต้องการเอยฯ
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น