โลกร้อนเสี่ยงแตะ 2.3 องศา ภายในปี 2040
ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนจากประเด็นเชิงนโยบายไปสู่ความเสี่ยงเชิงเศรษฐกิจที่จับต้องได้ โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศของ S&P Global Horizons ประเมินว่า มีโอกาสถึง 50% ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นเกิน 2.3 องศาเซลเซียสภายในปี 2040 หากแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงดำเนินต่อไปในทิศทางปัจจุบัน
ข้อมูลระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2025 อยู่ที่ระดับสูงกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.4 องศาเซลเซียส ใกล้แตะเพดาน 1.5 องศาเซลเซียสตามเป้าหมายความตกลงปารีส สภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นและผันผวนมากขึ้น ส่งผลให้เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน ภัยแล้ง พายุหมุนเขตร้อน และภัยธรรมชาติอื่น ๆ มีแนวโน้มเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น พร้อมต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นตามมา
ผลกระทบดังกล่าวเริ่มสะท้อนให้เห็นในหลายภูมิภาคทั่วโลก ภัยแล้งรุนแรงในอิหร่านได้สร้างความเสี่ยงต่อการใช้น้ำในกรุงเตหะราน และทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำลดลงเกือบหมด ขณะที่คลื่นความร้อนในยุโรป ซึ่งอุณหภูมิมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอีกหลายภูมิภาค กำลังเร่งการใช้เครื่องปรับอากาศอย่างรวดเร็ว ส่งแรงกดดันต่อระบบไฟฟ้าในประเทศที่การใช้ไฟฟ้าต่อหัวเคยอยู่ในระดับต่ำกว่าสหรัฐมาโดยตลอด
ต้นทุนจากภัยสภาพภูมิอากาศไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความเสียหายทางกายภาพ แต่ยังรวมถึงรายได้ที่สูญเสียจากการหยุดชะงักของธุรกิจ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมทรัพย์สิน และประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานที่ลดลง ผลกระทบสะสมเหล่านี้กำลังแปรเปลี่ยนเป็นต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นสำหรับภาคธุรกิจ โดยชุดข้อมูลด้านความเสี่ยงทางกายภาพของ S&P Global Horizons ประเมินว่า ในช่วงทศวรรษ 2030 บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ทั่วโลกอาจต้องเผชิญต้นทุนรวมจากความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเฉลี่ยราว 885,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
แม้ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้น แต่การประเมินความเสี่ยงและการวางแผนปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศยังคงถูกนำไปใช้ไม่ทั่วถึง ข้อมูลจาก S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) ชี้ว่า อุตสาหกรรมที่ถูกจับตามองด้านสภาพภูมิอากาศมาอย่างต่อเนื่อง และมีการดำเนินงานที่สัมผัสกับโครงสร้างพื้นฐานโดยตรง เช่น สาธารณูปโภค ผู้ดูแลโครงข่ายไฟฟ้า และอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ มีอัตราการประเมินความเสี่ยงและวางแผนการปรับตัวสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่น
ในทางกลับกัน ภาคส่วนจำนวนมากของเศรษฐกิจโลกยังคงมองการประเมินและการปรับตัวต่อความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเป็นข้อยกเว้นมากกว่ามาตรฐาน ท่ามกลางแนวโน้มที่ความเสี่ยงทางกายภาพจะทวีความรุนแรงขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รายงานระบุว่า ในปี 2026 การเติบโตของความต้องการไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI ข้อจำกัดของโครงข่ายไฟฟ้า ความแตกกระจายของตลาดเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ภูมิรัฐศาสตร์ กลยุทธ์การจัดหาพลังงานที่เปลี่ยนไป กรอบการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กำลังปรับปรุง และความเสี่ยงทางกายภาพจากสภาพภูมิอากาศ จะร่วมกันกำหนดเงื่อนไขใหม่ของความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
ภายใต้บริบทดังกล่าว บทบาทที่โดดเด่นของจีนในห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาด ตั้งแต่โซลาร์ ระบบกักเก็บพลังงาน กรีนไฮโดรเจน ไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้า จะเป็นปัจจัยสำคัญทั้งในการผลักดันการใช้งานและสร้างความเสี่ยงใหม่ พร้อมทั้งมีอิทธิพลต่อทิศทางการแข่งขันด้าน AI และพลังงานระหว่างจีนกับสหรัฐในระยะต่อไป
https://www.thansettakij.com/sustainable/net-zero/647688
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น