ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ช่วยกัน.......ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

 


ช่วยกัน......ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
อยากแนะนำให้อ่านหนังสือ Why Nations Fail: The Origins of Power, Prosperity, and Poverty ของนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล
หนังสือเล่มนี้อธิบายว่า ความร่ำรวยหรือยากจนของประเทศหนึ่ง ๆ ไม่ได้เกิดจากภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม หรือความขยันของประชาชน แต่สิ่งที่ “กำหนดอนาคต” อย่างแท้จริงคือ สถาบันการเมืองและเศรษฐกิจ ที่ประเทศนั้นสร้างขึ้น
📍ถ้าประเทศมี สถาบันแบบ Inclusive (ครอบคลุม-เปิดโอกาส):
• มี rule of law (นิติรัฐ) ที่เข้มแข็ง
• คุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน
• มีประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมจริง
ประเทศจะสร้างโอกาสอย่างทั่วถึงและพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
📍ถ้าประเทศติดกับ สถาบันแบบ Extractive (เอาเปรียบ-กอบโกย):
• กลุ่มอำนาจบิดเบือนกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
• ขัดขวางการแข่งขันและนวัตกรรม
• ระบบการเมืองคอร์รัปชันและไร้ความโปร่งใส
ผลคือ ติดกับดักความยากจนและเหลื่อมล้ำแบบไม่มีทางออก
📍ตัวอย่างจริงจากทั่วโลก:
• สหรัฐอเมริกา vs เม็กซิโก:
หนังสือยกตัวอย่าง “Nogales” เมืองชายแดนที่แบ่งครึ่งด้วยรั้ว—ครึ่งหนึ่งอยู่ในรัฐแอริโซนา (สหรัฐฯ) อีกครึ่งในโซโนรา (เม็กซิโก)
แม้ทั้งสองฝั่งมีวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์คล้ายกัน แต่ฝั่งสหรัฐฯ มีรายได้ต่อหัวและคุณภาพชีวิตสูงกว่าอย่างชัดเจน เพราะสถาบันการเมืองและเศรษฐกิจที่มี rule of law เข้มแข็งกว่า เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วม ขณะที่ฝั่งเม็กซิโกเผชิญกับการคอร์รัปชัน ความไร้เสถียรภาพ และโครงสร้างอำนาจที่กดขี่
• เกาหลีเหนือ vs เกาหลีใต้:
จุดเริ่มต้นเหมือนกัน แต่วันนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะสถาบันการเมืองและเศรษฐกิจต่างกันโดยสิ้นเชิง
• โคลอมเบีย vs คอสตาริกา:
โคลอมเบียติดกับดักความรุนแรงและคอร์รัปชัน ขณะที่คอสตาริกาสร้างสถาบันประชาธิปไตยและการศึกษาที่มั่นคง
• บอตสวานา vs ซิมบับเว:
สองประเทศในแอฟริกาที่ตัดสินใจคนละเส้นทาง บอตสวานามีการบริหารจัดการโปร่งใส ส่วนซิมบับเวพังทลายเพราะคอร์รัปชันและการกดขี่
📍บทสรุปสำคัญของหนังสือ:
เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อสถาบันการเมืองและเศรษฐกิจทำงานเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เพื่อชนชั้นนำกลุ่มเล็ก ๆ ประเทศที่ไม่กล้าปฏิรูปสถาบัน แม้จะดูแข็งแรงในบางช่วงเวลา สุดท้ายจะเจอกับจุดตันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
และเมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย — สัญญาณอันตรายหลายอย่างที่หนังสือเล่มนี้เตือน เรา “กำลังเห็นกับตา” อยู่แล้ว:
• ระบบการเลือกตั้งที่ ประชาชนเริ่มรู้สึกว่า “ไม่ matter”
• การแทรกแซงอำนาจตุลาการ จนความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมสั่นคลอน
• วัฒนธรรมที่ “คนทำผิดไม่ต้องรับผิด” และการใช้กฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้อง
และนี่คือตัวเลขล่าสุดที่ตอกย้ำว่าเรากำลังเผชิญกับอะไร:
• Rule of Law Index 2024 (World Justice Project):
ไทยอยู่อันดับ 78 จาก 142 ประเทศ ต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์
• Corruption Perceptions Index 2024 (Transparency International):
ไทยได้คะแนน 36/100 อยู่อันดับ 107 จาก 180 ประเทศ สะท้อนปัญหาคอร์รัปชันเรื้อรัง
• Democracy Index 2024 (The Economist Intelligence Unit):
ไทยถูกจัดเป็น “ระบอบประชาธิปไตยที่มีข้อบกพร่อง” (Flawed Democracy) อยู่อันดับ 63 จาก 167 ประเทศ
ทุกตัวชี้วัดเลวร้ายลงเรื่อยๆ
นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า หากไทยไม่เร่งปฏิรูปสถาบันหลัก ๆ โดยเฉพาะ rule of law, คอร์รัปชั่น และประชาธิปไตย เราอาจไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกต แต่จะกลายเป็น “กรณีศึกษา” ที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือ Why Nations Fail ในอนาคต
ช่วยกันก่อนทุกอย่างจะสายเกินไปเถอะครับ

คัดลอกจาก Pipat Luengnaruemitchai
https://www.facebook.com/photo?fbid=10162488095145700&set=a.38477680699

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น