ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ความรักมักเปลี่ยนแปลง : กาพย์ยานี๑๑

                                   

“มาร์ค หลิน” ผู้ก่อตั้งบริษัทจัดหาคู่ได้ชี้แจงว่า บริษัทได้แนะนำผู้หญิงให้กับนายหวังมากกว่า 20 คน ซึ่งมากกว่าลูกค้าทั่วไป เฉลี่ยนัดเจอหญิงสาวเพียง 1-2 คน และยืนยันว่าพวกเขาทำเต็มที่แล้วในการช่วยนายหวัง
“ทุกครั้งที่ผู้หญิงตกลงแต่งงานกับเขา เขาจะสงสัยว่าเธอหวังเงินของเขาหรือเปล่า” มาร์ค กล่าว
ด้านนายหวังยอมรับว่า เขาได้นัดเจอผู้หญิงมากกว่า 20 คนจริง แต่แย้งว่าผู้หญิงที่แนะนำมาล้วนมีปัญหา และเขาต้องระมัดระวังตัวเพราะการแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต
“ผมกังวลว่าพวกเธออาจจะปกปิดอะไรบางอย่าง และจะมีปัญหาตามมามากมายหลังแต่งงาน” นายหวังกล่าว...
 อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_9634254



  

                    ภาพสะเทือนอารมณ์ ชายชรานั่งกินอาหารอย่างเดียวดายกับเถ้าอัฐิภรรยาในวันวาเลนไทน์ 7 ก.พ. 2561

เดลีเมล์รายงานเรื่องราวจากหญิงคนหนึ่ง ที่ไปเห็นภาพน่าสะเทือนใจของชายชราที่นั่งร้องไห้อยู่ลำพัง ในร้านอาหารที่เมืองคอร์ปัส คริสตี รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันวาเลนไทน์ เมื่อสังเกตไปที่โต๊ะเห็นที่นั่งฝั่งตรงข้ามเป็นขวดใส่เถ้าอัฐิภรรยาที่จากไป และมีแก้วไวน์วางไว้ด้านหน้าด้วย เสมือนว่าภรรยายังมีชีวิตนั่งอยู่ด้วย

“ฉันเห็นภาพวันนี้ที่ทำให้ฉันคิดได้ว่า บางทีเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้พูดกัน ไม่ได้ห่วงใย หรือเล่น หรือแม้แต่ทะเลาะกัน ภาพๆ นี้บอกด้วยเสียงอันดังว่า มันอาจทำให้หัวใจคุณเจ็บปวดเหมือนที่ฉันเป็นก็ได้” แชดสิดี กวาลนีย์ หญิงที่บันทึกภาพดังกล่าวและแชร์ในเฟซบุ๊ก เพื่อเตือนให้ทุกคนใส่ใจคนรอบข้าง ก่อนที่จะเสียโอกาสไป

“เราอาจจะไม่ได้สังเกตเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากนักสำหรับคนพิเศษของเรา ผู้ชายคนนี้ใช้เวลาวันวาเลนไทน์ตามลำพัง เขามองไปเหมือนว่าภรรยาของเขายังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ความรักที่เขามีให้ภรรยาแข็งแกร่งมากขณะที่เขานำอัฐิมาด้วย”

https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_758385

ความรักมักเปลี่ยนแปลง กาพย์ยานี๑๑

    แมงเม่า(มด) บินเข้าใกล้...........................เล่นดวงไฟ ไร้กังขา
ไม่มี แสงสุริยา(มีแต่แสงไฟฟ้า)...................(มิ)ใช่ทิวา แต่(เป็น)ราตรี
                                                             
    (เป็น)สัญญาณ คิมหันต์(เริ่ม)เข้า................เหมันต์เล่า รอหลีกลี้
วนเวียน เปลี่ยน(แปลง)ทุกปี.......................(เป็น)สัจจ์วิถี นิรันดร

    ข่าวสาร ละลานตา...................................เตือนชีวา อุทาหรณ์
ผู้ใคร่ (ความ)ไม่เดือดร้อน...........................พึงสังวร รู้เท่าทัน

    (ความเป็น)ธรรมดา โลกานี้........................จะไม่มี ที่เปลี่ยนผัน
                      (การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง เป็นความจริงที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง)
(ความ)เปลี่ยนแปลง (คือ)แรงสามัญ..............อันเกี่ยวข้อง ทุกช่องทาง

    (ความ)รักใคร่ ก็ไม่เว้น..............................เปลี่ยนแปลงเห็น เป็นต่างๆ
รักแจ้ว แล้วจืดจางฯลฯ................................ความอ้างว้าง เกิดกลางใจ

    (ยึดติด)ครอบงำ ในความรัก.......................ยึดเป็นหลัก ชีพผลักไส(สิ่งสำคัญของชีวิต)
เมื่อเกิด (การ)เปลี่ยนแปลงไป.......................ย่อมทำให้ ไม่ปล่อยวาง(ทำใจได้ยาก)

    (ความ)รักปลูก ความสุขให้........................(และสร้าง)ความทุกข์ไซร้ มิไกลห่าง
รักเร้น เป็นหนทาง......................................ที่ผู้ย่าง(ผ่าน) ร้างมลทิน
  
    สิ่งที่ มีคุณค่า..........................................ในโลกา(มีมากมาย) ล้วนน่าถวิล
แม้รัก พลัดพรากภินท์..................................ใช่จะสิ้น สุขจินดา
      (ภินท์=แตกหัก,ทำลาย)                                      (จินดา=ความนึกคิด)

๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

๘. สัลลสูตร
ว่าด้วยลูกศรคือกิเลส
(พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระสูตรนี้แก่อุบาสกคนหนึ่งผู้โศกเศร้าเพราะบุตรตาย ด้วยพระคาถาดังนี้) [๕๘๐] ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีนิมิตใครๆ รู้ไม่ได้ ทั้งลำบาก สั้นนิดเดียว และประกอบด้วยทุกข์ [๕๘๑] วิธีที่สัตว์ผู้เกิดมาแล้วจะไม่ตายย่อมไม่มี แม้จะอยู่ไปจนถึงชรา ก็จะต้องถึงแก่ความตาย เพราะสัตว์ทั้งหลายมีความตายอย่างนี้เป็นธรรมดา [๕๘๒] สัตว์ที่เกิดมาแล้ว มีภัยจากความตายเป็นนิตย์ เหมือนผลไม้สุกแล้วมีภัยจากการหล่นไปในเวลาเช้า ฉะนั้น [๕๘๓] ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำไว้ทั้งหมด มีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็เป็นฉันนั้น
             [๕๘๔] มนุษย์ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ โง่ และฉลาด ทั้งหมด
                       ย่อมไปสู่อำนาจความตาย มีความตายรออยู่ข้างหน้า
             [๕๘๕] เมื่อมนุษย์เหล่านั้นถูกความตายครอบงำอยู่
                       กำลังจะจากโลกนี้ไปสู่ปรโลก
                       บิดาก็ต้านทานบุตรไว้ไม่ได้
                       หรือหมู่ญาติก็ต้านทานญาติไว้ไม่ได้
             [๕๘๖] เมื่อพวกญาติ กำลังเพ่งมองดูอยู่
                       รำพันกันเป็นอันมากอยู่นั่นแหละว่า จงดูสัตว์แต่ละตนๆ
                       ถูกความตายนำไป เหมือนโคถูกนำไปฆ่า ฉะนั้น
             [๕๘๗] สัตว์โลกถูกความแก่และความตายครอบงำอยู่อย่างนี้
                       เพราะฉะนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายทราบชัด
                       ความเป็นจริงของสัตว์โลกแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก
             [๕๘๘] ท่านไม่รู้ทางของผู้มาหรือผู้ไป
                       เมื่อไม่เห็นที่สุดทั้ง ๒ นี้ ถึงจะคร่ำครวญไปก็ไร้ประโยชน์
             [๕๘๙] หากผู้ที่หลงคร่ำครวญ เบียดเบียนตนอยู่
                       จะพึงนำประโยชน์อะไรมาได้บ้าง
                       บัณฑิตผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์ก็จะพึงกระทำเช่นนั้นบ้าง
             [๕๙๐] บุคคลจะได้รับความสงบใจ เพราะการร้องไห้
                       เพราะความเศร้าโศกก็หาไม่
                       ทุกข์ย่อมเกิดแก่ผู้นั้นยิ่งขึ้น
                       และร่างกายของเขามีแต่จะซีดเซียวลง
             [๕๙๑] ผู้ที่เบียดเบียนตนเอง ย่อมจะซูบผอม ไม่ผ่องใส
                       สัตว์ทั้งหลายผู้ละไปสู่ปรโลก
                       หาคุ้มครองตนอยู่ด้วยการคร่ำครวญนั้นได้ไม่
                       ฉะนั้น การคร่ำครวญจึงเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์
             [๕๙๒] ผู้ทอดถอนใจถึงคนที่ตายไปแล้วอยู่เสมอ
                       บรรเทาความเศร้าโศกไม่ได้
                       ตกอยู่ในอำนาจแห่งความเศร้าโศก
                       ย่อมได้รับทุกข์มากขึ้น
             [๕๙๓] ท่านจงดูแม้คนเหล่าอื่นผู้ใกล้จะตายไปตามกรรม
                       และสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ผู้ตกอยู่ในอำนาจมัจจุราช
                       ต่างพากันดิ้นรนอยู่ทั้งนั้น
             [๕๙๔] อาการใดๆ ที่สัตว์ทั้งหลายสำคัญหมาย
                       อาการนั้นๆ ย่อมแปรผันเป็นอื่นไป
                       การพลัดพรากจากกันและกันเช่นนี้ มีอยู่เป็นประจำ
                       ท่านจงพิจารณาดูความเป็นจริงของสัตว์โลกเถิด
             [๕๙๕] บุคคลแม้จะดำรงชีวิตอยู่ถึง ๑๐๐ ปี
                       หรือเกินไปบ้างก็ตาม ก็ต้องพลัดพรากจากหมู่ญาติ
                       และต้องละทิ้งชีวิตไว้ในโลกนี้แน่นอน
             [๕๙๖] เพราะฉะนั้น บุคคลฟังธรรมเทศนาของพระอรหันต์แล้ว
                       เห็นคนล่วงลับดับชีวิตไป กำหนดรู้ว่าผู้ล่วงลับดับชีวิตไปนั้น
                       ไม่สามารถฟื้นคืนชีวิตอยู่ร่วมกับเราได้อีก
                       ควรกำจัดความคร่ำครวญ
             [๕๙๗] ธีรชนผู้มีปัญญา ฉลาดปราชญ์เปรื่อง
                       ควรขจัดความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน
                       เหมือนลมพัดนุ่นปลิวไป
                       เหมือนคนใช้น้ำดับไฟที่กำลังไหม้ลุกลาม ฉะนั้น
             [๕๙๘] บุคคลผู้แสวงหาความสุขแก่ตน
                       ควรกำจัดความคร่ำครวญ ความทะยานอยาก
                       และโทมนัสของตน
                       ควรถอนลูกศรคือกิเลสของตน
             [๕๙๙] บุคคลผู้ถอนลูกศรคือกิเลสได้แล้ว
                       เป็นผู้ไม่มีตัณหาและทิฏฐิอาศัย
                       ถึงความสงบใจ ล่วงพ้นความเศร้าโศกได้ทั้งหมด
                       ไม่มีความเศร้าโศก ชื่อว่าดับกิเลสได้แล้ว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น