ผลงานของชายคนหนึ่งซึ่งนอกจากตามหลักสูตรของโรงเรียนแล้ว ต้องเรียนรู้ศึกษาหาความรู้เอง ทั้งหลักธรรมและการประพันธ์ ชอบคิด-วิเคราะห์-สรุปบทเรียนใหม่เป็นประจำ แล้วบันทึกไว้เป็นบทกวีเพราะมิเช่นนั้นจะลืมบทเรียนเก่า คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง จึงโพสต์สู่สื่อสาธารณะ
ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้
วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เจอมรสุม! "ChatGPT" ถูกฟ้อง 7 คดี มีส่วนทำให้ผู้ใช้เสียชีวิต | การตลาดเง...
วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568
หมอเตือน ข้อควรระวัง! สูดยาดมปนเปื้อน ‘สารจุลินทรีย์’ อาจทำให้หลอดลม-ปอดอักเสบได้
หมอเตือน ข้อควรระวัง! สูดยาดมปนเปื้อน ‘สารจุลินทรีย์’ อาจทำให้หลอดลม-ปอดอักเสบได้
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. “รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล” ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประกาศผลการตรวจวิเคราะห์ยาดมสมุนไพรยี่ห้อดัง พบการปนเปื้อนสารจุลินทรีย์ จะมีผลกระทบกับร่างกายอย่างไร ว่า เรื่องนี้ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.ปริมาณที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายมากน้อยแค่ไหน เพราะปกติคนเราหายใจก็มีการเอาเชื้อโรคเข้าไปทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าปริมาณเชื้อโรคไม่เยอะ และร่างกายคนเราปกติดี ภูมิคุ้มกันโรคดี ก็สามารถกำจัดเชื้อได้ ไม่ก่อโรคอะไร 2.หากรับชื้อเข้าสู่ร่างกายเยอะ แล้วยังมีร่างกายไม่แข็งแรง เช่น ป่วยเบาหวาน เป็นโรคไตเรื้อรัง คนกินยากดภูมิ เมื่อรับเชื้อเยอะก็อาจจะทำให้หลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบได้ 3.เชื้อไม่เยอะ แต่หากคนที่รับเชื้อร่างกายไม่แข็งแรง ภูมิคุ้มกันโรคต่ำมาก ๆ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี คนเปลี่ยนถ่าย ปลูกถ่ายอวัยวะมา หรือ เป็นมะเร็งต้องให้เคมีบำบัดที่ได้ยากดภูมิฯ เยอะ ต่อให้รับเชื้อเข้าไปไม่เยอะ ก็อาจจะเป็นอันตรายได้
นอกจากนี้ เมื่อถามว่า คนไทยมีพฤติกรรมสูดดมยาดมตลอดเวลา ถือว่ามีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากเชื้อจุลินทรีย์ระดับใด รศ.นพ.นิธิพัฒน์ กล่าวว่า “กรณีเช่นนี้ก็จะเพิ่มโอกาสรับเชื้อ ถ้าร่างกายแข็งแรงดี สูดครั้งหนึ่ง ไม่ได้สูดหนักๆ ติดกันหลายครั้ง เช่น 1 ชั่วโมงสูดดมไม่แรง ครั้ง สองครั้งก็ไม่มีความเสี่ยง ซึ่งก็ต้องไปดูองค์ประกอบ 3 ข้อที่ว่านั้น แต่โดยธรรมชาติ ยาดม ยาหม่อง จะมีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของเชื้อโรคอยู่แล้ว จะเกิดก็ต่อเมื่อมีการเก็บรักษาไม่ดี ทำให้มีการปนเปื้อน จมูกสกปรก สูดดมแล้วเอาฝาปิดเลย เชื้อโรคก็คาอยู่อย่างนั้น”
เมื่อถามต่อว่า ถ้ามีการใช้ผลิตภัณฑ์มาเป็นเวลานาน แล้วมีความกังวลจะสามารถสังเกตตัวอย่างไรได้บ้าง รศ.นพ.นิธิพัฒน์ กล่าวว่า “เบื้องต้นต้องมีการสังเกตตัวเองว่า จมูกเราสกปรกหรือไม่ เมื่อสูดดมยาดมแล้วควรทำความสะอาดแล้วค่อยปิดฝา เมื่อเปิดใช้อีก ก็ควรจะสังเกตว่ามีสี มีกลิ่นผิดปกติหรือไม่ รอบๆ ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ไม่ควรใช้ยาดดมค้างปี โดยทั่วไป ยาดมหลังเปิดใช้แล้ว ก็ไม่ควรใช้เกิน 3 เดือน”
อย่างไรก็ตาม “การใช้ยาดม ยาหม่อง เครื่องสูดหอมต่างๆ 1.ใช้เมื่อเท่าที่จำเป็น เวลาไปพื้นที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หรือเวลาคัดจมูกนิดหน่อย อย่าใช้พร่ำเพรื่อ เพราะจริงๆ แล้วสารเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเชื้อโรคก็ก่อให้เกิดอันตรายได้ 2.ถ้ายาดมสกปรกก็ไม่ควรใช้ หลังเปิดใช้นานแล้วก็ไม่ควรใช้ต่อ อย่าไปเสียดาย 3.ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันผิดปกติ ก็ต้องระมัดระวังว่าจะมีการติดเชื้อขึ้นมาได้” รศ.นพ.นิธิพัฒน์ กล่าว...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/5247620/
อย. เตือน ยาดมผสมสมุนไพร ตราหงส์ไทย สูตร 2 ตรวจพบ ผิดมาตรฐาน ปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์
อย. ประกาศผลตรวจ ยาดมยี่ห้อดัง สูตร 2 พบผิดมาตรฐาน ปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ ล็อต 000332 เตือนผู้บริโภคเลือกซื้อ
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เว็บไซต์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เผยแพร่ ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่องผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์สมุนไพร (ยาดมผสมสมุนไพร ตราหงส์ไทย สูตร 2 เลขทะเบียนที่ G 309/62) ความว่า
ด้วยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยาดมผสม สมุนไพร ตราหงส์ไทย สูตร 2 เลขทะเบียนที่ G 309/62 จากสถานที่ผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพร หงส์ไทยพาณิชย์ ส่งตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
รายงานผลการตรวจวิเคราะห์ปรากฏว่า เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผิดมาตรฐาน ในรายการทดสอบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ Total Aerobic Microbial Count, Total Combined Yeasts and Mould Count waw Clostridium spp. ตามประกาศกระทรวงสาธาธารณสุข เรื่อง เกณฑ์มาตรฐาน ค่าความบริสุทธิ์ หรือคุณลักษณะอื่นอันมีความสำคัญต่อคุณภาพ สำหรับตำรับผลิตภัณฑ์ สมุนไพรที่ขึ้นทะเบียน แจ้งรายละเอียด หรือจดแจ้ง พ.ศ.2564
ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค จึงเห็นควรประกาศผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้ประชาชนทราบ ทั้งนี้ ในเอกสารระบุข้อมูล รุ่นการผลิต 000332 วันที่ผลิต 09 ธ.ค.2567 (09/12/2024) วันที่สิ้นอายุ 08 ธ.ค.2570 (08/12/2027)
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 65 (2) แห่งพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงประกาศผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้ประชาชนทราบ ดังนี้
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรผิดมาตรฐานตามมาตรา 60 (2) โดยผู้ใดผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรผิดมาตรธาน อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 58 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา 103 และผู้ใดขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรผิดมาตรฐานอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 58 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 108 แห่งพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562
จึงขอประกาศให้ประชาชนระมัดระวังในการซื้อหรือบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าว ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิดต่อไป
ประกาศ ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2568... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_5430635
วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568
เสพติดความสุขใหม่ๆ ทำให้ทุกข์ : กลอนคติสอนใจ
เสพติดความสุขใหม่ๆ ทำให้ทุกข์ : กลอนคติสอนใจ
วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568
เวลาเป็น"ทุนชีวิต" : กลอนคติเตือนใจ
เวลาเป็น"ทุนชีวิต" : กลอนคติเตือนใจ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต คาถาธรรมบท อัปปมาทวรรคที่ ๒ [๑๒] ความไม่ประมาท เป็นทางเครื่องถึงอมตนิพพาน ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย ชนผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย ชน เหล่าใดประมาทแล้วย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้ว บัณฑิต ทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทราบเหตุนั่นโดยความ แปลกกันแล้ว ย่อมบันเทิงในความไม่ประมาท ยินดีแล้ว ในธรรมอันเป็นโคจรของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านเหล่านั้น เป็นนักปราชญ์ เพ่งพินิจ มีความเพียรเป็นไปติดต่อ มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ ย่อมถูกต้องนิพพานอันเกษมจาก โยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ยศย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มี ความหมั่น มีสติ มีการงานอันสะอาด ผู้ใคร่ครวญแล้วจึงทำ ผู้สำรวมระวัง ผู้เป็นอยู่โดยธรรม และผู้ไม่ประมาท ผู้มี ปัญญาพึงทำที่พึ่งที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้ ด้วยความหมั่น ความไม่ประมาท ความสำรวมระวัง และความฝึกตน ชน ทั้งหลายผู้เป็นพาลมีปัญญาทราม ย่อมประกอบตามความ ประมาท ส่วนนักปราชญ์ย่อมรักษาความไม่ประมาท เหมือน ทรัพย์อันประเสริฐสุด ...........
วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568
อย่าเกลียดความทุกข์ อย่ารักความสุขสบาย : กลอนคติเตือนใจ
อย่าเกลียดความทุกข์ อย่ารักความสุขสบาย : กลอนคติเตือนใจ
๘. มหาลิสูตร ว่าด้วยเหตุปัจจัยแห่งความบริสุทธิ์ ม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหตุปัจจัยเพื่อความเศร้าหมองของสัตว์เป็นไฉน? สัตว์ ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย ย่อมเศร้าหมองอย่างไร? พ. ดูกรมหาลิ ก็หากรูปนี้ จะเป็นทุกข์ถ่ายเดียว รังแต่ทุกข์ตามสนอง หยั่งลงสู่ความ ทุกข์ มิได้ประกอบด้วยสุขบ้างแล้ว สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่พึงกำหนัดในรูป. ก็เพราะรูปเป็นสุข สุขตามสนอง หยั่งลงสู่ความสุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์เสมอไป ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย จึง กำหนัดในรูป เพราะกำหนัด จึงถูกประกอบเข้าไว้ เพราะถูกประกอบ จึงเศร้าหมอง ดูกรมหาลิ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองของสัตว์. สัตว์ทั้งหลาย มีเหตุ มีปัจจัย จึงเศร้าหมอง แม้ด้วยอาการอย่างนี้. ดูกรมหาลิ ก็หากเวทนานี้ เป็นทุกข์ถ่ายเดียว ฯลฯ ก็หาก สัญญานี้ เป็นทุกข์ถ่ายเดียว ฯลฯ ก็หากสังขารนี้ เป็นทุกข์ถ่ายเดียว ฯลฯ ก็หากวิญญาณนี้ เป็นทุกข์ถ่ายเดียว รังแต่ทุกข์ตามสนอง หยั่งลงสู่ความทุกข์ มิได้ประกอบด้วยสุขบ้างแล้ว สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่พึงกำหนัดในวิญญาณ. ก็เพราะวิญญาณเป็นสุข สุขตามสนอง หยั่งลง สู่ความสุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์เสมอไป ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย จึงกำหนัดในวิญญาณ เพราะ กำหนัด จึงถูกประกอบเข้าไว้ เพราะถูกประกอบ จึงเศร้าหมอง. ดูกรมหาลิ แม้ข้อนี้แล ก็ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองของสัตว์. สัตว์ทั้งหลาย มีเหตุ มีปัจจัย จึงเศร้าหมอง แม้ด้วยอาการอย่างนี้. [๑๓๒] ม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ส่วนเหตุปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์เป็น ไฉน? สัตว์ทั้งหลาย มีเหตุ มีปัจจัย ย่อมบริสุทธิ์ได้อย่างไร? พ. ดูกรมหาลิ ก็หากว่ารูปนี้ จักเป็นสุขถ่ายเดียว สุขตามสนอง หยั่งลงสู่ความสุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์บ้างแล้ว สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่พึงเบื่อหน่ายในรูป. ก็เพราะรูปเป็นทุกข์ ทุกข์ตามสนอง หยั่งลงสู่ความทุกข์ มิได้ประกอบด้วยสุขเสมอไป ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย จึง เบื่อหน่ายในรูป เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงบริสุทธิ์. แม้ข้อนี้แล ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์. สัตว์ทั้งหลาย มีเหตุ มีปัจจัย จึงบริสุทธิ์ แม้ด้วยอาการอย่างนี้. ดูกรมหาลิ ก็หากว่าเวทนาเป็นสุขถ่ายเดียว ฯลฯ สัญญาเป็นสุขถ่ายเดียว ฯลฯ สังขารเป็นสุขถ่ายเดียว ฯลฯ วิญญาณเป็นสุขถ่ายเดียว สุขตามสนอง หยั่งลงสู่ ความสุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์บ้างแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่พึงเบื่อหน่ายในวิญญาณ. ก็เพราะวิญญาณเป็นทุกข์ ทุกข์ตามสนอง หยั่งลงสู่ความทุกข์ มิได้ ประกอบด้วยสุขเสมอไป ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย จึงเบื่อหน่ายในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลาย กำหนัด จึงบริสุทธิ์ แม้ข้อนี้แล ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์. สัตว์ ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย จึงบริสุทธิ์ แม้ด้วยอาการอย่างนี้.
1. ฉันทะ (ความพอใจ คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้นไป)
2. วิริยะ (ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย )
3. จิตตะ (ความคิดมุ่งไป คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำและทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป อุทิศตัวอุทิศใจให้แก่สิ่งที่ทำ)
4. วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผลและตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น)
วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ลัทธิ"ไม่ยึดมั่น-ไม่เป็นทุกข์" : กาพย์ยานี๑๑
ลัทธิ"ไม่ยึดมั่น-ไม่เป็นทุกข์" : กาพย์ยานี๑๑
[๙๐] ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีพุทธเจ้าทรงแสดงปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์ ที่กรุงพันธุมดีราชธานีนั้นดังนี้ ‘ความอดทนคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า นิพพานเป็นบรมธรรม ผู้ทำร้ายผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผู้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
การไม่กล่าวร้ายผู้อื่น
การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ความสำรวมในปาติโมกข์
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร
การอยู่ในเสนาสนะที่สงัด
การประกอบความเพียรในอธิจิต
นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568
บุญเป็นสิ่งที่ต้องสั่งสมไว้ : โคลงสี่สุภาพ
วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568
เมืองไทยไร้แก่นสาร : กาพย์ยานี๑๑
เมืองไทยไร้แก่นสาร : กาพย์ยานี๑๑
๒. โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [๑๐๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่ พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร เป็น กุลุปกะของสกุลหนึ่ง รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น. เขาย่อมแบ่งส่วนไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เย็นวันหนึ่งในสกุลนั้นมีเนื้อเกิดขึ้น เขาจึง แบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เด็กของสกุลนั้นตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้อง อ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า. บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า จงให้ส่วนของพระแก่เด็ก เราจัก ซื้อของอื่นถวายท่าน. ครั้นแล้วเวลาเช้าท่านอุปนันทศากยบุตร นุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปสู่สกุลนั้น แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย. ทันใด บุรุษนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร กราบแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง, ได้กราบเรียนว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อเย็นวานนี้มีเนื้อเกิดขึ้น, ผมได้เก็บไว้ถวายพระคุณเจ้าส่วนหนึ่ง, จากนั้นเด็กคนนี้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืดร้องอ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า ผมจึงได้ให้เนื้อส่วนของ พระคุณเจ้าแก่เด็ก, พระคุณเจ้าจะให้ผมจัดหาอะไรมาถวายด้วยทรัพย์กหาปณะหนึ่ง ขอรับ. ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถามว่า เธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่งแก่เรา แล้วหรือ? บุ. ขอรับ ผมบริจาคแล้ว. อุ. เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา. บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ในทันใดนั้นเอง แล้วเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ รับรูปิยะเหมือนพวกเรา. ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระอุปนันทศากยบุตรจึงได้รับรูปิยะเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่า เธอรับรูปิยะจริงหรือ? ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.ทรงติเตียน พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ, ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า? การกระ ทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.ทรงบัญญัติสิกขาบท พระผู้มีพระภาค ทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้วตรัส โทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่ เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำ นาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุมีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบัง- *เกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง ไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ ๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568
สถาปนิกเยอรมัน 100 ปีก่อนชี้ คนไทยคิดว่า “ตัวเองสำคัญสุดในโลก” และต้อง “สนุก” ไว้ก่อน
คาร์ล ดอห์ริง (Karl Döhring) สถาปนิกชาวเยอรมัน (ภาพถ่ายไม่ระบุปี จาก The Country and People of Siam, 1999)
สถาปนิกเยอรมัน 100 ปีก่อนชี้ คนไทยคิดว่า “ตัวเองสำคัญสุดในโลก” และต้อง “สนุก” ไว้ก่อน
คาร์ล ดอห์ริง สถาปนิกหนุ่มเยอรมันที่เข้ามารับราชการในสยาม เมื่อ พ.ศ. 2449 เป็นหนึ่งในชาวต่างชาติที่เดินทางมาสยาม เขาได้บันทึกประสบการณ์และความรู้สึกที่เคยสัมผัสคนไทย ซึ่งมีทั้งแง่ชื่นชมและการตั้งข้อสงสัย
ในบรรดาสถาปนิกต่างชาติที่เข้ามารับราชการในไทย คาร์ล ดอห์ริง (Karl Döhring) ได้รับความไว้วางใจจากชนชั้นสูงและพระมหากษัตริย์ หลังจากมีโอกาสได้ทำงานในกรมศุขาภิบาล ใน พ.ศ. 2452 และในปีเดียวกัน เขาก็ได้รับมอบหมายงานสำคัญ 2 ชิ้น คือ การสร้างวังของพระองค์เจ้า ดิลกนพรัฐ และในเดือนกันยายนปี 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งดอห์ริงเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างพระราชวังใหม่ที่เพชรบุรี หรือในชื่อซึ่งรู้จักกันคือ พระราชวังบ้านปืน
พระราชวังบ้านปืน จังหวัดเพชรบุรีคาร์ล ดอห์ริง ยังได้รับงานสำคัญ อาทิ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มอบหมายให้สร้างวังสำหรับเป็นที่ประทับของพระมารดาของพระองค์ ใน พ.ศ. 2454 อย่างไรก็ตาม 2 ปีถัดมา คาร์ล ดอห์ริง ล้มป่วยและต้องเดินทางกลับเยอรมนีเพื่อรับการรักษา และไม่มีโอกาสเดินทางกลับประเทศไทยอีกเลย และเสียชีวิตใน พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941)
ดอห์ริงบันทึกประสบการณ์การทำงาน และเขียนตำราเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมและศิลปะในสยาม รวมถึงบันทึกเรื่องราวที่พบเห็นทั่วไปในหนังสือดั้งเดิมที่ชื่อ Siam, Land und Volk และถูกพิมพ์ใหม่ในชื่อ The Country and People of Siam มีเนื้อหาบรรยายลักษณะธรรมเนียม, ประเพณี, ศิลปะ และแง่มุมทางกฎหมายในสยาม
เนื้อหาส่วนหนึ่งบอกเล่าลักษณะนิสัยของประชากรสยามไว้อย่างน่าสนใจ เขาบรรยายว่า ธรรมชาติดั้งเดิมแล้วผู้คนในสยามเป็นคนที่ใจดีชื่นชมยินดีกับชาติของตัวเองอย่างมาก และคิดว่าพวกเขาเป็นคนที่สำคัญที่สุดในโลกใบนี้ ขณะที่อิทธิพลจากพุทธศาสนาที่เข้ามาในดินแดนนี้นานหลายร้อยปี ได้กล่อมเกลาให้คนสยามเป็นคนใจบุญ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ข้อความตอนหนึ่งระบุว่า
“…ในย่านชนบทที่อิทธิพลเชิงลบในเมืองใหญ่ยังเข้าไม่ถึงโดยเฉพาะในเมืองท่าของกรุงเทพฯที่ยังไม่ได้เปิดรับมากนัก พวกเขาเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ร้อนอกร้อนใจ ร่าเริง และเป็นมิตร ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความคิดมุ่งร้าย
อย่างไรก็ตาม พวกเขามีแนวโน้มไปทางเกียจคร้าน (ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์) อยู่บ้าง และมักชื่นชอบการละเล่น การละเล่นแบบใดก็ได้เป็นที่สนใจในหมู่ชาวสยามเสมอ…”
ลักษณที่โดดเด่นของชาวสยามในความคิดเห็นของ คาร์ล ดอห์ริง คือรูปแบบการทักทายกัน เมื่อเพื่อนพบหน้ากันจะทักทายกันด้วยประโยคอย่าง “สบายดีไหม” ตามมาด้วยถามทุกข์สุขว่า “ช่วงนี้สนุกไหม” ซึ่งคาร์ล เล่าว่า คำว่า “สนุก” นี้แทบเป็นคำที่มีความสำคัญมากที่สุดในภาษาที่ชาวสยามใช้ สื่อความหมายถึงความรื่นรมย์ ความพึงพอใจ ปิติยินดี
ส่วนคำที่ตรงข้ามกับ “สนุก” คือ “ลำบาก” เขามองว่า สิ่งที่คนยุโรปไม่ได้มองว่าลำบาก แทบทุกอย่างถูกชาวสยามจัดว่าเป็นสิ่ง “ลำบาก” ทั้งสิ้น อาทิ การทำงานเกินแรง หรืออะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปตามใจต้องการ แม้แต่การรอคอยบนท้องถนนก็ใช่ และเมื่อมีใครประสบ “ความลำบาก” ก็ไม่ใคร่จะปกปิดความนึกคิดสักเท่าไหร่
“…คนไทยพร้อมจะเล่นสนุกสนานกันตลอด ขณะที่เมื่อพบกับเรื่องที่ไม่เข้าทาง หรือโชคร้าย พวกเขายอมจำนนกันแล้ว และปล่อยเรื่องเหล่านี้ไปด้วยวลี ‘ไม่เป็นไร’…”
เรื่องนี้อาจมองเป็นเรื่องปกติทั่วไปในฐานะความคิดเห็นของชาวต่างชาติ แต่ถ้าย้อนกลับไปอ่านมุมมองของชาวต่างชาติที่เข้ามาในสยามตั้งแต่ 500 ปีก่อน ก็เป็นการผลิตซ้ำแบบเดิม มุมมองต่อชาวสยามเรื่องความเกียจคร้านก็ยังคงอยู่เสมอ
จำนง เทพหัสดิน ณ อยุธยา รวบรวมความคิดเห็นของชาวต่างชาติ 9 ราย ที่มาจาก 5 ชาติ ต่างมีมุมมองชาวไทยเรื่องความเกียจคร้าน
นายปินโต ชาวโปรตุเกส เข้ามาเป็นทหารรับจ้างอยู่ในกองทัพพระชัยราชาธิราช ในการทำสงครามกับรัฐเชียงใหม่ โดยนำปืนใหญ่ไปใช้รบครั้งแรกในเมืองไทย
นายเซาเตน ชาวฮอลันดา เข้ามาเป็นหัวหน้าสถานีการค้าฮอลันดาในรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม
นายวันวลิต เป็นหัวหน้าสถานีการค้าสืบจากนายเซาเตน เขาเขียนประวัติศาสตร์ไทย นับเป็นฉบับแรกของประเทศนี้
นายฟอร์บัง เป็นนายทหารฝรั่งเศส เข้ามารับราชการเป็นขุนนางไทย ได้ยศเป็นออกพระศักดิ์สงคราม คุมทหารที่ฝึกแบบยุโรป (มีปืนและหอกเป็นอาวุธ ประจำกาย) จำนวน 2,000 คน ที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ ธนบุรี
นายยอห์น ครอเฟิด คนไทยเรียก “กาลาผัด” เป็นทูตอังกฤษ มาในรัชกาลที่ 2 ของกรุงรัตนโกสินทร์ เขาเขียนรายงานไปยังรัฐบาลอังกฤษ เจาะลึกในทุกด้านของไทยเป็นจำนวน 183 หัวข้อ
นายคาร์ล กุตสลาฟ คนไทยเรียกว่า “หมอกิศลับ” ชาวเยอรมัน เป็นมิชชันนารีฝ่ายโปรเตสแตนต์คนแรก ที่เข้ามาเมืองไทย เขารู้ภาษาไทยขนาดทำพจนานุกรมอังกฤษ-ไทย เป็นฉบับแรก
นายมัลล้อก พ่อค้าอังกฤษ มาในรัชกาลที่ 4 เขามาสำรวจอย่างละเอียดในเรื่องทรัพยากร การค้า และเศรษฐกิจของเมืองไทย ตลอดทั้งความมั่นคงเป็นรายงานที่ยาวถึง 122 หน้า
นายมูโอต์ นักธรรมชาติวิทยา ชาวฝรั่งเศส เข้ามาในรัชกาลที่ 4 เขาใช้เวลา 3 ปี สำรวจภูมิประเทศและการดำรงชีวิตของคนไทย
เซอร์เฮนรี นอร์แมน เป็นขุนนางอังกฤษ เข้ามาในรัชกาลที่ 5
หรือแม้แต่ชนชั้นสูงในประเทศเองก็ยังมองว่า ลักษณะนิสัยของคนไทยเป็นคนเกียจคร้าน หลวงวิจิตรวาทการ ปาฐกถาทางวิทยุกระจายเสียง เรื่อง “มนุสสปฏิวัติ” พ.ศ. 2482 เนื้อหาตอนหนึ่งมีใจความว่า
“เรามีอะไรที่ถ่วงความก้าวหน้าของบ้านเมืองไว้ เรามีอะไรที่ทำให้เราสู้ต่างชาติไม่ได้ เรามีอะไรที่วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะเป็นภัยใหญ่หลวง ถึงกับสามารถจะทำให้ชาติไทยทั้งชาติล้มราบสาบสูญไปได้…ข้าพเจ้ามองเห็นอยู่เพียงอย่างเดียวในเวลานี้ คือการที่เราไม่ขยันขันแข็งพอ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าเราอ่อนแอในการทำงาน มีหนังสือฝรั่งหลายเล่มเมื่อเวลาพรรณนาถึงลักษณะของไทยเรามักอธิบายว่า ไทยเรานั้นมีลักษณะเกียจคร้าน”... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/history/article_23288
วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2568
มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ : กาพย์ฉบัง๑๖
Satao II ช้างป่าขนาดใหญ่วัย 50 ปีที่อาศัยอยู่ป่าประเทศเคนยา
Satao II ถือเป็นช้างป่าที่ถือว่าโดดเด่นมากที่สุดตัวหนึ่งของโลก มันเป็นช้างที่มีขนาดใหญ่
มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ : กาพย์ฉบัง๑๖





.jpg)
