กลอนธรรมะ กลอนคติชีวิต กลอนคติเตือนใจ กลอนคติสอนใจ กลอนสุภาษิต บทความจรรโลงใจ
ผลงานของชายคนหนึ่งซึ่งนอกจากตามหลักสูตรของโรงเรียนแล้ว ต้องเรียนรู้ศึกษาหาความรู้เอง ทั้งหลักธรรมและการประพันธ์ ชอบคิด-วิเคราะห์-สรุปบทเรียนใหม่เป็นประจำ แล้วบันทึกไว้เป็นบทกวีเพราะมิเช่นนั้นจะลืมบทเรียนเก่า คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง จึงโพสต์สู่สื่อสาธารณะ
ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน
สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้
วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2568
ผ้ากาสาวพัสตร์กับไฟ : กาพย์ยานี๑๑
คลิปจาก พะยูนนิวส์ Payoonnews(มีคลิปที่เกี่ยวข้องเยอะมาก)
ผ้ากาสาวพัสตร์กับไฟ : กาพย์ยานี๑๑
๏ เหนื่อยอ่อน ถอนหายใจ(เฮ้อ...).................เกิดอะไร(ขึ้น) กับ(พุทธ)ศาสนา?
ต่าง(กระ)ทำ ตาม(ใจ)อัตตา.....................มินำพา ธรรมวินัย
(คนที่อ้างตัวว่าเป็นพุทธบริษัททั้งนั้น)
๏ (พอจะ)เข้าใจ ในธรรมชาติ........................(แต่)หากตัดขาด(สัญชาตญาณ) หาได้ไม่
ก็ควร จะปลีกไป.....................................ใช้ชีวิต ตามทิศทาง(ที่ชอบ)
๏ ใยจึง (ยัง)พึ่ง(พิง)ศาสนา?........................เยี่ยงมรรคา มุสาสร้าง
อวดตน (เป็น)คนสะอาง...........................แต่(ประพฤติ)ด่างพร้อย ด้อยมโนธรรม
(สะอาง=งามสะอาดหมดจด) (ทำตัวเหมือนคนไร้สามัญสำนึก)
๏ นารี มีฤทธิ์ร้าย.........................................พระมากมาย ปล่อยใจถลำ
ใกล้ชิด สนิทประจำ.................................ย่อมกำสรด หมดเสรี
(กำสรด=สลด, เศร้าโศก, ร้องไห้, เศร้าหมอง)
๏ (เปรียบเสมือน)ผ้าวาง อยู่ข้างไฟ..................แม้นหลงใหล บ่ย้ายหนี
(ย่อม)ถูกเผา เศร้าโศกี.............................เป็นธุลี นิราลัย(นิราลัย=ไม่มีที่อยู่)
๏ เงินตรา+นารี(จงอยู่ให้)ห่าง.........................คือหนทาง สว่างไสว
(เพื่อ)เดินตาม ธรรมวินัย...........................สัมฤทธิ์(ผล)ได้ ไร้มลทิน
๏ โลกุต ตรธรรม...........................................ต้องก้าวล้ำ(ข้าม) กามคุณ(ทั้ง)สิ้น
หาใช่ ให้ชาชิน........................................ดีแต่กล่าว ให้เขาฟัง
(ดีแต่สอน-กล่าวหาคนอื่น แต่ตัวเองก็ทำตัวไม่ต่างจากเขา)
๏ หยุดไพร่ ให้เงินพระ....................................แม้นพุทธะ ศาสนะหวัง
ธรรมวินัย ให้เชื่อฟัง..................................(จะ)รังรองเลิศ บรรเจิดเอยฯ
(รังรอง=สว่าง, สุกใส, เรืองรอง, งดงาม, รุ่งเรือง, รุ่งโรจน์)
๑๗ กันยายน ๒๕๖๘
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
ภยสูตรที่ ๒ [๑๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้ คนผู้ลงน้ำจะพึงหวังได้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ภัยคือคลื่น ๑ ภัยคือจระเข้ ๑ ภัยคือน้ำวน ๑ ภัย คือปลาฉลาม ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้แล คนผู้ลงน้ำพึงหวังได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้ กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ผู้ออกบวชเป็น บรรพชิตด้วยศรัทธา ในธรรมวินัยนี้พึงหวังได้ ฉันนั้นเหมือนกันแล ๔ ประการ เป็นไฉน คือ ภัยคือคลื่น ๑ ภัยคือจระเข้ ๑ ภัยคือน้ำวน ๑ ภัยคือปลาฉลาม ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือคลื่นเป็นไฉน กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ออกบวชเป็น บรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เราถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉนการกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ เธอบวชอย่างนั้นแล้ว เพื่อนสพรหมจารีตักเตือน สั่งสอนว่า ท่านพึงก้าวไปอย่างนี้ พึงถอยกลับอย่างนี้ พึงแลดูอย่างนี้ พึงเหลียวดูอย่างนี้ พึงคู้เข้าอย่างนี้ พึงเหยียดออกอย่างนี้ พึงทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวรอย่างนี้ เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ มีแต่จะตักเตือนสั่งสอนผู้อื่น ก็ภิกษุเหล่านี้คราวลูกคราวหลานของเรา สำคัญเราว่า ควรตักเตือนสั่งสอน เธอโกรธเคืองแค้นใจ บอกคืนสิกขาลาเพศ ภิกษุนี้เรียกว่า เป็นผู้กลัวต่อภัยคือคลื่น บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือคลื่นนี้ เป็นชื่อแห่งความโกรธและความแค้นใจ นี้เรียกว่าภัยคือคลื่น ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือจระเข้เป็นไฉน กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เราถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์ เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ เธอบวชอย่างนั้นแล้ว เพื่อนสพรหมจารีตักเตือนสั่งสอนว่า สิ่งนี้เธอควรเคี้ยว สิ่งนี้ไม่ควรเคี้ยว สิ่งนี้ควรบริโภค สิ่งนี้ไม่ควรบริโภค สิ่งนี้ควรลิ้ม สิ่งนี้ ไม่ควรลิ้ม สิ่งนี้ควรดื่ม สิ่งนี้ไม่ควรดื่ม ของเป็นกัปปิยะเธอควรเคี้ยว ของเป็น อกัปปิยะเธอไม่ควรเคี้ยว ของเป็นกัปปิยะเธอควรบริโภค ของเป็นอกัปปิยะเธอ ไม่ควรบริโภค ของเป็นกัปปิยะเธอควรลิ้ม ของเป็นอกัปปิยะเธอไม่ควรลิ้ม ของเป็นกัปปิยะเธอควรดื่ม ของเป็นอกัปปิยะเธอไม่ควรดื่ม เธอควรเคี้ยวในกาล เธอไม่ควรเคี้ยวในวิกาล เธอควรบริโภคในกาล เธอไม่ควรบริโภคในวิกาล เธอ ควรลิ้มในกาล เธอไม่ควรลิ้มในวิกาล เธอควรดื่มในกาล เธอไม่ควรดื่มในวิกาล เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนาสิ่งใดก็เคี้ยวสิ่งนั้น ไม่ ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่เคี้ยวสิ่งนั้น ปรารถนาสิ่งใดก็บริโภคสิ่งนั้น ไม่ปรารถนา สิ่งใดก็ไม่บริโภคสิ่งนั้น ปรารถนาสิ่งใดก็ลิ้มสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ลิ้ม สิ่งนั้น ปรารถนาสิ่งใดก็ดื่มสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ดื่มสิ่งนั้น ย่อมเคี้ยว สิ่งที่เป็นกัปปิยะบ้าง สิ่งที่เป็นอกัปปิยะบ้าง ย่อมบริโภคสิ่งที่เป็นกัปปิยะบ้าง สิ่งที่ไม่เป็นอกัปปิยะบ้าง ย่อมลิ้มสิ่งที่เป็นกัปปิยะบ้าง สิ่งที่เป็นอกัปปิยะบ้าง ย่อมดื่มสิ่งที่เป็นกัปปิยะบ้าง สิ่งที่เป็นอกัปปิยะบ้าง ย่อมเคี้ยวในกาลบ้าง ใน วิกาลบ้าง ย่อมบริโภคในกาลบ้าง ในวิกาลบ้าง ย่อมลิ้มในกาลบ้าง ในวิกาลบ้าง ย่อมดื่มในกาลบ้าง ในวิกาลบ้าง คฤหบดีผู้มีศรัทธาย่อมถวายของควรเคี้ยว หรือ ของควรบริโภคแม้ใด อันประณีต ในกลางวัน ในเวลาวิกาลแก่เราทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้ ย่อมกระทำเสมือนหนึ่งปิดปากแม้ในของเหล่านั้น เธอโกรธเคือง แค้นใจ บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือจระเข้นี้แล เป็นชื่อ แห่งความเป็นผู้เห็นแก่ท้อง นี้เรียกว่าภัยคือจระเข้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือน้ำวนเป็นไฉน กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เราถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์ เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ เธอบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังบ้าน หรือนิคม ไม่รักษากาย วาจา ใจ ไม่ตั้งสติ ไม่สำรวมอินทรีย์ เธอเห็นคฤหบดี ในบ้านหรือนิคมนั้น เพรียบพร้อมบำเรอตนอยู่ด้วยกามคุณ ๕ เธอคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์เพรียบพร้อม บำเรอตนอยู่ด้วยกามคุณ ๕ ก็โภคสมบัติ ในสกุลของเรามีพร้อม เราอาจเพื่อจะบริโภคโภคะทั้งหลายและทำบุญได้ ถ้า กระไรเราพึงบอกคืนสิกขาลาเพศ แล้วบริโภคโภคะทั้งหลายและทำบุญเถิด เธอ ย่อมบอกคืนสิกขาลาเพศ ภิกษุนี้เรียกว่า กลัวต่อภัยคือน้ำวน บอกคืนสิกขา ลาเพศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือน้ำวนนี้ เป็นชื่อของกามคุณ ๕ นี้เรียกว่า ภัยคือน้ำวน ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยคือปลาฉลามเป็นไฉน กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่า เราถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์ เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ เธอบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังบ้าน หรือนิคม ไม่รักษากาย วาจา ใจ ไม่ตั้งสติ ไม่สำรวมอินทรีย์ เธอเห็นมาตุคาม ในบ้านหรือนิคมนั้น นุ่งไม่เรียบร้อย หรือห่มไม่เรียบร้อย ราคะย่อมรบกวนจิต ของเธอ เพราะเห็นมาตุคามนุ่งไม่เรียบร้อย หรือห่มไม่เรียบร้อย เธอมีจิต อันราคะรบกวน ย่อมบอกคืนสิกขาลาเพศ ภิกษุนี้เรียกว่า กลัวต่อภัย คือปลาฉลาม บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่า ภัยคือปลาฉลามนี้ เป็นชื่อของมาตุคาม นี้เรียกว่า ภัยคือปลาฉลาม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้แล กุลบุตรบางคนในโลกนี้ ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ใน ธรรมวินัยนี้ จะพึงหวังได้ ฯ
วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2568
ตำรวจพบ 9 คน เกี่ยวข้องข้อกล่าวหา “วัดนาป่าพง” ปมเงินวัดและสีกา | ข่าวค่...
อย่าให้เงินพระ-วัด เป็นวิธีป้องกันปัญหาที่ดีและง่ายที่สุด
วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)