ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568

"หยุดยิงจบ" แล้วไงต่อ? สันติภาพถาวร หรือแค่ละครสั้น | TNN ข่าวเที่ยง | 2...

โลกร้อนเสี่ยงแตะ 2.3 องศา ภายในปี 2040

 


โลกร้อนเสี่ยงแตะ 2.3 องศา ภายในปี 2040

ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนจากประเด็นเชิงนโยบายไปสู่ความเสี่ยงเชิงเศรษฐกิจที่จับต้องได้ โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศของ S&P Global Horizons ประเมินว่า มีโอกาสถึง 50% ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นเกิน 2.3 องศาเซลเซียสภายในปี 2040 หากแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงดำเนินต่อไปในทิศทางปัจจุบัน

ข้อมูลระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2025 อยู่ที่ระดับสูงกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.4 องศาเซลเซียส ใกล้แตะเพดาน 1.5 องศาเซลเซียสตามเป้าหมายความตกลงปารีส สภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นและผันผวนมากขึ้น ส่งผลให้เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน ภัยแล้ง พายุหมุนเขตร้อน และภัยธรรมชาติอื่น ๆ มีแนวโน้มเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น พร้อมต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นตามมา

ผลกระทบดังกล่าวเริ่มสะท้อนให้เห็นในหลายภูมิภาคทั่วโลก ภัยแล้งรุนแรงในอิหร่านได้สร้างความเสี่ยงต่อการใช้น้ำในกรุงเตหะราน และทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำลดลงเกือบหมด ขณะที่คลื่นความร้อนในยุโรป ซึ่งอุณหภูมิมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอีกหลายภูมิภาค กำลังเร่งการใช้เครื่องปรับอากาศอย่างรวดเร็ว ส่งแรงกดดันต่อระบบไฟฟ้าในประเทศที่การใช้ไฟฟ้าต่อหัวเคยอยู่ในระดับต่ำกว่าสหรัฐมาโดยตลอด

ต้นทุนจากภัยสภาพภูมิอากาศไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความเสียหายทางกายภาพ แต่ยังรวมถึงรายได้ที่สูญเสียจากการหยุดชะงักของธุรกิจ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมทรัพย์สิน และประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานที่ลดลง ผลกระทบสะสมเหล่านี้กำลังแปรเปลี่ยนเป็นต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นสำหรับภาคธุรกิจ โดยชุดข้อมูลด้านความเสี่ยงทางกายภาพของ S&P Global Horizons ประเมินว่า ในช่วงทศวรรษ 2030 บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ทั่วโลกอาจต้องเผชิญต้นทุนรวมจากความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเฉลี่ยราว 885,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

แม้ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้น แต่การประเมินความเสี่ยงและการวางแผนปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศยังคงถูกนำไปใช้ไม่ทั่วถึง ข้อมูลจาก S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) ชี้ว่า อุตสาหกรรมที่ถูกจับตามองด้านสภาพภูมิอากาศมาอย่างต่อเนื่อง และมีการดำเนินงานที่สัมผัสกับโครงสร้างพื้นฐานโดยตรง เช่น สาธารณูปโภค ผู้ดูแลโครงข่ายไฟฟ้า และอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ มีอัตราการประเมินความเสี่ยงและวางแผนการปรับตัวสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่น

ในทางกลับกัน ภาคส่วนจำนวนมากของเศรษฐกิจโลกยังคงมองการประเมินและการปรับตัวต่อความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเป็นข้อยกเว้นมากกว่ามาตรฐาน ท่ามกลางแนวโน้มที่ความเสี่ยงทางกายภาพจะทวีความรุนแรงขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

รายงานระบุว่า ในปี 2026 การเติบโตของความต้องการไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI ข้อจำกัดของโครงข่ายไฟฟ้า ความแตกกระจายของตลาดเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ภูมิรัฐศาสตร์ กลยุทธ์การจัดหาพลังงานที่เปลี่ยนไป กรอบการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กำลังปรับปรุง และความเสี่ยงทางกายภาพจากสภาพภูมิอากาศ จะร่วมกันกำหนดเงื่อนไขใหม่ของความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ

ภายใต้บริบทดังกล่าว บทบาทที่โดดเด่นของจีนในห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาด ตั้งแต่โซลาร์ ระบบกักเก็บพลังงาน กรีนไฮโดรเจน ไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้า จะเป็นปัจจัยสำคัญทั้งในการผลักดันการใช้งานและสร้างความเสี่ยงใหม่ พร้อมทั้งมีอิทธิพลต่อทิศทางการแข่งขันด้าน AI และพลังงานระหว่างจีนกับสหรัฐในระยะต่อไป

https://www.thansettakij.com/sustainable/net-zero/647688

ปิดฉาก 700 ปี! ธารน้ำแข็งแห่งสุดท้ายในเลออน ละลายหายไปตลอดกาล | กรุงเทพธ...