ผลงานของชายคนหนึ่งซึ่งนอกจากตามหลักสูตรของโรงเรียนแล้ว ต้องเรียนรู้ศึกษาหาความรู้เอง ทั้งหลักธรรมและการประพันธ์ ชอบคิด-วิเคราะห์-สรุปบทเรียนใหม่เป็นประจำ แล้วบันทึกไว้เป็นบทกวีเพราะมิเช่นนั้นจะลืมบทเรียนเก่า คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง จึงโพสต์สู่สื่อสาธารณะ
ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน
สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
อนุโมทนา-สาธุ : กลอนคติสอนใจ
อนุโมทนา-สาธุ : กลอนคติสอนใจ
๏ ทำดี(เช่นให้ทาน)
มีคน อนุโมทนา...................(แต่พอ)ชวนมา ร่วมทำ หมดคำขาน(เงียบสนิท)
คิดแล้ว
ก็ตลก ซึ้งอกพาล...................................สันดาน ตระหนี่ สิธำรง
๏ คนไทย
ไม่น้อย คอยคิดว่า.............................การพูด "(ขอ)อนุโมทนา" พาสมประสงค์
ได้รับ(แบ่ง) ส่วนบุญ หนุนจำนง...........................โดยมิ ต้องลง มือทำบุญ(เอง)
๏ (คำถาม)คนไหน
ใครสอน มาก่อนเก่า?.............โง่เขลา จึงคิด จิตสถุล
ขาดความ
เสียสละ เกื้อการุญ..............................เคยคุ้น แค่ความ เห็นแก่ตัว
๏ อนุโม
ทนา=ปรีดาด้วย..................................อาจช่วย ให้คน พ้นคิดชั่ว
ริษยา
ตาร้อน ถอนเมามัว....................................นึกกลัว ใครได้ ดีกว่าตน
๏ (สอดคล้อง)ตามหลัก
"มุทิตา" ปฏิบัติ.............ฝึกหัด ขัดเกลา เบาอกุศล
เหมือน(พูด)ว่า
"สาธุ"
เมื่อผู้คน...........................ทำดี นิรมล เลิศล้นใจ
๏ พบเห็น
เป็นเสมอ คนเพ้อผิด..........................วิปริต พระมรณา "สาธุ"ให้
(สาธุแปลว่า)"ดีแล้ว" ที่พระ
ตายซะไง?................(เป็น)ชาวพุทธ แบบไหน? ไม่รู้ความ
๏ เพราะคน
ส่วนมาก ไม่อยากคิด.......................ชีวิต ดำเนินไป ไร้คำถาม
เขาทำ
อะไร ใคร่ทำตาม.....................................ดี-ทราม-ต่ำ-สูงฯลฯ
มิมุ่งรู้
๏ เป็น(พุทธ)แบบ
ไทยๆ ไปเรื่อยๆ.....................เรื่อยเปื่อย รอวาสนา วิ่งมาสู่
เมามัว
"ตัวกู กับ ของกู"...................................งูๆ
ปลาๆ ประพฤติเอยฯ
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
ปลูกป่าก่อนจะช้าเกินไป : โคลงสี่สุภาพ
ปลูกป่าก่อนจะช้าเกินไป
: โคลงสี่สุภาพ
๑.ระดับอากาศร้อน...............................ระดม
ก่อเกิดกระแสลม.............................พัดกล้า
กรากกระโชกพนม...........................พนัสสั่น
ไหวหวั่นวายุถ้า...............................โค่นล้มเรือนทลายฯ
๒.พัดลมมิคลายร้อน.............................กระแส
ปราศจากป่าเป็นตัวแปร.....................เปลี่ยนแล้ว
อุณหภูมิโลกแล...............................ระอุ
ชีวิตอยู่ไม่แคล้ว...............................ท้นทุกข์ทรมานฯ
๓.ข่าวสารว่าปีนี้...................................(ต้น)มะม่วง
บ่ผลิดอกออกพวง............................ผล(ผลิต)น้อย
กสิกรรม(แบบ)พึ่งพาดวง...................(กำลัง)วิกฤติ
เมื่อบ่คิดความคล้อย.........................ความรู้ย่อมลำเค็ญฯ
๔.ผืนป่าเป็นผู้สร้าง...............................สมดุล
สภาวะอากาศหนุน............................เนื่องให้
ระบบนิเวศเจือจุน..............................(การ)เป็นอยู่
มิหดหู่ยากไร้....................................แห้งแล้งกันดารฯ
๕.พึ่งภารป่าซับน้ำ................................ผลิตฝน
กำเนิดกระแสชล...............................(และความ)ชุ่มชื้น
อากาศหยุดเร่ารน..............................เย็นฉ่ำ
ความสมบูรณ์ร่มรื้น............................คู่ฟ้าปัถพีฯ
๖.อยู่ดีกินดีพร้อม..................................สุขสันติ์
หาใช่สิ่งอัศจรรย์...............................วิเศษสร้าง
แต่เกิดจากกิจกรรม์...........................ธรรมชาติ
(ที่)เริ่มพินาศ(ถูก)ทำลายล้าง..............โดยน้ำมือคนฯ
๗.เคยท่องบ่น"ในน้ำ..............................มีปลา
แผ่นดินไทยในนา..............................มีข้าว"
แต่ก่อนแต่ไรพนา..............................ดาษดื่น
ปัจจุบันผืนดินด้าว..............................ป่าไม้มลายสูญฯ
๘.อย่ารอแต่บุญสร้าง.............................วาสนา
บ่ลืมหูลืมตา......................................ต่อสู้
แข็งขันปลูกพนา................................ป่าใหญ่
แผ่นดินไทยกอบกู้..............................ก่อนช้าเกินไปฯ
๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
บัวแล้งน้ำ : กลอนคติธรรม
บัวแล้งน้ำ : กลอนคติธรรม
๏ แม้บ่มี
น้ำใส (แต่)ต้องไม่ขาด.........................น้ำสะอาด ปราศปน มลทินร้าย
แผ่นดินนุ่ม
อุ้มราก บากชอนชาย.......................บริบาล บัวสาย ได้เติบโต
๏ แสงสุรีย์
ศรีส่อง ผ่องผาด จรด........................ดอกบัว-ใบ ใสสด ปรากฏโผ
ชูช่อพุ่ง
รุ่งเรือง เฟื่องเดโช..............................บริสุทธิ์ พุทโธ มโนมัย
๏ บ่มีบัว
เบ่งบาน ณ ฐานแหล่ง..........................ปัถพีแห้ง แล้งน้ำ ลำธารได้
เปรียบเสมือน
พุทธธรรม (มะ)วินัย.....................ย่อมอาจไม่ ประดิษฐาน ณ พาลแดน
๏ ถึงพากเพียร
เลียน-ดู รู้ทั้งหมด.......................มีธรรมบท โดดเด่น เป็นแบบแผน
แต่หากใจ ไม่ศรัทธา อุราแกน..........................มีก็ไม่ เหมือนแม้น
แทนพุทธา(แกน=ขัดสน,จำใจ)
๏ เมื่อหัวใจ
ไม่บริสุทธิ์ ทุจริต............................เมินครุ่นคิด สถิตนิสัย ใคร่สิกขา
ย่อมตีความ
ธรรมวินัย ไป(ต่างๆ)นานา...............ตามอัตตา ประสงค์ หลงทิศทาง
๏ แม้แต่เปลือก
ก็เสือกไส ไม่เหลือหลอ...............ป้องปากป่าว ป้อยอ พอเยี่ยงอย่าง
ว่าคือพุทธ
สุดประเสริฐ เพริศสะอาง..................ทั้งๆที่ แตกต่าง เหินห่างไกล
๏ บ่รู้ดี
รู้ชั่ว มัวเมาถ่อย....................................ทำแต่เรื่อง ด่างพร้อย
คล้อยสาไถย
เห็นกงจักร
เป็นดอกบัว เปรมหัวใจ....................สิ่งที่ได้ หนีไม่พ้น บาปมลทิน
๏ ปลูกตำแย
แต่เห็น เป็นบัวเผื่อน......................สติเปรอะ เลอะเลือน เปื้อนแปดสิ้น
ทำต่อๆ
กันไป ใจชาชิน..................................ล้วนแผ่นดิน ระบิลยล ต้นตำแยฯ
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
*พระพุทธเจ้าห้ามพระสงฆ์ ดู-ฟังการร้องรำทำเพลงประโคมดนตรีฯลฯ
ไม่ว่างานอะไร
คณะกลองยาว-พิณ-หมอลำ-วงดนตรี-ลิเก-ภาพยนตร์ ฯลฯ จะมาจัดแสดงที่วัดไม่ได้
ถึงทำกันเป็นประเพณี ก็ผิดวิถีพุทธ
ไม่บรรลุมรรคผลตามพุทธธรรม
ไม่ว่างานอะไร
คณะกลองยาว-พิณ-หมอลำ-วงดนตรี-ลิเก-ภาพยนตร์ ฯลฯ จะมาจัดแสดงที่วัดไม่ได้
ถึงทำกันเป็นประเพณี ก็ผิดวิถีพุทธ
ไม่บรรลุมรรคผลตามพุทธธรรม
[๑๙] สมัยต่อมา ที่พระนครราชคฤห์ มีงานมหรสพบนยอดเขา พระ
ฉัพพัคคีย์ได้ไปเที่ยวดูงานมหรสพ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้ไปดูการฟ้อนรำ การขับร้อง และการประโคมดนตรี เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย ... กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงไปดูการฟ้อนรำ การขับร้อง หรือการประโคมดนตรี รูปใดไป ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
ฉัพพัคคีย์ได้ไปเที่ยวดูงานมหรสพ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้ไปดูการฟ้อนรำ การขับร้อง และการประโคมดนตรี เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย ... กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงไปดูการฟ้อนรำ การขับร้อง หรือการประโคมดนตรี รูปใดไป ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
บัวใต้น้ำ : กลอนคติธรรม
บัวใต้น้ำ : กลอนคติธรรม
๏ บ้านใคร ไม่มี พระเครื่อง(ของขลัง)..............คงเป็น เรื่องเล่า
เอาขบขัน
คนไทย กับไส
ยศาสตร์นั้น............................ท่าจะอยู่ คู่กัน นิรันดร
๏ (ประกาศตน)นับถือ
พระพุท ธศาสนา..........(แต่)เมินหน้า (ศึกษา)ปฏิบัติตาม คำสอน(ธรรมวินัย)
ใช่แค่
ฆราวาส ตัดรอน.................................มองย้อน พระเณร เป็นอย่างไร?
๏ เรื่องจะ
ปฏิรูป ศาสนา..............................พอแค่ พูดจา
หาเลื่อมใส(ไม่จริงใจ-ไม่เข้าใจ)
สูญเสีย
งบประมาณ เงินบรรลัย......................แต่ไร้ แก่นสาร การเปลี่ยนแปลง
๏ เอาพระ
นิพพาน บานบังหน้า.....................ลาภ-ยศ-สักกา ระแสวง
กิเลส
ตัณหา ส่อแสดง.................................(ถึงจะ)เสแสร้ง ซ่อนเร้น ก็เห็นชัด
๏ หลอกคน
งมงาย ง่ายที่สุด........................สร้างสิ่ง สมมุติ ประดุจสัจ
แต่งเรื่อง
วิเศษ สารพัด................................คือความ ถนัด อุบาทว์ชน
๏ ต่อให้
ได้รับ การศึกษา............................เมื่อขาด สัตยา ละเหตุผล
คดคิด
อวิชชา ครองกระมล...........................ไม่พ้น (เป็น)เพียง"บัว
ใต้วารี"
๏ หากความ
สงบ ไม่(ทำให้)สบสุข...............ชอบสนุก สนาน ชาญวิถี
พุทธธรรม
คำสอน หลอนฤดี..........................อริยะ สัจสี่ มิซึ้งใจ
๏ ก็อย่า
มาขยัน สร้างปัญหา.......................แอบอ้าง พุทธศาสนา ทำสาไถย
ก่อกรรม
ทำเข็ญ เป็นปัจจัย...........................ทุกข์ให้ ทรมาน นานเท่านานฯ
๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
๑.
พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา
เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ
ทำนายอวัยวะ ทำนายตำหนิ ทำนายโชคลาง ทำนายฝัน
ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ พิธีเบิกแว่น
เวียนเทียน พิธีซัดแกลบบูชาไฟ พิธีซัดรำบูชาไฟ พิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ พิธีเติมเนย บูชาไฟ พิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ พิธีพ่นเครื่องเซ่นบูชาไฟ พิธีพลีกรรมด้วยเลือด วิชาดูอวัยวะ วิชาดูพื้นที่๒- วิชาการปกครอง วิชาทำเสน่ห์๓- เวทมนตร์ไล่ผี วิชาตั้งศาลพระภูมิ วิชาหมองู วิชาว่าด้วยพิษ วิชาว่าด้วยแมงป่อง วิชาว่าด้วยหนู วิชาว่าด้วยเสียงนก วิชาว่าด้วยเสียงกา วิชาทายอายุ วิชาป้องกันลูกศร วิชาว่าด้วยเสียงสัตว์ร้อง
จาก
<http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=09&siri=1> เวียนเทียน พิธีซัดแกลบบูชาไฟ พิธีซัดรำบูชาไฟ พิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ พิธีเติมเนย บูชาไฟ พิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ พิธีพ่นเครื่องเซ่นบูชาไฟ พิธีพลีกรรมด้วยเลือด วิชาดูอวัยวะ วิชาดูพื้นที่๒- วิชาการปกครอง วิชาทำเสน่ห์๓- เวทมนตร์ไล่ผี วิชาตั้งศาลพระภูมิ วิชาหมองู วิชาว่าด้วยพิษ วิชาว่าด้วยแมงป่อง วิชาว่าด้วยหนู วิชาว่าด้วยเสียงนก วิชาว่าด้วยเสียงกา วิชาทายอายุ วิชาป้องกันลูกศร วิชาว่าด้วยเสียงสัตว์ร้อง
[๑๒] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ทรงเครื่องประดับหู ... ทรงสังวาล
ทรงสร้อยคอ ทรงเครื่องประดับเอว ทรงวลัย ทรงสร้อยตาบ ทรงเครื่องประดับข้อมือ ทรงแหวนประดับนิ้วมือ
ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ...เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ ... จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุฉัพพัคคีย์ทรงเครื่องประดับหู ทรงสังวาล ทรงสร้อยคอ ทรงเครื่องประดับ-*เอว ทรงวลัย ทรงสร้อยตาบ ทรงเครื่องประดับข้อมือ ทรงแหวนประดับนิ้วมือจริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงทรงเครื่องประดับหู ไม่พึงทรงสังวาล ไม่พึงทรงสร้อยคอ ไม่พึงทรงเครื่องประดับเอว ไม่พึงทรงวลัย ไม่พึงทรงสร้อยตาบ ไม่พึงทรงเครื่องประดับข้อมือ ไม่พึงทรงแหวนประดับนิ้วมือ รูปใดทรง ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ...เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ ... จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุฉัพพัคคีย์ทรงเครื่องประดับหู ทรงสังวาล ทรงสร้อยคอ ทรงเครื่องประดับ-*เอว ทรงวลัย ทรงสร้อยตาบ ทรงเครื่องประดับข้อมือ ทรงแหวนประดับนิ้วมือจริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงทรงเครื่องประดับหู ไม่พึงทรงสังวาล ไม่พึงทรงสร้อยคอ ไม่พึงทรงเครื่องประดับเอว ไม่พึงทรงวลัย ไม่พึงทรงสร้อยตาบ ไม่พึงทรงเครื่องประดับข้อมือ ไม่พึงทรงแหวนประดับนิ้วมือ รูปใดทรง ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
คำตอบของทุกคำถาม : กลอนคติชีวิต
คำตอบของทุกคำถาม
: กลอนคติชีวิต
๏ (คำถาม)
ทำไม
เกิดมาเป็นฉัน?
ทำไม
ฉันเป็นเช่นนี้?
ทำไม
ฉันไม่ได้ดี?
ทำไม
มีปัญหาทุกขารมณ์?
ฯลฯ
๏ (คำตอบ)
เพราะชีวี
มีเวรกรรม
ที่เคยทำ ดี-ทรามสั่งสม
เวียนว่ายตายเกิดเปิดปม
ผสมกรรมใหม่
ในปัจจุบัน
๏ ทุกคำถาม
มีคำตอบ(เดียว)
จะชอบ(หรือ)ไม่ชอบ
ก็เท่านั้น
รู้ไว้-ทำใจ
อย่าไปเสียเวลาตัดพ้อมัน
มาให้ความสำคัญ
กับวันนี้
๏ อย่ามัวโศกเศร้าเสียใจ
ปล่อยวางทุกอย่างไปตามวิถี
ย้อนอดีตไม่ได้
ทาง(กลับไป)แก้ไขไม่มี
ทำได้แค่เท่าที่
วันนี้สิเลือกทำ
๏ ทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว
ละอายและขลาดกลัว
ต่อบาปหยาบช้า
๏ ตั้งต้นหนทางใหม่
ด้วยหัวใจเปี่ยมศรัทธา
ต่อกุศลเจตนา
สร้างอนาคตที่สดใสเทอญฯ
๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
ก้าวไปให้ก้าวหน้า : กลอนคติชีวิต
ก้าวไปให้ก้าวหน้า
: กลอนคติชีวิต
๏ มีก็แต่
อายุขัย..................................ที่(ยังไงๆก็)เคลื่อนไหว ไปข้างหน้า
คนเรา
ก้าวสู่(ความ)ชรา...........................(ตั้ง)แต่เกิดมา เป็นผู้(เป็น)คน
๏ (คน)ส่วนใหญ่
ไม่ประจักษ์..................เข้าใจหลัก(การ) และเหตุผล
ชีวิน
ใช้ดื้นรน.........................................ค้นหาลาภ อย่างอัประมาณ
๏ พูดได้
ตายตาหลับ............................ภูมิใจกับ (การ)มีลูกหลาน
ธำรง
เหล่าวงศ์วาน.................................สืบสันดาน สานต่อไป
๏ โดยที่
มิศึกษา..................................ฝึกพัฒนา จิตวิสัย
เกิดมา
(เป็น)ประการใด...........................ตราบตายไป ไม่เปลี่ยนแปลง
๏ อะไรมี
ที่ก้าวหน้า?............................เกิด->มรณา มุ่งแสวง
ส่องสัจ
เห็น(ความ)ขัดแย้ง.......................เรื่องตกแต่ง ติดตำนาน
๏ น้อย(คน)นัก
จักสนใจ........................ปรับเปลี่ยน(จิต)ใจ ให้ไพศาล
พัฒนา
สมาทาน....................................พ้นสัญชาตญาณ สันดานคน
๏ ปัญญา
(เกิด)มามืดมิด.......................พัฒนาจิต ประสิทธิผล
ศึกษา
ก้าวหน้าจน..................................หลุดพ้นห้วง บ่วงโลกีย์
๏ โลกธรรม
รื้อกำจัด.............................ด้วยปฏิบัติ เป็นวัตรศรี
หาใช่
ให้พาที........................................เหมือนประเพณี พาลนิยมฯ
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
ไม่เอาจริงเอาจัง : กลอนปัญหาสังคม
ไม่เอาจริงเอาจัง
: กลอนปัญหาสังคม
๏ เราอยู่
กันใน ประเทศที่............................ไม่มี ระเบียบ เปรียบสม
จนเกิด
ปัญหา โสมม(มากมาย).......................สั่งสม มาอย่าง ยาวนาน
๏ เช่นแค่
ปัญหา หมาจรจัด..........................สร้างภัย พิบัติ มหาศาล
(แหล่ง)เพาะ(โรค)พิษ
สุนัขบ้า สู่สาธารณ์.........ปราศการ แก้ไข ไร้ท่วงที
๏ ปล่อยให้
เรื้อรัง บังเกิด.............................เลยเถิด ลุกลาม ทรามวิถี
เห็นอยู่
รู้กัน ปัญหามี.....................................แต่ไร้ ใครที่
เอาจริงเอาจัง(โดยเฉพาะราชการ)
๏ (พอ)เกิดเหตุ
เวทนา แห่มาปลอบ...............(ถ่ายรูป)ทำมอบ ของขวัญ แล้วหันหลัง
ผักชี
โรยหน้า น่าชิงชัง..................................หมดหวัง ทางแก้ อย่างแท้จริง
๏ คนตาย
รายแล้ว รายเล่า...........................(คนอีก)หลายเท่า พิการ ชีวันทิ้ง
ความเห็น
ท่วมท้น ท้วงติง..............................ไร้สิ่ง ตอบสนอง ตามต้องการ
๏ ปัญหา
ง่ายๆ กลายเป็น(แก้)ยาก.................ล้นหลาก (ปัญหา)อื่นๆ มหาศาล
จึงไม่
มีวัน บันดาล........................................พบพาน การแก้
แม้(รอจน)วันตาย
๏ (ทำอะไร)ขาดความ
เอาจริง เอาจัง..............เป็นดั่ง สันดาน อันเลวร้าย
เราจึง
อยู่กัน อย่างอันตราย.............................ไม่รู้ จะวาย วันใดมี
๏ พูดใย
ไปถึง พัฒนา(ประเทศ).....................ยิ่งกว่า ยังย่ำ อยู่กับที่
หลายด้าน
ปัญหา เหิมทวี................................นับปี มีแต่ แย่กว่าเดิมฯ
๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
คน(ใจ)พิการ : กลอนคติสอนใจ
คน(ใจ)พิการ : กลอนคติสอนใจ
๏ โดยทั่วไป
หลาย(ต่อ)หลายคน..................แต่งตัวตน ยลภูมิฐาน
แต่อับจน
กระมลสันดาน................................จิตพิการ พาลอัปรีย์
๏ ใช้ของแพง
สำแดงอวด...........................สูงยิ่งยวด สง่าราศี
เป็นไฮโซ
โก้หรูมี........................................(มีการ)ศึกษาดี ศิวิไลส์
๏ แต่พฤติกรรม
ต่ำสถุล..............................มองค่าคุณ หามีไม่
อยู่เพื่อทำ
ความจัญไร..................................อยู่ร่ำไป ให้(คนอื่น)ลำเค็ญ
๏ เอาเปรียบคน
จนเป็นจริต.........................ความนึกคิด วิปริตเห็น
ไร้ยางอาย
ใจด้านเจน..................................มิเว้นว่าง สร้างบาปกรรม
๏ คือนรา
ผู้น่าสงสาร.................................จิตวิญญาณ พิการย้ำ
อย่าถือสา
การกระทำ...................................ที่จะนำ เวรกรรมมา(ให้ตัวเอง)
๏ วิญญูชน
ย่อมยลเห็น..............................ผู้ลำเค็ญ มีปัญหา
ควรได้รับ
ความเมตตา.................................มอบกรุณา และปราณี
๏ เมื่อเราคือ
คนแข็งแรง............................สมควรแสดง (ความ)แกร่งศักดิ์ศรี
น้ำใจเกื้อ
เอื้ออารี.......................................ช่วย(เหลือ)คนที่ เขาพิการ
๏ พบผู้ที่
อ่อนแอกว่า................................เกิด(รู้สึก)เมตตา คือ(คน)กล้าหาญ
มีมนัส
พัฒนาการ.......................................เกษมสำราญ ชั่วกาลนานเอยฯ
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
ทำอะไรในวันพระ? : กลอนวันพระ
ทำอะไรในวันพระ?
: กลอนวันพระ
๏ ทำอะไร
ในวันพระ?.............................จงลดละ อกุศล
ความเมามัว
หลงตัวตน.............................ขัดเกลาจน จางจากจร
๏ ปวงตัณหา
เมื่อละลด...........................จะปรากฏ หมดเร่าร้อน
เห็นความงาม
ความสุนทร.........................แจ่มขจร สะท้อนชีวี
๏ ปราบกิเลส
เป็นเศษผง.........................เจตจำนง ตรงแน่วนี้
บริสุทธิ์
ผุดผ่องฤดี...................................บรรเจิดมี สิริมงคล
๏ บาปไม่ทำ
สร้างสำนึก..........................หยั่งรากลึก ปึกแผ่นผล
เวรกรรมไร้
ไม่มาผจญ...............................เท่ากับพ้น ทุกข์ทั้งมวล
๏ แค่คิดใคร่
ใส่บาตรพระ.........................รับศีล-พระ ให้พรล้วน
(เป็น)วัฒนธรรม
งามกระบวน......................เพื่อคู่ควร พุทธศาสนิกชน
๏ ฟังเทศนา-นั่งสมาธิ.............................ทำตามพิ
ธีกรรมหน
สวมชุดขาว
เข้าวัดวน................................หามีผล แก่คนใด
๏ ตราบที่ใจ
ไม่สาบสูญ..........................อกุศลมูล ต้น(เหตุ)สาไถย
ย่อมมีเหตุ
มีปัจจัย....................................ทำบาปได้ ไม่เว้นวาง
๏ เวียนเทียนธูป
ประทักษิณ....................แต่ไม่สิ้น ตัณหาสาง
ต่างอันใด
(กับ)ไฟไหม้ฟาง.......................บุญที่สร้าง เบาบางเอยฯ
๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
*พิธีเวียนเทียน ของชาวพุทธ ไม่มีการปฏิบัติในสมัยพุทธกาล
*พิธีเวียนเทียน ของชาวพุทธ ไม่มีการปฏิบัติในสมัยพุทธกาล
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
ชีวาไม่น่าเบื่อ : กลอนคติชีวิต
ชีวาไม่น่าเบื่อ
: กลอนคติชีวิต
๏ ลมพัด
ความชื้น หวนคืนกลับ..................แผ่นดิน ติณสรรพ เตรียมรับฝน(ติณ=หญ้า)
กลางคืน
หดสั้น กลางวันยล........................ยืดยาว ก้าวผจญ ร้อนรนฤดู
๏ ฝนแรก
แหวกฟ้า กลางราษตรี................กลิ่นฝน ดลฤดี ปีติรู้
ลมเห
เสสรวล ชวนชื่นชู.............................กล่อมผู้ หลับนอน อย่างอ่อนโยน
๏ ฤดูกาล
ผันแปร แลประกาศ...................ธรรมชาติ วิถี นี้ผาดโผน
ปรากฏ
เป็นจังหวะ เกิดจะโคน.....................โยกโยน ชีวิต พิจารณา
๏ ปรับตัว
ปรับใจ ตามไปกับ.....................สอดรับ ธรรมชาติ และวาสนา
เท่าที่
มี-เป็น เข็นชีวา................................ฟันฝ่า อุปสรรค อย่าหนักใจ
๏ เมินคำ
ว่าแพ้ แม้เราสู้..........................เยือกเย็น เป็นอยู่ รู้เงื่อนไข
เลือกทาง
ถูกต้อง คล่องชิงชัย....................อย่าไป ทุจริต ผิดหนทาง
๏ คิดดี
ทำดี ถึงที่สุด..............................อย่าหยุด จนกว่า (จะ)พบแสงสว่าง
เริ่มสู้
ดูเหมือน ยังเลือนราง........................ค่อยย่าง ค่อยขยับ ค่อยปรับปรุง
๏ มิพรั่น
มั่นใจ ในชีวิต............................ดวงจิต พิษฐาน เพียรมั่นมุ่ง
เดินหน้า
ต่อไป ใฝ่จรุง..............................ฝันเฟื่อง เรืองรุ่ง จูงจิตไป
๏ ทุกวัน
เวลา ไม่น่าเบื่อ.........................เอื้อเฟื้อ ความดี เป็นนิสัย
ฟังเสียง
ธรรมชาติ วิลาสไกร......................เคล้าเสียง หัวใจ แจ่มใสเทอญฯ
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
เปลวไฟไม่แบ่งแยก : กาพย์ยานี๑๑
เปลวไฟไม่แบ่งแยก
: กาพย์ยานี๑๑
๏ เปลวไฟ
ไม่แบ่งแยก......................น้ำบ่แสก กระแสสินธุ์
กรวดทราย
ในปัถพิน.........................ผสานเป็นดิน แผ่นเดียวกัน
๏ รุ่งอรุณ
สุนทรีแสง.........................สาดสำแดง มิแบ่งชั้น
ดวงดาว
เคล้าดวงจันทร์.....................ร่วมเสกสรรค์ หรรษ์ราตรี
๏ ลม-น้ำ
และความร้อนฯลฯ...............เอื้ออาทร โลกใบนี้
พันผูก ทุกชีวี...................................โดยไม่มี อคติใด(อคติ=ความลำเอียง)
๏ นภดล
ยลเวิ้งว้าง...........................พิภพกว้าง พร่างยิ่งใหญ่
มิพึง(ที่)
ผู้หนึ่งผู้ใด...........................จะมุ่งหมาย ใคร่ครอบครอง(เพียงผู้เดียว)
๏ (มี)ศักดิ์ศรี
ทุกชีวิต........................ความมีสิทธิ์ เป็นเจ้าของ(โลก)
เท่าเทียม(กัน) เปี่ยมครรลอง...............มิต้องอ้าง (ความ)แตกต่างใด
๏ ธรรมชาติ
ดาษแผ่นดิน....................อย่าผลาญสิ้น (เพียง)เพราะกิน-ใช้
ชีวิต
หนึ่งตายไป...............................ชีวิตใหม่ ต้องใช้มัน
๏ เกิด-ดับ
สรรพชีวาตม์......................รวม-แยกธาตุ เฉกชาติขันธ์
ปรากฏ-สูญหมดกัน...........................ตามสัจธรรม์ ไร้ตัวตน
๏ เข้าใจ
ในวัฏจักร............................จงตระหนัก หยุดอยาก(อยากมี,อยากเป็น)หน
เลิกคิด(ว่า)
ชีวิตคน...........................ประเสริฐล้น พ้น(ชีวิต)อื่นเอยฯ
๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
อย่าใฝ่ฝันสูงเกินไป : กลอนคติเตือนใจ
อย่าใฝ่ฝันสูงเกินไป
: กลอนคติเตือนใจ
๏ โลกนี้
มิง่าย........................(ที่จะ)สมหมาย (ได้)ดั่งใจ ปรารถนา
บ่อยครั้ง
บางครา.......................(ยัง)มากมี ปัญหา ขยี้ใจ
๏ ต้องสงบ
สติ........................ดำริ ชีวิต วินิจฉัย
ผิดหวัง
ครั้งใด..........................อย่าไป เศร้าโศก เสียน้ำตา
๏ ก่อทุกข์
ทางใจ....................มิใช่ ทางแก้ ปัญหา
รังแต่
จะพา(ไป).......................สู่มรรคา ย่อยยับ อับจน
๏ การถือ
กำเนิด.....................หาใช่ ให้พรายเพริศ เลิศล้น(เพริศพราย=งามระยับ)
ชีวิน
ดิ้นรน...............................คือหน ทางสัจจ์ อัศจรรย์
๏ อย่าฝัน (สูง)เกินไป..............และจง อย่าไป
ยึดมั่น(ความใฝ่ฝัน)
เพราะนี่ คือชีวัน........................(ที่มี)ไม่กี่ ความฝัน เป็นจริง
๏ ฝันพอ
ประมาณ...................เหมาะสม แก่การ มุ่งมั่นยิ่ง
แล้วอย่า
ทอดทิ้ง......................เพียงเพราะ เกรงกริ่ง ความลำเค็ญ
๏ (ทำ)เท่าที่
ทำได้.................พยายาม ทำไป ให้เห็น
บันดาล
ฝันเด่น........................จนสำ เร็จเป็น ปฏิญาณ
๏ ต้องระมัด
ระวัง....................อย่าดัน ทุรัง ย่างหาญ
ประมาท
อาจพาน.....................วิกฤต (ตะ)การณ์ บรรลัย
๏ เมื่อสุด
ฝีมือ........................ผลคือ ที่เรา ทำได้
รู้จัก
พอใจ...............................อย่าไป ใฝ่ฝัน ต้องการเกินฯ
๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
วัฒนธรรมโกหกหลอกลวง : กาพย์ฉบัง๑๖
วัฒนธรรมโกหกหลอกลวง
: กาพย์ฉบัง๑๖
๏ พุทธพรางบังหน้าหาประโยชน์....................พฤติกรรมโปรด(พราง=ทำให้เข้าใจเป็นอื่น)
ของคนโฉดช้าสาไถย
๏ มีปัญหาเป็นเข็ญใจ....................คิดยากทำไม
พึ่งพาอาศัยผ้าเหลือง
๏ หนีคดีมีข่าวเนืองๆ...................คิดคดปลดเปลื้อง
ฟุ้งเฟื่องภายใต้พระศาสนา
๏ โรงเรียนต้องการเงินตรา...................จัด"ทอดผ้าป่า"
อ้างว่าหาเงินซื้อหนังสือ
๏ โรงพยาบาลต้องการเงินฤา..................ก็แอบอ้างชื่อ
"ทอดผ้าป่า"คือจุดขาย
๏ (กลุ่มผู้ป่วยโรคไต)เจ็บป่วยมีคาใช้จ่าย.................ไม่ยากมักง่าย
รีบขึ้นป้าย"ทอดผ้าป่า"
๏ ต้นคิดมาจากวัดวา...................ต้องการเงินหา
สร้างโบสถ์-ศาลา-วิหารฯลฯ
๏ อ้างถึงผลบุญสุนทาน..................มีมหาศาล
จากการทอดผ้าป่า-กฐิน
๏ โกหกกันมาชาชิน..................จนเป็นนิจสิน
ดูหมิ่นพระธรรมคำสอน
๏ (พุทธองค์)ไม่มีเทศนามาก่อน...................(ความ)กลับกลอกยอกย้อน(ของคนหลอกลวง)
สะท้อนถึงวัฒนธรรม(โกหกหลอกลวง)ฯ
๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
*ในพระไตรปิฎก
ไม่มีเรื่องทอดผ้าป่า ทอดกฐิน(หาเงิน) และบวชให้พ่อแม่เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)