โลกาคืออนิจจัง : กาพย์ยานี๑๑
๏ เมฆฝน หม่นพรางจันทร์...............................ค่ำคืนวัน ออกพรรษา
สายฝน ล้นหลั่งมา.....................................แทนอาภา คลาพิไล(คลา=คลาด)
๏ เดือนเพ็ญ เด่นสมมาส..................................แม้เมฆพาด จนปราศไร้
ส่องสว่าง หลังเมฆไป.................................งามประไพ ในนภา
๏ แมวหาย ไร้รอยร่อง......................................เพื่อนแมวต้อง ร้องเรียกหา
โหยไห้ ในอุรา...........................................แววตาหม่น ท้นทุกข์ตรอม
๏ (เดิม)ถูกทิ้ง วัดสิงสู่......................................รับ(มา)เลี้ยงดู ทะนุถนอม
(จน)เติบใหญ่ (ใจ)ไม่ทันพร้อม....................แต่ต้องยอม(รับ) ยามจาก(กัน)ไกล
๏ โลกคือ ความไม่เที่ยง...................................อยากหลบเลี่ยง (แต่)เหลือวิสัย
(ได้)พบพาน (และ)การจากไป......................เป็นอะไร ที่จีรัง
๏ เตือนจิต จงคิดฉุก........................................อย่าท้นทุกข์ ต้องปลูกฝัง
ตราบที่ ชีวียัง..............................................(จง)ระมัดระวัง (การ)สร้าง(ความ)ผูกพัน
๏ สรรพะ สังขารา............................................เป็นอนิจจา อย่ายึดมั่น
(ต้อง)สูญไร้ ในสักวัน....................................ปราศหลักประกัน เปิดปัญญา
๏ แม้มี มิต่างไร้...............................................ประโยชน์ใด ในตัณหา
กิเลส เหตุอกุศลา.........................................รังแต่จะพา พบเภทภัย(เพราะเป็นอกุศลมูล)
๏ จูงใจ(ตน) ให้กระจ่าง....................................อย่างจันทร์แจ้ง แสวงไสว
(ความ)หม่นหมอง จ้องปลดไป.......................อย่าให้(ความ)เศร้า เคล้าอุรา
๏ ทำ(ให้)ดี ถึงที่สุด.........................................จะเลิศ-หลุด(ลอย) แล้วแต่วาสนา
(ถึง)ชีวี มีชะตา(กรรม)...................................(แต่ก็)ต้องอุตส่าห์ ฟันฝ่า(พยายาม)เอยฯ
๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น