วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2566

โลกาคืออนิจจัง : กาพย์ยานี๑๑



โลกาคืออนิจจัง : กาพย์ยานี๑๑


    เมฆฝน หม่นพรางจันทร์...............................ค่ำคืนวัน ออกพรรษา

สายฝน ล้นหลั่งมา.....................................แทนอาภา คลาพิไล(คลา=คลาด)


    เดือนเพ็ญ เด่นสมมาส..................................แม้เมฆพาด จนปราศไร้

ส่องสว่าง หลังเมฆไป.................................งามประไพ ในนภา

 

    แมวหาย ไร้รอยร่อง......................................เพื่อนแมวต้อง ร้องเรียกหา

โหยไห้ ในอุรา...........................................แววตาหม่น ท้นทุกข์ตรอม


    (เดิม)ถูกทิ้ง วัดสิงสู่......................................รับ(มา)เลี้ยงดู ทะนุถนอม

(จน)เติบใหญ่ (ใจ)ไม่ทันพร้อม....................แต่ต้องยอม(รับ) ยามจาก(กัน)ไกล


    โลกคือ ความไม่เที่ยง...................................อยากหลบเลี่ยง (แต่)เหลือวิสัย

(ได้)พบพาน (และ)การจากไป......................เป็นอะไร ที่จีรัง


    เตือนจิต จงคิดฉุก........................................อย่าท้นทุกข์ ต้องปลูกฝัง

ตราบที่ ชีวียัง..............................................(จง)ระมัดระวัง (การ)สร้าง(ความ)ผูกพัน

 

    สรรพะ สังขารา............................................เป็นอนิจจา อย่ายึดมั่น

(ต้อง)สูญไร้ ในสักวัน....................................ปราศหลักประกัน เปิดปัญญา


    แม้มี มิต่างไร้...............................................ประโยชน์ใด ในตัณหา

กิเลส เหตุอกุศลา.........................................รังแต่จะพา พบเภทภัย(เพราะเป็นอกุศลมูล)


    จูงใจ(ตน) ให้กระจ่าง....................................อย่างจันทร์แจ้ง แสวงไสว

(ความ)หม่นหมอง จ้องปลดไป.......................อย่าให้(ความ)เศร้า เคล้าอุรา


    ทำ(ให้)ดี ถึงที่สุด.........................................จะเลิศ-หลุด(ลอย) แล้วแต่วาสนา

(ถึง)ชีวี มีชะตา(กรรม)...................................(แต่ก็)ต้องอุตส่าห์ ฟันฝ่า(พยายาม)เอยฯ


๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๖

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น